Skip to content

A Will Eternal 728

บทที่ 728 เจ้าพระยาสวรรค์นับกะนกอะไร

เสียงตูมดังลั่น ชายหนุ่มชุดชมพูกระอักเลือดพุ่งเป็นสาย ร่างถูกพลังมหาศาลขุมใหญ่กระแทกจนปลิวละลิ่ว ใบหน้าเขาเปรอะไปด้วยเลือดสด อารมณ์คลุ้มคลั่งสุดขีด

“เจ้ากล้าลงมือในนครจักรพรรดิขุยเชียวรึ!!”

“ข้าจะลงมือใครจะทำไม เจ้าติดยาวิญญาณข้าไม่ยอมจ่าย ไม่ว่าอยู่ที่ไหนข้าก็เป็นฝ่ายถูก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างเดือดดาล ปรี่ขึ้นหน้าไปกระทืบอีกฝ่ายอย่างแรงอีกหนึ่งที

เท้านี้เตะเอาร่างของชายหนุ่มชุดชมพูลอยลิ่วไปพร้อมเสียงดังตูม ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเขาจะฝังเลื่อมลงไปบนผนัง ชายหนุ่มชุดชมพูผู้นั้นกระอักเลือดไม่หยุด กระดูกทั้งร่างคลาดเคลื่อนไปหมด ความโกรธแค้นโจมตีหัวใจ บวกกับที่ตบะยุ่งเหยิงวุ่นวายจึงหมดสติไปทันที

“หึ กล้าชักดาบกับข้าอย่างนั้นรึ ท่านย่าเจ้าเถอะ บัญชีของนายท่านป๋าย คนอย่างเจ้าก็ชักดาบได้อย่างนั้นรึ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธเสียแล้ว เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กชุดชมพูผู้นี้ทำตัวทุเรศมาก เดิมพันแพ้กลับคิดจะชักดาบเผ่นหนี นี่มันเท่ากับดูถูกตนชัดๆ ชีวิตนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนล่ะเกลียดคนที่ดูถูกเขาที่สุดเลย

“ป๋ายฮ่าวเจ้าบังอาจ!”

“เฉินสงคือบุตรกิเลนของตระกูลเฉินข้า บุรพาจารย์ตระกูลเฉินของข้าคือเจ้าพระยาสวรรค์คนปัจจุบัน!” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มชุดชมพูถูกเตะจนกระแทกลงไปในผนัง ผู้เฒ่าสองคนที่พิทักษ์ชายหนุ่มชุดชมพูก็เดือดพล่าน ร้องคำรามกร้าวขึ้นมาทันใด

“เจ้าพระยาสวรรค์?” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ รู้ดีว่าผู้ที่ได้เป็นเจ้าพระยาสวรรค์ในแดนทุรกันดารนั้นมีเพียงคนฟ้าขั้นสูงสุดเท่านั้น ขนาดคนฟ้าอย่างอู๋ฉางกงยังเป็นได้แค่เจ้าพระยาปฐพี

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าตัวเองทำตามเหตุตามผล เพราะอย่างไรซะอีกฝ่ายก็เป็นคนมาหาเรื่องเขาก่อน คนที่เสนอให้เดิมพันก็คืออีกฝ่าย แต่พอเกิดเรื่องกลับคิดจะกลับคำแถมยังเตรียมเผ่นหนี ตนไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย และแน่นอนว่าจะทำขลาดกลัวไม่ได้ ดังนั้นแม้ใจจะกระวนกระวายอยู่บ้าง แต่รอบด้านมีคนมากมายมองดูอยู่ เขาจึงกัดฟันถลึงตากลับไป

“เจ้าพระยาสวรรค์นับกะนกอะไร (นกในภาษาจีนเป็นคำด่าหมายถึงอวัยวะเพศชาย) ตอนที่ข้าผู้อาวุโสอยู่นครผียักษ์ ขนาดครึ่งเทพก็ยังจับตัวมาแล้ว!”

ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พลังไร้รูปลักษณ์ระลอกหนึ่งกวาดเอาร่างของสองผู้เฒ่าผู้พิทักษ์ชายหนุ่มชุดชมพูให้ม้วนตลบไปกระแทกลงบนกำแพง และทั้งสองก็หมดสติไม่ต่างจากนายตัวเอง

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทุกคนทั้งในและนอกร้านต่างก็เห็นกันจะๆ ตา แต่ละคนสูดลมดังเฮือก สะท้านสะเทือนไปกับความกร้าวแกร่งห้าวหาญของป๋ายเสี่ยวฉุน และเรื่องนี้ก็ยิ่งแพร่ไปทั่วนครจักรพรรดิขุยอย่างรวดเร็ว

“หุนเอ๋อร์ ปิดประตู!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลำพองใจ วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่อกสั่นขวัญผวาจึงลอยออกมา รีบส่งลูกค้าในร้านให้กลับออกไป ครั้นจึงงับประตูใหญ่ให้ปิดลง

ผู้ฝึกวิญญาณทุกคนที่ดูเรื่องสนุกอยู่ด้านนอกต่างก็รู้สึกว่าทุกเรื่องราวที่ได้เห็นในวันนี้ช่างชวนใจหายใจคว่ำยิ่งนัก ยามนี้เสียงเอ็ดอึงจึงดังยาวนานไม่ขาดหาย พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าเจ้าพระยาสวรรค์ของตระกูลเฉินคงไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ จึงคิดจะรออยู่ที่นี่เพื่อรอดูว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

“เกรงว่าหลังจากนี้ร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้านี่คงชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั้งนครจักรพรรดิขุยแน่นอน!”

“หลอมพลังจิตสิบห้าครั้ง ลำพังแค่เรื่องนี้ก็มากพอจะพิสูจน์ให้เห็นว่าร้านนี้เก่งกาจสมชื่อและกลอนคู่ที่แขวนไว้จริงๆ!”

“นึกไม่ถึงเลยว่าในพื้นที่ที่แปดสิบเก้าจะซุกซ่อนยอดฝีมือเอาไว้ คนผู้นี้มีนามว่าป๋ายฮ่าว ทำไมข้ารู้สึกคุ้นหูชื่อนี้นักนะ”

ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนมากมายดังก้องไปทั่ว พวกเขาเองก็ได้ยินชื่อป๋ายฮ่าวที่ชายหนุ่มชุดชมพูตะโกนออกมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้พอลองนึกตามดู ไม่นานก็มีผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นแล้วร้องอุทานเสียงหลง

“ป๋ายฮ่าว ข้านึกออกแล้ว เขาคือป๋ายฮ่าวจากนครผียักษ์ คนที่สังหารบิดาแท้ๆ ของตัวเอง ช่วยราชาผียักษ์ปราบกบฏ และตอนหลังยังลักพาตัวศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้สูงศักดิ์ทุกคนในกาหลอมวิญญาณ!!”

“สวรรค์ ข้าก็นึกออกแล้วเหมือนกัน เป็นเขา คนที่เล่าลือกันว่าใจคออำมหิตไร้ปราณี ไม่นับญาติกับผู้ใด ทั้งยังชอบรังแกคนอ่อนแอกว่า ทำให้ชาวประชาเคียดแค้น!”

“นั่นยังไม่เท่าไหร่ ข้ายังได้ยินมาว่าคนผู้นี้ชอบแย่งเมียคนอื่นเป็นพิเศษ ไร้ยางอายหน้าหนาอย่างถึงที่สุด นี่เขามาอยู่นครจักรพรรดิของพวกเราแล้ว และแค่สะบัดกายครั้งเดียวก็กลายมาเป็นปรมาจารย์หลอมพลังจิตเสียแล้ว!”

เมื่อเสียงที่ดังขึ้นๆ ลงๆ นั้นแพร่ไปทั่ว

คนมากกว่าเดิมก็เริ่มนึกถึงตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาได้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงร้องอุทานจึงยิ่งดังกระหึ่ม เวลาเดียวกันนั้น ในร้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนเอามือไพล่หลังมองชายหนุ่มชุดชมพูและผู้พิทักษ์เฒ่าอีกสองคนที่ร่างฝังเลื่อมลงไปบนกำแพง มองรอยปริร้าวทั่วผนังรอบด้าน ไพล่นึกไปถึงพฤติกรรมกำเริบเสิบสานและการปฏิเสธความรับผิดชอบของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งโมโหเดือดขึ้นเรื่อยๆ

“รังแกกันมากเกินไปแล้ว ข้าอุตส่าห์มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ไม่ไปหาเรื่องคนอื่น แถมยังยอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม ทว่าไอ้หมอนี่ยังมารังแกข้าถึงที่!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้พลังอำพรางของหน้ากากแล้วบ่นพึมกับวิญญาณป๋ายฮ่าว “ฮ่าวเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอาจารย์เลยนะ เจ้าเองก็เห็นแล้ว พวกเขาทำเกินไปจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ป๋ายฮ่าวที่ยืนอยู่ข้างกันส่ายหัวยิ้มเจื่อน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ตอนนี้ก่อเรื่องขึ้นมาแล้ว และเรื่องนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ใช่คนเริ่มจริงๆ ต้องเรียกว่าต้นไม้อยากหยุดนิ่งแต่ลมไม่หยุดพัดไหวจะดีกว่า

“ท่านอาจารย์ ตอนนี้ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาแล้วล่ะขอรับ อีกไม่นานคนในตระกูลของคนผู้นี้คงตามมาแน่ๆ” ป๋ายฮ่าวกล่าวอย่างหนักใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มร้อนตัวขึ้นมาบ้างแล้ว ก่อนหน้านี้มองดูเหมือนเขาจะวางโตโอหัง แต่ในใจก็ตื่นตระหนกเหมือนกัน เพราะอย่างไรซะตระกูลอีกฝ่ายก็มีคนฟ้า แถมที่นี่ยังไม่ใช่นครผียักษ์ ดังนั้นเขาจึงรีบหยิบแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงหาราชาผียักษ์

ไม่นาน เสียงที่เต็มไปด้วยความเผด็จการของราชาผียักษ์ก็ดังกลับมา

“กลัวอะไร ก็แค่เจ้าพระยาสวรรค์ไม่ใช่หรือ ป๋ายฮ่าว เจ้าเป็นผู้กำกับการใหญ่ของนครผียักษ์ แถมยังเป็นลูกเขยของข้าผู้อาวุโส ในเมื่อคนผู้นี้กล้ามาหาเรื่องเจ้า ตีแล้วก็ตีไป แต่หากเฉินห่าวซงกล้าเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ข้าผู้อาวุโสก็ทำได้เหมือนกัน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้สึกซาบซึ้งใจแบบนี้มานานมากแล้ว พอได้ยินเสียงของราชาผียักษ์ที่ตอบกลับมา เขาก็รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมเกินจะเปรียบประหนึ่งได้ยินเสียงสวรรค์ รู้สึกว่าในใจของราชาผียักษ์ยังมีตนอยู่ ดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ความกดดันพลันสลายหายไป เมื่อเงยหน้ามองพวกชายหนุ่มชุดชมพูสามคนจึงยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตา

“หึ คิดจะชักดาบข้า ข้าก็ต้องเก็บกำไรมาก่อนสักเล็กน้อย อย่างไรซะก็มีราชาผียักษ์คอยหนุนหลังให้ข้าอยู่แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็เลียริมฝีปาก ครุ่นคิดว่าหากตนทำอย่างนี้จะเกินไปหน่อยหรือไม่ แต่พอนึกถึงยาวิญญาณแปดสิบล้านเม็ด เขาก็โมโหขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นจึงหยิบร่มราตรีนิรันดร์ออกมาแล้วทิ่มลงไปบนร่างของชายหนุ่มชุดชมพู

“ข้าแค่ดูดเอามานิดเดียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำกับตัวเอง การทิ่มครั้งนี้ทำเอาชายหนุ่มชุดชมพูเบิกตาโพลง ใบหน้ามีเส้นเอ็นปูดโปน ควบคุมเสียงร้องโหยหวนของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่

เสียงร้องนี้ทำให้พวกคนด้านนอกที่ได้ยินตะลึงงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตกใจจนรีบหุบร่มกลับมา เพียงแค่ครู่เดียวนี้เขาก็ดูดเอาพลังชีวิตของชายหนุ่มชุดชมพูมาเกือบหนึ่งส่วนแล้ว พอพลังชีวิตนั้นผสานรวมเข้ามาในร่างกาย ทำให้ขั้นกระดูกหลอมวิชาอมตะมิวางวายของเขาพัฒนาไปอีกเล็กน้อย

“ป๋ายฮ่าว เจ้าทำอะไร เจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่!!” ชายหนุ่มชุดชมพูร่างผอมซูบลงไปรอบใหญ่ เขาร้องคำรามเกรี้ยวกราดใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังพยายามดิ้นรน หมายจะออกไปจากกำแพงนี้

“หุบปาก ข้าแค่ดูดนิดเดียวเอง จะเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว เจ้ายังติดค้างยาวิญญาณข้าแปดสิบล้านกว่าเม็ด เจ้ายังมีหน้ามาด่าข้าอีกรึ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตากลับไปทันใด เห็นว่าเสียงของคนผู้นี้ยังดังกังวานใสแจ๋ว แสดงว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ไหนๆ ก็ดูดมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดูดอีกนิดหนึ่งแล้วกัน พอคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เอาร่มราตรีนิรันดร์ทิ่มลงไปอีกที

เสียงร้องโหยไห้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงก่นด่าก็ดังระงมขึ้นๆ ลงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนทิ่มลงไปเป็นครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า

ป๋ายฮ่าวมองเซ่อไปทันใด ก่อนจะรีบเอ่ยห้าม

“อาจารย์ หากท่านยังทิ่มอีกทีเขาตายแน่”

“วางใจเถอะ อาจารย์มีประสบการณ์”  ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งทิ่มยิ่งสะใจ ไปๆ มาๆ ร่างของชายหนุ่มชุดชมพูก็ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เสียงร้องตะโกนอ่อนระโหยโรยแรง พอถึงท้ายที่สุดก็เหลือเพียงลมหายใจรวยริน ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของเขาฉายความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจก็ยิ่งเสียใจเหลือคนณา ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเหล่าสหายของเขาถึงได้เอาแต่ด่ากราด ทว่ากลับไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนจริงๆ

พอทิ่มชายหนุ่มชุดชมพูเสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันไปมองที่ผู้พิทักษ์เฒ่าสองคน ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงหันไปมองป๋ายฮ่าว

“ฮ่าวเอ๋อร์ เจ้าว่า ข้าจะทิ่มเจ้าสองคนนี้ด้วยดีไหม?”

ป๋ายฮ่าวยิ้มเฝื่อน เขามองเห็นคาตาตัวเองว่าชายหนุ่มชุดชมพูถูกอาจารย์ของตนเล่นงานซะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก สภาพน่าเวทนาเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกสงสารอีกฝ่ายไม่น้อย แต่ในเมื่อท่านอาจารย์ถามมา เขาก็ยังตอบในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป

“คือว่า ในเมื่อทิ่มเขาแล้วก็เท่ากับล่วงเกินเจ้าพระยาสวรรค์เฉินไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าทิ่มหรือไม่ทิ่มสองคนนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง”

“เจ้าเองก็มีประสบการณ์มากเหมือนกันนี่นา ฮ่าๆ อาจารย์ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่า หยิบร่มราตรีนิรันดร์ขึ้นมาทิ่มลงไปอีกครั้ง ไม่นานร่างของผู้พิทักษ์เฒ่าทั้งสองก็พากันผอมซูบ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้หนักรู้เบา สองคนนี้เขาแค่ดูดเอามาส่วนเดียวเท่านั้น เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็ไม่ใช่ตัวการหลัก

ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังดูดพลังชีวิตอย่างสำราญใจ ประตูใหญ่ของร้านเขากลับถูกพละกำลังขุมใหญ่ถีบกระแทกให้เปิดออกดังตูม เมื่อประตูถูกถีบเปิด พลังอำนาจของคนฟ้าก็ระเบิดมาจากด้านนอกทันที

“ป๋ายฮ่าว!” วินาทีที่พลังอำนาจนั้นลอยมาปะทะใบหน้า เสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันที่แฝงเร้นไว้ด้วยความเดือดดาลของสตรีธุลีแดงก็พลันดังสนั่นหวั่นไหว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!