Skip to content

A Will Eternal 483

บทที่ 483 เตาหลอมยาของเขาจะกลายมาเป็นประวัติศาสตร์!

“น้ำของแม่น้ำอเวจี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจ แม้เขาจะไม่รู้ว่าของสิ่งนี้เอาไว้ทำอะไร แต่พอเห็นว่าน้ำหยดนั้นต้องจ่ายคุณความชอบในการรบจำนวนไม่น้อยเขาก็เข้าใจเลยว่าของสิ่งนี้ต้องมีประโยชน์อย่างสูงสุดต่อนักพรตแน่นอน

“หรือว่าความล่อลวงใจที่น้ำแม่น้ำอเวจีมีต่อนักพรตก็เหมือนกับ…ความล่อลวงใจที่แม่น้ำทงเทียนมีต่อผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดาร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจ แม้ว่าเขาจะเพิ่งมาอยู่กำแพงเมืองได้ไม่นาน ทว่าเมื่อได้พูดคุยกับคนอื่นเขาก็รู้แล้วว่าสำหรับแดนทุรกันดารนั้น แม่น้ำทงเทียนมีมูลค่ามหาศาล

นี่จึงทำให้คนไม่น้อยแอบนำแม่น้ำทงเทียนเข้าไปยังแดนทุรกันดารเพื่อแลกเปลี่ยนกับผู้ฝึกวิญญาณแดนทุรกันดาร เรื่องแบบนี้แม้ว่าจะถูกกำแพงเมืองสั่งห้ามอย่างเข้มงวด แต่กลับไม่สามารถขัดขวางได้อย่างเต็มที่

สาเหตุหนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะการแลกเปลี่ยนบางอย่างของฝ่ายในกำแพงเมืองเอง ทว่าเรื่องแบบนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจเท่าใดนัก

ที่เขาสนใจก็คือยาก่อกำเนิด!

รับสัมผัสกับยาก่อกำเนิดที่ลอยอยู่ในสมอง เห็นคะแนนคุณความชอบในการรบที่ต้องจ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดิมทีเขานึกว่าคุณความชอบในการรบของตัวเองมีมากพอแล้ว ตอนไม่เห็นก็ไม่รู้ ทว่าพอเห็นของดีๆ เหล่านี้เขาก็รู้สึกทันทีเลยว่าตัวเองช่างน่าสงสารยิ่งนัก

“ยาก่อกำเนิดต้องใช้คุณความชอบในการรบหลายล้านเชียวหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองแผ่นป้ายสีม่วงของตัวเองตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง ยาก่อกำเนิดนี้ไม่ได้มีไว้ใช้สำหรับการฝ่าทะลุเท่านั้น อันที่จริงแล้วขอแค่ตบะไม่ใช่รวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ ถ้าเช่นนั้นหากกินยานี้ลงไปก็สามารถทำให้ตบะเพิ่มขึ้นพรวดพราด

เพราะอย่างไรซะคำว่าฝ่าทะลุก็แค่อาศัยฤทธิ์ยาที่รุนแรงช่วยประคับประคองเท่านั้น แม้ว่าด้านในนั้นจะมีพืชหญ้าบางส่วนที่สามารถทำให้การก่อกำเนิดราบรื่นได้เล็กน้อย ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วที่เขาต้องการไม่ใช่การรวมตัวอ่อน (รวมตัวอ่อนเพื่อนำไปสู่การก่อกำเนิด) แต่เป็นสรรพคุณที่ยานี้ช่วยให้ตบะเพิ่มพูน

“หนึ่งเม็ด…แค่ยาก่อกำเนิดเม็ดเดียวก็สามารถทำให้ตบะของข้าไต่สู่ยาอายุวัฒนะขั้นสมบูรณ์แบบได้ทันที!” ด้วยความจนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่ถอดใจกับยาก่อกำเนิด เขาใช้คุณความชอบในการรบแลกเอายาระดับสูงสำหรับขั้นรวมโอสถ แล้วจึงแลกเอาอาวุธบางอย่างมาแล้วจึงจากไป

พอกลับมาถึงหอเรือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปิดผนึกรอบด้าน หยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมา ก่อนจะหลอมพลังจิตให้กับยาทั้งหมดที่ซื้อมารวมไปถึงอาวุธและวัตถุติดตัวพร้อมกันรวดเดียว

จนกระทั่งวัตถุทั้งหมดล้วนถูกหลอมพลังจิตไปได้หกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ยุติการหลอม มองเห็นลายเส้นสีเงินมากมายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลังเลเล็กน้อย

“ไฟเจ็ดสีมีแค่สองชิ้น ส่วนไฟแปดสีมีแค่ชิ้นเดียว…แถมนี่ป๋ายหลินยังเป็นคนเอามาให้ด้วย” จากประสบการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนในทุกวันนี้ ตอนที่เขาอยู่สำนักอันตมรรคฟ้าดาราก็เคยตามหาไฟหลายสีมาก่อน แต่กลับได้มาไม่มากนัก เขารู้ดีว่าไฟเจ็ดสีอาจจะพอพบเห็นได้บ้าง ทว่าไฟแปดสีนั้นกลับหาได้ยากแล้ว

ป๋ายหลินได้มาหนึ่งชิ้นก็ถือว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว

หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหยิบเอากล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ เมื่อเปิดออกดูก็เห็นว่าในกล่องหยกนี้ก็มีหินขนาดประมาณเล็บมืออยู่ก้อนหนึ่ง มองดูแล้วไม่มีอะไรมหัศจรรย์ ทว่าเมื่อรับสัมผัสอย่างละเอียดจะรู้สึกได้ว่าด้านในนั้นแฝงเร้นไว้ด้วยพลังน่าตะลึงอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าแค่แตะต้องมันเล็กน้อยก็ทำให้มันระเบิดได้ทันที

วัตถุชิ้นนี้ก็คือเชื้อเพลิงไฟแปดสี!

ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดฝากล่องลงอย่างระมัดระวังแล้วจึงส่ายหัว

“ไฟแปดสีมีแค่ชิ้นเดียว เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน ต่อไปรอให้มีอาวุธที่ดียิ่งกว่านี้ค่อยเอามาหลอมพลังจิต” ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บไฟแปดสีกลับคืนที่เดิม ก่อนจะกินยาพวกนั้นแล้วก็เริ่มฝึกบำเพ็ญตบะ

เมื่อยาเข้าปาก พลังวิญญาณในร่างของเขาก็ระเบิดตูมแล้วจึงกลายมาเป็นไอความเย็นหลายเส้นที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง ก่อนจะมารวมตัวกันอยู่ในยาสีทองเพื่อสะสมความเย็นให้กับยาอายุวัฒนะ

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน

ขณะที่ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การหลอมยาของเขาก็ราบรื่นขึ้นเยอะมาก ยารวมวิญญาณที่หลอมออกมาสำเร็จในแต่ละครั้งถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่เมื่อผ่านการปรับปรุงแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ยารวมวิญญาณสำเร็จรูปที่หลอมออกมาก็มีอานุภาพมากกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่าตัวเองใกล้จะหลอมยารวมวิญญาณที่ตัวเองพึงพอใจได้แล้ว ทว่ายานี้หากใช้ในปริมาณน้อยสรรพคุณจะธรรมดา ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงใคร่ครวญว่าจะสะสมให้ได้มากก่อนพอถึงเวลาแล้วค่อยมอบให้ป๋ายหลิน สรรพคุณจะได้ดีมากยิ่งขึ้น!

ขณะเดียวกันเขาเองก็พอใจกับชีวิตของตัวเองในกำแพงเมืองแห่งนี้อย่างมาก ไม่พูดถึงการได้รับความเคารพยำเกรงจากคนอื่น อีกทั้งคุณความชอบในการรบก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน เตาหลอมยาแต่ละเตาที่เขาขว้างออกไป ทุกครั้งที่พวกมันระเบิดออก เมื่ออยู่ภายใต้การเชื่อมโยงกับดวงตาใหญ่ยักษ์บนเจดีย์สูง คุณความชอบในการรบจำนวนมากที่ถูกบันทึกลงไปในป้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะเพิ่มขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

เมื่อเห็นว่าคุณความชอบในการรบที่อยู่ในแผ่นป้ายเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะต้องนึกถึงอาวุธและยาที่ตัวเองรับสัมผัสได้จากดวงตายักษ์คราวก่อน แรงบันดาลใจในการหลอมยาของเขาก็ยิ่งเปี่ยมล้น และยิ่งขยันมากขึ้นเรื่อยๆ

และเตาหลอมยาระเบิดของเขาก็ได้กลายมาเป็นอาวุธร้ายกาจของกองถลกหนังไปแล้ว ทุกครั้งที่พวกมันถูกโยนลงมาจากกำแพงเมืองแล้วระเบิดตูมลงบนพื้นดิน วิญญาณพยาบาทจำนวนมากก็จะลดลงไปฮวบฮาบ ขณะเดียวกันก็เพิ่มความกดดันให้กับพวกอาจารย์หลอมวิญญาณในแดนทุรกันดารด้วย

หากไม่เป็นเพราะสงครามครั้งนี้ไม่ใช่ขนาดเล็ก เกรงว่าคงต้องยุติและถอนทัพกันไปนานแล้ว ขณะเดียวกันเนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏตัวอยู่บนกำแพงเมืองเพื่อมองภาพความอเนจอนาถของสงครามด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง เขาจึงรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงระดับความรุนแรงของสงครามครั้งนี้

เผ่าชนพื้นเมืองไม่ได้ปรากฏตัวแค่เผ่าเดียว…แต่มีมากถึงหกเผ่า ปริมาณของชนพื้นเมืองก็เพิ่มจากคราวก่อนที่แค่นับหมื่นกลายมาเป็นเจ็ดแปดหมื่น โดยทั่วไปแล้วรูปแบบสงครามขนาดเท่านี้หลายสิบปีก็ยากที่จะปรากฏขึ้นสักครั้ง

เมื่อมองไป ยักษ์ชนพื้นเมืองเหล่านั้นต่างก็คำรามแหบโหยไม่ขาดระยะ ทุกครั้งที่บุกโจมตีก็ราวกับจะเขย่าคลอนฟ้าดิน

เวลาเดียวกัน อาจารย์หลอมวิญญาณ…ก็เริ่มมาเผยตัวอยู่บนสมรภูมิรบอย่างต่อเนื่อง การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ดึงดูดความสนใจจากห้ากองทัพเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งพวกเขายังถึงขั้นส่งผู้แข็งแกร่งออกไปพยายามฆ่าคนเหล่านั้นด้วย

น่าเสียดายที่อาจารย์หลอมวิญญาณเหล่านี้ถูกยักษ์ชนพื้นเมืองจำนวนมากให้การคุ้มกัน หากคิดจะสังหาร แม้มีความเป็นไปได้ที่จะประสบผลสำเร็จ แต่ความยากก็มีมาก แถมนักพรตที่จะถูกส่งไปตายก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ด้วย

ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บและล้มตาย แต่หากว่ากันโดยภาพรวมแล้วความเสียหายของแดนทุรกันดารยิ่งสาหัสสากรรจ์มากกว่า เพราะอย่างไรซะห้ากองทัพก็มีกำแพงเมืองให้พึ่งพา แถมการระเบิดของเตาหลอมยาก็ดับทำลายมหาสมุทรดวงวิญญาณไปไม่น้อย ที่สำคัญที่สุดก็คือสำหรับพวกวิญญาณพยาบาทที่ไม่มีจิตสำนึกเท่าใดแล้ว อานุภาพของเตาหลอมยาก็สร้างความสะเทือนขวัญให้พวกมันได้มากพอ

มิฉะนั้นแล้วหากดูกันตามสงครามเมื่อครั้งอดีต การพุ่งโจมตีอย่างไม่กลัวตายของวิญญาณพยาบาทที่อยู่ในมหาสมุทรดวงวิญญาณก็คือภัยคุกคามสูงสุดสำหรับห้ากองทัพใหญ่

และในห้ากองทัพของกำแพงเมืองก็แทบไม่มีใครไม่รู้จักนามของป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะเดียวกัน…นอกกำแพงเมือง ชื่อเสียงของเขาก็ค่อยๆ ขยายออกไป ชนพื้นเมืองหลายคนล้วนรู้แล้วว่าในกำแพงเมืองมีอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งที่สามารถกำราบวิญญาณพยาบาทได้ และผู้ที่สร้างสรรค์ทุกอย่างนี้ก็คือนักพรตคนหนึ่งที่ชื่อป๋ายเสี่ยวฉุน!

แถมบนประกาศต้องฆ่าที่แดนทุรกันดารมีต่อนักพรตก็ได้จัดอันดับชื่อเขาให้เข้าไปอยู่ในตำแหน่งร้อยอันดับแรกแล้ว!

เหนือชื่อของเขา ไม่ว่าชื่อใครก็ตามต่างก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าทำให้แดนทุรกันดารเคียดแค้นชิงชัง และตอนนี้…ในรายชื่อของความเคียดแค้นชิงชังนี้ก็มีชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มมาด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้ไม่สามารถพูดได้ว่าเขาคือคนเปลี่ยนแปลงสงครามไปอย่างสิ้นเชิง ในจุดนี้เขายังทำไม่ได้ ลำพังเพียงแค่เตาหลอมยาระเบิดยังมิอาจเพียงพอให้พูดเช่นนี้ ทว่า…การดำรงอยู่ของเขากลับส่งผลกระทบให้กับสงครามครั้งนี้อย่างแท้จริง อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป ผลกระทบนี้ก็ยิ่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

โดยเฉพาะตอนนี้ความเกลียดแค้นที่พวกหัวหน้าเผ่าชนพื้นเมืองซึ่งเป็นฝ่ายเปิดฉากสงครามครั้งนี้ รวมไปถึงอาจารย์หลอมวิญญาณมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไต่ไปถึงระดับต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยามเอ่ยถึงเขาแล้ว

พวกหัวหน้าเผ่าเคียดแค้นเพราะสงสารคนในตระกูลของตัวเอง ทว่าที่พวกอาจารย์หลอมวิญญาณซึ่งไม่ว่าคนใดก็ล้วนสูงศักดิ์ชิงชังก็เพราะตอนนี้ประสบการณ์และเวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาล้วนต้องเอามาใช้หมดไปกับการปลอบใจและควบคุมวิญญาณพยาบาท

เดิมทีพวกเขาแค่ต้องควบคุมนิดหน่อยโดยการให้วิญญาณพยาบาทสร้างพลังอำนาจออกมาได้ก็พอแล้ว เพราะอย่างไรซะวิญญาณพยาบาทพวกนี้ก็ออกมาจากแม่น้ำอเวจี ความดุร้ายของพวกมันมีมาก แต่ตอนนี้…เนื่องจากความเขย่าขวัญของเตาหลอมยาระเบิด พวกเขาจึงจำต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ มิฉะนั้นการที่วิญญาณพยาบาทเหล่านี้พังทลายยังเป็นเรื่องเล็ก แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือพวกมันอาจจะย้อนกลับมาแว้งกัดพวกเขาเสียเอง

เวลานี้บนพื้นที่ว่างเปล่าซึ่งห่างจากสนามรบระยะหนึ่ง ตรงจุดศูนย์กลางที่มีหินกลมสีดำนับพันก้อนเรียงราย บนแท่นบูชาสีดำซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ รอบกายของผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นมีเงาร่างสิบร่างลอยห้อมล้อมอยู่

เงาร่างทั้งสิบนี้ล้วนสวมชุดคลุมยาวสีเทา บนร่างของทุกคนต่างก็แผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณน่าหวาดกลัวออกมาเป็นระลอก พวกเขาก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณ!

คนหนึ่งในนั้นกำลังมองไปยังผู้เฒ่าชุดดำและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ไต้เท้าท่านทูต จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ เราต้องคิดหาวิธีมาจัดการเรื่องนี้ให้ได้!!”

“ถูกต้อง ไต้เท้าท่านทูต หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทหารกล้าในเผ่าของข้าเมื่อไม่มีวิญญาณพยาบาทให้การคุ้มกัน พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักพรตเหล่านั้นเลย! ขอไต้เท้าท่านทูตโปรดใช้วิชาอภินิหารมาแก้ไขเคราะห์ภัยครั้งนี้!”

บนแท่นบูชา นอกจากพวกอาจารย์หลอมวิญญาณแล้วยังมียักษ์รูปร่างสูงใหญ่อีกสิบตน ยักษ์ทั้งสิบนี้ต่างก็แก่ชราคล้ายผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชน พวกเขาแตกต่างไปจากยักษ์ตนอื่นๆ ไม่ใช่แค่เรือนกายที่ใหญ่โตยิ่งกว่า แถมกาลเวลายังทิ้งสติปัญญาที่เหนือล้ำกว่าคนเผ่าเดียวกันไว้ในดวงตาของพวกเขา ซึ่งยักษ์ตนหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน ดวงตาทั้งคู่จ้องนิ่งไปยังผู้เฒ่าชุดดำ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำพูดของอาจารย์หลอมวิญญาณและหัวหน้าเผ่ามากมายที่อยู่รอบกาย

ผู้เฒ่าชุดดำเงียบงันไปครู่ก่อนจะเอ่ยปากเนิบช้า “พลังจิตวิญญาณของข้ามิอาจเผาผลาญไปก่อนเวลาได้มากนัก….”

“แต่พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องนี้ข้าผู้อาวุโสได้เริ่มเตรียมการไว้แล้ว คำนวณดูก็น่าจะพอสมควรแก่เวลาแล้ว พวกเจ้าแค่จับตามองสนามรบก็พอ พรุ่งนี้ข้าผู้อาวุโสจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นรู้ว่า เตาหลอมยาของเขาจะกลายมาเป็นประวัติศาสตร์!” นัยน์ตาของผู้เฒ่าชุดดำฉายประกายสีแดงคมกริบ น้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวล่องลอยไปรอบด้าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!