บทที่ 667 ผู้กำกับการป๋าย
ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด้วยความเคารพนับถือ อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม อำนาจของราชาผียักษ์ทำให้เขารู้สึกอิจฉา ขณะเดียวกันก็ยิ่งกระปรี้กระเปร่า เขาเข้าใจดีว่าครั้งนี้ถึงคราวที่ตนจะรุ่งเรืองแล้วจริงๆ!
เขาจึงรีบวิ่งเหยาะๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายราชาผียักษ์ วางมาดพร้อมอุทิศตนมองประเมินไปรอบด้านอย่างต่อเนื่องคล้ายกังวลว่าจะยังมีคนสร้างความวุ่นวาย
ท่าทางเกินจริงของเขาล้วนอยู่ในสายตาของทุกคน ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเอ่ยเย้ยหยัน แถมหลายคนยังรู้สึกอิจฉา ริษยา ปรารถนาให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ได้อยู่ตรงนั้นแทน แต่ละคนที่ตัวสั่นล้วนเข้าใจดีว่านับแต่นี้ไปป๋ายฮ่าวผู้นี้จะพุ่งทะยานพรวดพราด…เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน
แม้แต่พระยาสวรรค์สี่คนที่ไม่ได้ก่อกบฏก็ยังมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้แต่อู๋ฉางกงเองก็ยังถอนหายใจอยู่ในใจ เขาเข้าใจดีว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้…ได้ใจราชาผียักษ์ไปเรียบร้อยแล้ว!
การกระทำเกินจริงนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมอยู่ในสายตาของราชาผียักษ์ด้วยเช่นกัน สีหน้าของราชาผียักษ์เป็นปกติ ทว่าในใจกลับไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี บำเพ็ญตบะมาจนถึงวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนอย่างป๋ายฮ่าวผู้ไม่เหมือนใคร…
“ป๋ายฮ่าว เจ้าจัดการตรงนี้ให้เรียบร้อย…อู๋ฉางกง เจ้าตามข้าผู้เป็นราชามา” ราชาผียักษ์แอบส่ายหัวอยู่กับตัวเอง ไม่ได้สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก แต่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สายตามองไปยังอู๋ฉางกง ก่อนจะหมุนกายเดินกลับเข้าไปในตำหนักใหญ่
“ป๋ายฮ่าวรับพระบัญชา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดังทันที ความรู้สึกที่ว่าอำนาจอยู่ในกำมือทำให้เขาฮึกเหิมอย่างยิ่ง
อู๋ฉางกงสูดลมหายใจเข้าลึก มือขวายกขึ้นคว้าโยวหมิงกงที่เงียบงันแล้วเดินตามไปทันที แต่เขากลับสังเกตเห็นสายตาคมกริบของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังมองประเมินตนอย่างต่อเนื่องคล้ายกำลังวิเคราะห์ว่าตนจะสร้างภัยคุกคามให้กับราชาผียักษ์หรือไม่ ภาพนี้ทำให้เขารู้สึกพิลึกพิลั่น คิดว่าเจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้…จะเกินไปหน่อยไหม
ทว่าเขากลับไม่เผยอารมณ์ใดออกมาทางสีหน้า แถมยังส่งยิ้มเป็นมิตร พยักหน้าเบาๆ ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนจะเข้าไปในตำหนักราชาด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนสายตากลับมาด้วยความพึงพอใจ ในใจให้ลำพองจนมิอาจควบคุมตัวเองได้แล้ว
“ฮ่าๆ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ช่าง…ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก แม้แต่คนฟ้าก็ยังยิ้มน้อยๆ แสดงความเป็นมิตรกับข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบานเป็นกระด้ง เอามือไพล่หลังยืนอยู่กลางอากาศนอกรูปปั้นราชาผียักษ์ ก้มหน้าลงมองทุกคนเบื้องล่างท่าทีเย่อหยิ่ง
ทันใดนั้นพระยาสวรรค์สี่คนที่ไม่ได้ก่อกบฏก็บินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของพวกเขาเผยรอยยิ้มประจบเอาใจอย่างเต็มที่ ก่อนจะคารวะพร้อมเพรียงกันด้วยสีหน้านอบน้อมเป็นพิเศษ
“ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินมานานแล้วว่าน้องป๋ายฮ่าวห้าวหาญไม่ธรรมดา พรสวรรค์เลิศล้ำ วันนี้ได้เห็นกับตาถึงรู้ว่าข่าวลือผิดจากความจริงนัก น้องป๋ายใช่แค่ห้าวหาญไม่ธรรมดาเสียที่ไหน แต่ต้องเรียกว่าคือมังกรในฝูงชน เป็นเอกในใต้หล้าเลยต่างหาก! ที่พี่ชายมีเครื่องประดับหยกซึ่งหลอมพลังจิตมาสิบห้าครั้ง แค่ข้าได้เห็นน้องป๋ายฮ่าวครั้งแรกก็รู้สึกเลยว่าหยกชิ้นนี้มีวาสนากับเจ้า เจ้าต้องรับไว้ให้ได้นะ”
“นั่นสิ น้องป๋ายฮ่าว วันนั้นที่ปะทะกับสามคนฟ้า สามารถพูดได้ว่าชื่อของเจ้าระบือไปทั่วแดนทุรกันดาร ในแผ่นดินจักรพรรดิขุยของพวกเรา มียอดฝีมือคนใดเปรียบเทียบกับน้องป๋ายฮ่าวได้บ้าง? ไม่มีเลยสักคนเดียว!
เจ้ายังไม่มีที่พักในนครผียักษ์ใช่ไหม ข้าเตรียมรอไว้ให้น้องป๋ายฮ่าวเรียบร้อยแล้ว ขอน้องป๋ายฮ่าวโปรดรับไว้ด้วย”
“สามคนฟ้านั้นก่อกบฏ เมื่อเจอกับน้องป๋ายฮ่าว สองคนบาดเจ็บสาหัส อีกคนหนึ่งถึงกับสูญเสียเรือนกายที่มีเลือดเนื้อ น้องป๋ายฮ่าว เจ้าก็คือความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของแดนทุรกันดารเรา อาวุธวิเศษชิ้นนี้มีเพียงน้องป๋ายฮ่าวเท่านั้นถึงจะคู่ควร…” พระยาสวรรค์สี่คนนี้ล้วนประจบยกยอเต็มที่ ทั้งยังรีบหยิบเอาอาวุธวิเศษออกมาให้ หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น พวกเขาคงไม่มีทางทำเช่นนี้ ทว่าตอนนี้ด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว อยากจะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนช่วยพูดให้กับพวกเขาจึงจำต้องรีบลงทุนก้อนใหญ่
“ที่ไหนกันๆ พวกเราล้วนอุทิศตนเพื่อหวังเหย่ ทั้งสี่ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ แม้ถ้อยคำจะเกรงใจ แต่มือกลับไม่ช้า รีบรับเอาอาวุธวิเศษที่คนทั้งสี่มอบให้ไปทันทีอย่างไม่มีลังเล
พระยาสวรรค์ทั้งสี่คนเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนรับของไปแล้วจึงคลายใจลงได้ จากนั้นจึงพูดคุยด้วยความเกรงอกเกรงใจกันอีกพักหนึ่ง ไม่นานก็เริ่มเรียกกันว่าพี่อย่างนั้นน้องอย่างนี้ แถมยังถึงขั้นเชื้อเชิญให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปเป็นแขกที่บ้านโดยบอกเป็นนัยๆ ว่ายังมีของขวัญชิ้นโตรออยู่
ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ลำพองใจมากกว่าเดิม หลังจากพูดคุยกับพระยาสวรรค์ทั้งสี่คนอีกพักหนึ่งก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก่อนจะออกคำสั่งในนามของราชาผียักษ์ให้เอาตัวพระยาสวรรค์หกคนที่ถูกปิดผนึกไปขังไว้ในคุกมาร
จากนั้นก็สั่งความให้กุมตัวคนอื่นๆ ที่ก่อกบฏไปขัง ซ่อมแซมเมือง ปลอบประโลมชาวบ้านร้านตลาด ทั้งยังสั่งให้กองทัพไปล้อมสามตระกูลใหญ่เอาไว้โดยไม่อนุญาติให้คนของทั้งสามตระกูลเข้าออกเด็ดขาด
ทั้งหมดทั้งมวลนี้แม้ไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่ามีระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน พอทำทุกอย่างเสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เรียกกองทหารลาดตระเวนให้กลับมาทำงานอีกครั้ง นครผียักษ์จึงกลับคืนสู่สภาวะปกติ แล้วเสร็จเขาถึงได้มายืนอยู่นอกตำหนักราชาด้วยท่าทางปักหลักเฝ้าพิทักษ์ ทั้งยังคอยมองประเมินไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง ทว่าในใจเขากลับคิดว่าราชาผียักษ์เรียกตัวอู๋ฉางกงไปนานมากแล้ว แม้ว่าทั้งสองต้องคุยกันเรื่องกบฏแน่นอน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ข่าวมาว่าอู๋ฉางกงคือคนคนเดียวที่ไม่ได้ก่อกบฏ ทั้งยังเป็นคนฟ้าที่ปกป้องราชาผียักษ์ ดังนั้นในใจจึงยิ่งระแวดระวัง
“อู๋ฉางกงผู้นี้คือคนฟ้า ตำแหน่งสูงกว่าข้านี่นา…ดูจากท่าทางของเขา บางทีอาจจะพอมองท่าทีของราชาผียักษ์ออก?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ไม่นานก็มาถึงกลางดึก อู๋ฉางกงเดินออกมาจากในตำหนักใหญ่ ใบหน้ายังหลงเหลือความตื่นเต้น พอออกมาจากตำหนักใหญ่เขาก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ดวงตาจึงเปล่งประกายวิบวับ คลี่ยิ้มส่งไปให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองเห็นอู๋ฉางกงจึงรีบเดินรุดหน้ามาประสานมือคารวะ
“คารวะอู๋ฉางกง”
“ผู้กำกับการป๋ายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
อู๋ฉางกงหัวเราะฮ่าๆ ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนค้อมตัวก็เอามือรับไว้ก่อน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขวาง
“ครั้งนี้ผู้กำกับการป๋ายสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ อนาคตย่อมกว้างไกลไร้ขีดจำกัด ตอนนี้นครผียักษ์เพิ่งผ่านการจลาจลมา ยังมีเรื่องอีกมากมายรอให้จัดการ เจ้าและข้าสองคนต้องทำความคุ้นเคยปรึกษากันให้มากจึงจะดี” อู๋ฉางกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งตะลึงไปกับคำเรียกขานว่าผู้กำกับการป๋าย ทว่ากลับไม่ได้ถามมาก ทำเพียงพูดคุยด้วยรอยยิ้มกับอู๋ฉางกงอย่างมีมารยาทต่ออีกสองสามคำ มองเงาร่างที่จากไปของอู๋ฉางกง ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนพลันคลายลง ขณะที่สมองกำลังหมุนเร็วจี๋ ในตำหนักราชาก็มีเสียงเรียกของราชาผียักษ์ดังลอยมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วจึงก้มหน้าเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่อย่างนอบน้อม ครั้นจึงได้เห็นราชาผียักษ์ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานของตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้ามากบารมีโดยที่ไม่ต้องแสดงความโกรธ
“เรื่องข้างนอกจัดการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ราชาผียักษ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ราชายิ่งดูมีอำนาจมากกว่าตอนอยู่ข้างนอก ยามนี้เขาเอ่ยปากเนิบช้า ดวงตาโชนแสงดุจสายฟ้า พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเข้าก็ยิ่งตื่นตระหนก รีบกุมมือคารวะตอบเสียงดัง
“ความวุ่นวายในนครผียักษ์ เดิมทีจัดการได้ไม่ง่าย โชคดีที่หวังเหย่ทรงพระปรีชา ใต้หล้าไร้ผู้ใดทัดเทียม แค่ประโยคเดียวของท่าน แค่ท่านกวาดสายตามองครั้งเดียวนภากาศก็สั่นสะท้าน ผู้คนเคารพยำเกรง และยิ่งพอนึกถึงฟ้าฝนที่ตกตามฤดูกาลยามหวังเหย่ปกครองเมือง ประชาราษฎร์จึงมีที่พึ่งทางใจ ดังนั้นข้าน้อยจึงจัดการได้อย่างราบรื่น” ขณะที่พูดป๋ายเสี่ยวฉุนก็แอบเหลือบมองสีหน้าของราชาผียักษ์ไปด้วย
พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ราชาผียักษ์ที่เดิมทียังเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามถึงกับหนังหน้ากระตุก ความน่ายำเกรงในดวงตาถูกแทนที่ด้วยความอ่อนใจ เขามองออกแล้วว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้เอ่ยประจบสอพลอจนติดลมเสียแล้ว
แต่ลึกๆ ในใจของเขากลับถูกใจในคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก เพราะอย่างไรซะคำตอบเช่นนี้เขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าภายนอกกลับถลึงตาใส่อีกฝ่าย
“อย่ามัวแต่เอาความคิดใช้หมดไปกับคำพูดไร้สาระ ป๋ายฮ่าว ตบะของเจ้าไม่เพียงพอ ต้องทุ่มเทกายใจพัฒนาตบะของตัวเองให้สูงยิ่งกว่านี้ เข้าใจไหม”
ราชาผียักษ์เอ่ยเสียงทุ้มหนัก ยิ่งนึกถึงภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนผสานเลือดวิญญาณหยดเดียวของตนแต่กลับร่ายใช้การโจมตีของครึ่งเทพได้หนึ่งครั้งก็ยิ่งทำให้ในใจของราชาผียักษ์เกิดความชื่นชมและเห็นดีในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น
“หวังเหย่โปรดวางใจ ท่านผู้อาวุโสมีตบะล้ำเลิศกลบธรณี ใต้หล้าไร้พ่าย ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่ข้าเห็นหวังเหย่เข้าฌาน ในใจก็ให้ปลดปลงยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อครู่นี้ที่ได้เห็นพลังอำนาจเกรียงไกรทรงพลังของหวังเหย่ ก็ยิ่งทำให้ใจข้าสั่นสะท้านอย่างแรงราวกับถูกกรอกเทสติปัญญา เส้นชีพจรตลอดทั้งร่างโปร่งโล่งขึ้นมาอีกเยอะมาก หลังกลับไปข้าจะปิดด่านรีบฝ่าทะลุขั้นโดยเร็วที่สุด จะไม่ทำให้หวังเหย่ขายหน้าผู้อื่นเด็ดขาด เพียงแต่…คือว่า…ข้าล่วงเกินคนไว้เยอะมาก กังวลว่าตอนปิดด่านคนอื่นจะตามมาแก้แค้นข้าเอาได้”
พอเห็นสีหน้าของราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ผ่อนลมหายใจยาวอยู่ในใจ พอตอบมาถึงช่วงสุดท้าย หน้าตาก็เริ่มบูดบึ้ง ทว่าระหว่างนี้ก็ยังไม่ลืมเอ่ยเอาใจอีกฝ่าย ทำให้ราชาผียักษ์ยิ่งมีสีหน้าระอาใจ เขาฟังคำหมายในคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนออก อีกฝ่ายต้องการขออำนาจจากเขาชัดๆ
“เจ้านี่นะ…เอาเถอะๆ ข้าจะสั่งความออกไป วันหน้าให้เจ้ารับตำแหน่งผู้กำกับการก็แล้วกัน” ราชาผียักษ์โบกมือหมายไล่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับออกไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำว่าตำแหน่งผู้กำกับการนี้ก็งุนงงเล็กน้อย แต่คิดได้ว่าตำแหน่งน่าจะไม่เล็กนัก ในใจจึงดีใจฮึกเหิม ผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก ก่อนจะรีบเอ่ยปากอีกครั้ง
“หวังเหย่ สามตระกูลใหญ่นั่นถึงขั้นกล้าก่อกบฏ แถมตอนแรกยังไล่ฆ่าพวกเรา ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ พูดถึงความชั่วร้ายของสามตระกูลออกมา อันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้อยากพุ่งเป้าเล่นงานสามตระกูลเท่าไหร่นัก เพียงแต่คิดจะใช้สิ่งนี้มาทำให้ราชาผียักษ์เห็นถึงความอเนจอนาถและสิ่งที่เขาต้องจ่ายไปตอนปกป้องอีกฝ่ายก่อนหน้านี้
ราชาผียักษ์จ้องป๋ายเสี่ยวฉุน แค่นเสียงเย็นในลำคอทีเดียวแล้วไม่เอ่ยคำใด ทว่านัยน์ตากลับฉายแสงเย็นเยียบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นสายตานี้ก็หุบปากฉับ รีบร้องบอกลาเสียงดังแล้วจากไปทันที
พอเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ ลมพัดโชยมาเขารู้สึกเสียวสันหลังน้อยๆ จึงพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งครั้ง บทสนทาในตำหนักใหญ่ก่อนหน้านี้มองดูเหมือนธรรมดา แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวนี่นา เพราะราชาผียักษ์ทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายอารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมความคิดยังลึกล้ำเกินจะหยั่ง
“แต่ว่าคำพูดประจบของข้าเหมือนจะได้ผลดี พันอ้อมหมื่นอ้อม มีเพียงคำประจบของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ไม่เคยอ้อม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลอกตา ครุ่นคิดว่าต่อไปควรจะใช้วิธีนี้เป็นหลัก พับเก็บเรื่องนี้เอาไว้จากนั้นก็นึกไปถึงท่าทีที่พระยาสวรรค์สี่คนมีต่อตนวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกบานขึ้นมาทันที
“ขอแค่ทำให้ราชาผียักษ์อารมณ์ดี วันหน้าที่ใช้ชีวิตอยู่ในแดนทุรกันดารจะยังมีใครกล้ามาหาเรื่องข้าอีก?! เบื้องหลังของข้าคือราชาผียักษ์เชียวนะ!”