Skip to content

A Will Eternal 9

บทที่ 9 ยาเพิ่มอายุ

วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเดือนหนึ่งผ่านไป สายลมหนาวก็โชยชายมาตามแม่น้ำทงเทียนพัดผ่านสำนักธาราเทพ เมื่อใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงปลิดปลิว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ค้นพบอย่างกะทันหันว่าตัวเองมาอยู่ที่สำนักธาราเทพได้หนึ่งปีแล้ว

หนึ่งปีนี้สำหรับเขาแล้วเกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน จากคนธรรมดาคนหนึ่งกลายมาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ฝึกวิชาจนได้ถึงขั้นที่สามของการรวมลมปราณ และเขายังได้ขจัดข้อพิพาทที่เกิดจากการเป็นสมาชิกคนหนึ่งในฝ่ายครัวไฟด้วย

สวีเป่าไฉไม่มาปรากฏตัวหน้าประตูของฝ่ายครัวไฟอีกเลย หรือแม้แต่เวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงเขาไปซื้อของใช้จำเป็นของฝ่ายครัวไฟ เคยได้เห็นสวีไฉเป่าจากที่ไกลๆ สวีไฉเป่าเมื่อเห็นเขาก็รีบหลบเลี่ยง เหมือนว่าหวาดกลัวเขาอย่างถึงที่สุด

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมักจะทำหน้าระทมทุกข์ ทอดถอนใจอยู่เสมอ และก็ไม่ได้ไปพูดอะไรให้พวกจางต้าพั่งฟัง เอาแต่จนใจอยู่กับตัวเอง

“อายุขัยหนึ่งปีเชียวนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปบนต้นไม้ใหญ่ที่ห่างไปไม่ไกล ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมื่อลมพัดก็ปลิดปลิวร่วงลงมา

“ข้าก็เหมือนกับไม้ใหญ่ต้นนี้ ใบไม้ที่ร่วงลงมาก็คืออายุขัยหนึ่งปีของข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ ก็ยิ่งเศร้ารันทด

หนึ่งเดือนมานี้เขาพยายามบำรุงร่างกายด้วยทุกวิถีทาง แต่ผมขาวตรงไรหน้าผากเส้นนั้นก็ยังคงไม่กลับมาเป็นสีดำ เขาลองถามพวกจางต้าพั่งโดยพูดเป็นเชิงเปรียบเปรยดูแล้ว เข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าในโลกที่แท้จริงของการบำเพ็ญเพียร วิธีชดเชยอายุนั้นใช่ว่าจะไม่มี แต่ถ้าไม่ใช่มีข้อจำกัดบางประการ ก็หาได้ยากยิ่งเหมือนขนหงส์เขากิเลน

กลายเป็นว่าเขาค่อยๆ ไม่อยากข้าวไม่อยากน้ำ แม้แต่ใบหน้าเล็กๆ ก็ยังซีดเซียวไปด้วย แต่ขณะที่เขาทำได้เพียงเลือกที่จะล้มเลิกความตั้งใจ จำเป็นต้องยอมรับเรื่องที่อายุขัยของตัวเองลดน้อยไปหนึ่งปีนั้น หลังเที่ยงของวันหนึ่ง เขาที่ออกไปซื้อของนอกฝ่ายครัวไฟ ยืนอยู่ตรงตีนเขาของยอดเขาที่สาม มองไปยังป้ายหินขนาดมหึมาก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงนั้น ลมหายใจก็ค่อยๆ ถี่กระชั้นขึ้น

ป้ายหินแท่นนี้อยู่ตรงชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพ ทุกตีนเขาของแต่ละยอดเขาจะมีอยู่หนึ่งก้อน ด้านบนมีตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงเป็นแถวเป็นแนวแน่นขนัด เปล่งแสงพริบพราว กลิ้งไหลเหมือนธารน้ำริน เปลี่ยนสลับแถวใหม่อยู่ตลอดเวลา

ที่นี่คือสถานที่รับภารกิจของสำนักธาราเทพ ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพ ล้วนจำเป็นต้องทำภารกิจของสำนักให้สำเร็จ เพื่อแลกเอาหินวิเศษรวมถึงคะแนนจากการทำคุณงามความดีซึ่งจำเป็นสำหรับการฝึกวิชา

โดยเฉพาะคะแนนจากการทำคุณงามความดี ไม่ว่าจะเป็นการไปฟังสวดพระคัมภีร์ หรือไปหออาคม หรือไม่ก็ไปยังสถานที่ฝึกวิชาที่พิเศษแต่ละแห่ง การทำทุกเรื่องภายในสำนักแทบจะเอามาใช้ได้ทั้งสิ้น ถึงกระทั่งที่ว่าในบางระดับ มันยังมีค่ามากกว่าหินวิเศษด้วยซ้ำ

ในเวลานี้ด้านข้างป้ายหินภารกิจตรงตีนเขาของยอดเขาที่สาม มีศิษย์นอกฝ่ายจำนวนไม่น้อยกำลังมองจดจ่อไปที่นั่นตาไม่กะพริบ หลังจากที่เลือกภารกิจได้แล้ว ก็รีบพูดเบาๆ ขอบคุณผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ใต้ป้ายหินทันที

และนักการบางส่วนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เมื่ออยู่ท่ามกลางศิษย์นอกฝ่ายที่สวมเสื้อคลุมยาวพลิ้วสีเขียว ก็จะสามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจนจากเสื้อผ้าที่สวมใส่

ภารกิจของสำนักธาราเทพ หากเป็นภารกิจที่มีแค่ลูกศิษย์ในฝ่ายเท่านั้นที่ทำได้ถึงจะกำหนดว่าไม่ให้ปรากฏขึ้นในป้ายหินแห่งนี้ ส่วนภารกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์นอกฝ่ายหรือฝ่ายงานนักการ ล้วนสามารถเลือกทำได้ทั้งสิ้น

พวกนักการบางส่วนที่แสวงหาความก้าวหน้า ล้วนมองสถานที่แห่งนี้เป็นก้าวแรกของการเป็นปลากระโดดข้ามประตูมังกรของตนเอง

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป[1]แล้ว สีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวเสีย จ้องไปยังตรงกลางของป้ายหินก้อนนั้น ตัวอักษรบรรทัดหนึ่งกะพริบระยิบระยับ ใบหน้าเผยแววลังเล

“ยาเพิ่มอายุ…ไม่นึกเลยว่าในสำนักจะมียาประเภทนี้อยู่ด้วย ฟังจากชื่อ เหมือนว่าจะสามารถเพิ่มอายุขัยได้…” เนิ่นนานที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำกับตัวเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก็มาหยุดยืนอยู่ข้างกายผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนที่อยู่ใต้ป้ายหิน

รอบกายของคนผู้นี้มีศิษย์นอกฝ่ายล้อมรอบอยู่จำนวนไม่น้อย พวกเขารู้สึกถึงการมาของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนล้วนเลือกที่จะมองเมิน ด้วยฐานะที่แตกต่างกันทำให้พวกเขาไม่เห็นพวกนักการอยู่ในสายตา

จนกระทั่งคนที่อยู่รอบกายผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเหลือน้อยลง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยท่าทางน่าเอ็นดู ยกมือขึ้นทำท่าคารวะ

“คารวะศิษย์พี่”

ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเงยหน้ากวาดสายตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที พยักหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไร

“ศิษย์พี่ ที่นี่มีภารกิจหนึ่งให้ตามหาสมุนไพรสามสี่อย่าง สามารถเอามาแลกกับยาเพิ่มอายุหนึ่งเม็ดได้ ไม่ทราบว่ายาเพิ่มอายุนี้สามารถนำมาเพิ่มอายุขัยได้หรือไม่?” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอายุขัยของตนเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบถามด่วนจี๋

“ยาเพิ่มอายุ…อืม มีภารกิจนี้อยู่ ยานี้เพิ่มอายุได้จริง สามารถเพิ่มอายุขัยได้หนึ่งปี แต่ว่ามีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย ต้องฝึกฝนได้ต่ำกว่าขั้นที่ห้าของการรวมลมปราณเท่านั้นถึงจะใช้ได้ อีกอย่างมีผลแค่ครั้งเดียว กินอีกรอบก็ไม่มีประโยชน์แล้ว จะว่ามันล้ำค่าก็ล้ำค่าจริง แต่ก็แค่อายุขัยหนึ่งปี จึงมีประโยชน์ไม่มากนัก” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของป๋ายเสี่ยวฉุน อดไม่ได้เลยพูดออกมายาวหลายประโยค

“โดยทั่วไปแล้ว ศิษย์ของสำนักมักจะเอาไปมอบให้คนเฒ่าคนแก่ในครอบครัวที่เป็นคนธรรมดาเพื่อดึงให้พ้นจากความตาย แต่ราคาของมันก็ไม่ธรรมดา เจ้าจะรับภารกิจนี้เหรอ?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองป้ายหินหนึ่งที คิดสะระตะแล้วก็พยักหน้า

ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนยกมือขวาชี้ไปที่ป้ายหิน ทันใดนั้นภารกิจข้อนี้ที่อยู่บนนั้นก็กลายเป็นสีเทา ขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็มีหยกแผ่นบางๆ เพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น โยนให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

“ใบวิญญาณมรกต ผลมังกรดิน หนังแมลงหิน หากสมุนไพรสามอย่างนี้แห้งแล้ว สามารถเอามาแลกยาเพิ่มอายุที่นี่ได้หนึ่งเม็ด” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเอ่ยปากเนิบนาบ ไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก แต่หันไปแนะนำภารกิจให้กับศิษย์นอกฝ่ายที่เดินมาข้างๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนรับแผ่นหยกแล้วจากไป ในสมองเต็มไปด้วยคำว่ายาเพิ่มอายุ แววตาค่อยๆ เผยถึงความเด็ดเดี่ยว

“ต้องแลกเอายานี้มาให้ได้ ชดเชยอายุขัยหนึ่งปีนั้นของข้าที่เสียไป”

พกพาเอาความแน่แน่วเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนตรงดิ่งไปยังฝ่ายสี่สมุทร ค้นหาข้อมูลที่มีไว้ให้พวกนักการหาความรู้ ในนั้นเขาหาคำแนะนำเกี่ยวกับใบวิญญาณมรกตเจอ ของชิ้นนี้คือสมุนไพรที่จะขึ้นเฉพาะในสถานที่ที่อยู่อาศัยของนกโหวหลิง เพราะนกโหวหลิงนี้ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม อีกทั้งหากคิดจะตามหาให้เจอสักตัวก็ยังยากพอๆ กับการฝึกรวมลมปราณขั้นที่สอง คิดจะได้ของสิ่งนี้มามิใช่เรื่องง่าย ดังนั้นราคาจึงไม่ใช่น้อยๆ

ส่วนผลมังกรดินและหนังแมลงหิน ฝ่ายสี่สมุทรไม่มีบันทึกไว้ ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ยิ้มขื่นๆ จากไป หลังจากกลับมาถึงฝ่ายครัวไฟก็สอบถามจากพวกจางต้าพั่ง ผลมังกรดินไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน แต่หนังแมลงหินเฮยซานพั่งรู้จัก ของสิ่งนี้ก็คือหนังที่มาจากการลอกคราบของแมลงวิเศษที่ชื่อว่าแมลงหิน

ว่ากันว่าหนังของมันแข็งเกินจะเปรียบ อีกทั้งยังมีน้ำหนักมาก ที่ชายฝั่งทิศใต้นี้มีน้อย ชายฝั่งทิศเหนือเนื่องจากใช้วิชาควบคุมสัตว์เป็นหลักถึงได้มีอยู่ แต่ว่าชายฝั่งทิศเหนือและทิศใต้ถึงแม้จะอยู่ในสำนักธาราเทพเหมือนกัน แต่มีสะพานภูเขาของยอดเขาหลักขวางกั้น นอกจากจะเป็นศิษย์ของฝ่ายในแล้ว ก็ไม่มีคุณสมบัติเหยียบย่างเข้าไปในสะพานภูเขาเพื่อไปมาระหว่างสองชายฝั่ง

“เจ้าสอบถามเรื่องยาสมุนไพรพวกนี้ไปทำไม? ของพวกนี้กินไม่ได้ อีกอย่างราคาในตลาดด้านล่างชายฝั่งใต้ก็สูงเกินเหตุ” จางต้าพั่งตบท้อง พูดด้วยความแปลกใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำว่าตลาด ดวงตาก็เป็นประกาย หลังจากอธิบายสั้นๆ จบก็ตรงดิ่งลงเขาไป ตลอดหนึ่งปีที่เขาอยู่ในฝ่ายครัวไฟนี้ ถึงแม้ว่าจำนวนที่ออกจากสำนักจะน้อยครั้ง แต่ก็รู้ว่านอกสำนักมีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง

ที่นั่นคือร้านค้าที่ก่อตั้งโดยตระกูลของพวกศิษย์ในสำนัก ซึ่งบางร้านก็เป็นศิษย์ในสำนักเองด้วยซ้ำที่เป็นผู้ถือครอง ให้บริการศิษย์ในสำนักโดยเฉพาะ นานวันเข้าขนาดของตลาดก็ขยายใหญ่ขึ้น

ปกติแล้วของที่ฝ่ายครัวไฟต้องการ ก็มักจะมาซื้อหากันที่นี่

เดินรอบตลาดแล้วหนึ่งรอบ โดยพุ่งไปเฉพาะที่ร้านขายพวกสมุนไพร เมื่อกลับมาที่ฝ่ายครัวไฟอีกครั้ง คิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมวดแน่น ถอนหายใจติดต่อกันหลายครั้ง

“เกินไปแล้ว! โดยเฉพาะผลมังกรดินนั่น ก็แค่ผลจากต้นไม้ที่ปลูกใต้ดินแค่นั้นไม่ใช่เหรอ จะแพงอะไรปานนั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักรู้อย่างจนใจว่า ด้วยความสามารถของตัวเองในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะไปแลกเอายาเพิ่มอายุมาได้

เขาไม่ยึดติดกับเงินทอง เมื่อเทียบกับอายุขัยแล้ว เงินทองมากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เพียงแต่ในเวลานี้กระเป๋าของเขาแฟบแบน อีกอย่างปกติเวลาอยู่กับพวกศิษย์พี่ตัวอ้วนทั้งหลาย เขาเองก็รู้ว่าคนเหล่านั้นมีของให้กินอิ่มท้อง แต่ในกระเป๋าเงินก็แห้งพอกัน ไม่ได้รวยไปกว่าตนสักเท่าไหร่

ส่วนอาหารวิเศษของฝ่ายครัวไฟ พวกเขาขโมยกินก็ไม่มีใครจับได้ แต่หากคิดจะเอาออกไปขาย คนของฝ่ายตรวจการรู้เรื่องขึ้นมา คงเดือดดาลกันอย่างยิ่ง

คิดไปคิดมา เขาเองก็ไม่มีวิธีไหนหาเงินมาได้ นอกซะจากจะหลอมของวิเศษเอาไปขาย

แต่เรื่องนี้เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ เขาครุ่นคิดอย่างหนักติดต่อกันมาหลายวัน วันนี้ขณะที่เขานั่งไขว่ห้างฝึกวิชาอยู่ในห้อง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระฆังดังสะท้อนกลับไปมาอยู่ในสำนัก

เสียงนี้ไม่ดังนัก และหายไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาทั้งสองข้างขึ้น หากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น หลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในสำนักก็จะได้ยินเสียงระฆังนี้ทุกเดือน และก็รู้จากจางต้าพั่งมาตั้งนานแล้วว่า นี่คือการเปิดเส้นทางการทดสอบของแต่ละยอดเขาให้กับฝ่ายนักการ เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์นอกฝ่าย

คิดจะเปลี่ยนจากนักการกลายเป็นศิษย์นอกฝ่ายเหมือนปลากระโดดข้ามประตูมังกร ก่อนอื่นต้องฝึกวิชาได้ถึงขั้นที่สามของการรวมลมปราณ ข้อที่สองคือเลือกเส้นทางทดสอบของยอดเขาหนึ่ง ถึงแม้ว่าเส้นทางทดสอบนั้นจะเป็นขั้นบันไดที่ทอดยาวไปสู่ยอดเขา แต่กลับมีการเพิ่มอาคมควบคุม ทำให้ก้าวเท้าเดินขึ้นไปได้อย่างยากลำบาก หากสามารถเดินขึ้นไปได้ ก็จะมีคุณสมบัติในการกลายเป็นศิษย์นอกฝ่าย

เพียงแต่ว่าจำนวนศิษย์นอกฝ่ายที่รับมีจำนวนจำกัด แต่ละครั้งทุกยอดเขาจะเลือกแค่สามคนแรกที่เดินขึ้นเส้นทางทดสอบได้เร็วที่สุดเท่านั้น เลือกคนที่เป็นเลิศในกลุ่มคนที่เป็นเลิศอีกที อีกทั้งจำนวนนักการในสำนักธาราเทพก็มีมาก แค่นักการของชายฝั่งทิศใต้ ก็มีมากถึงหมื่นคน ดังนั้นการแย่งชิงในแต่ละครั้งจึงดุเดือดอย่างยิ่ง

และคนส่วนมากในฝ่ายครัวไฟ แน่นอนว่ายอมหิวตายอยู่ในฝ่ายครัวไฟ ไม่ไปแก่งแย่งนอกฝ่าย วันนี้ของทุกเดือน พวกเขาจึงล้วนเพิกเฉยไม่ใส่ใจจะมองด้วยซ้ำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนหลับตาลง แต่พลันนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เปิดขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาฉายแววประหลาด พริบตาถัดมาก็กลายมาเป็นความตกตะลึงระคนดีใจ ในสมองค่อยๆ มีความคิดอย่างหนึ่งแตกหน่อขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืนเดินไปมาอยู่ในห้องหลายรอบ หลังจากที่พิจารณาถึงความคิดนั้นอย่างรอบคอบแล้ว ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็คึกคักเบิกบาน

“สำเร็จแน่!” เขาผลักประตูห้องออกไปทันที ตะโกนเรียกพวกจางต้าพั่งที่กำลังถกเถียงกันว่าคราวนี้นักการคนไหนจะดวงซวยได้เป็นศิษย์นอกฝ่ายให้มารวมกัน

“ศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้ามีความคิดที่จะทำให้เรารวย และต้องขอให้ศิษย์พี่ทุกท่านช่วยข้าด้วย พวกเราจะรวยไปด้วยกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกายมองไปยังพวกจางต้าพั่ง

ท่าทางเช่นนี้พวกจางต้าพั่งคุ้นเคยดี ตอนแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเสนอให้เพิ่มความหนาของถ้วย นำความผาสุกมาให้กับฝ่ายครัวไฟ เขาก็มีท่าทีแบบนี้ ทุกคนจึงเกิดความสนใจในทันทีทันใด

“จิ่วพั่งเจ้ามีความคิดอะไรรึ? บอกตามตรงนะ พวกเราทุกคนจนกันจะแย่อยู่แล้ว ต้องโทษเจ้าพวกฝ่ายตรวจการบ้าบอนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ถ้าขายของในฝ่ายครัวไฟของเราได้ พวกเราก็รวยเละแล้ว!” จางต้าพั่งตบไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาเผยความคาดหวังรอคอย

——————–

[1] หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณ หมายถึงช่วงเวลาประมาณธูปไหม้หนึ่งดอก บ้างว่าประมาณ 30 นาที บ้างว่าประมาณ 1 ชั่วโมง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!