บทที่ 912 ย้ายบ้านทั้งสำนัก
เสียงโวยวายของคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ก้องกังวานอยู่ในสายรุ้งทุกเส้นบัดนี้ได้ดังอื้ออึงไปแปดทิศ ต้องรู้ว่าช่วงเวลายาวนานหลายปีที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก่อตั้งมา สายรุ้งเจ็ดสีได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไปแล้ว
ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก แม้แต่สำนักต้นน้ำอีกสามสายก็ยังชื่นชมสายรุ้งเจ็ดสีของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไม่ขาดปาก
หากนับกันที่ความสวยงาม ในแม่น้ำสี่สายใหญ่ สำนักอันตมรรคาฟ้าดารานับเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องนี้ล้วนเป็นความภาคภูมิใจของทั้งบุรพาจารย์ครึ่งเทพและลูกศิษย์ทุกคนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
ทว่าตอนนี้…สายรุ้งเจ็ดเส้นกลายมาเป็นสีดำทะมึน แม้แต่สิ่งปลูกสร้างบนสายรุ้งก็ยังดำเมี่ยมไปด้วย นี่ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนใกล้จะเป็นบ้ากันจริงๆ แล้ว
“สายรุ้งของพวกเรา!!”
“ที่นี่ยังใช่สำนักของพวกเราอยู่ไหม!!”
“เอาสายรุ้งของข้าคืนมา!”
“ทุกคนอย่าเพิ่งวู่วาม รีบไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าสายรุ้งสีดำนี่มีพิษ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าหากพวกเราไม่รีบจากไป อาจถูกพิษจนตายได้!”
เสียงพูดคุยหลากหลายรูปแบบดังเป็นลูกคลื่นขึ้นๆ ลงๆ นักพรตในสี่มหานครบนพื้นดินที่พอเห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่างนี้ก็พากันสำลักลมหายใจ แต่ละคนสีหน้าตะลึงพรึงเพริดและเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
“สวรรค์ ไม่นึกเลยว่าผู้อาวุโสป๋ายจะหลอมยาได้น่ากลัวขนาดนี้!!”
“เขาทำได้ยังไง ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าใครหลอมยาแล้วจะเป็นแบบนี้ได้!!”
“สายรุ้ง…ดำไปหมดแล้ว…”
จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉสองคนก็มองเซ่อไปเช่นกัน พวกเขาหันมามองหน้ากัน แม้ว่าจากประสบการณ์ในอดีตจะทำให้พวกเขารู้ว่าการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่สิ้นสุด แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะก่อเรื่องได้ใหญ่โตถึงขนาดนี้
มองสายรุ้งเจ็ดเส้นที่กลายเป็นสีดำทมิฬ จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉก็กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก หัวใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ร่างก็เริ่มสั่นเทา ส่วนพวกนักพรตที่อยู่ข้างกายพวกเขาก็พากันยืนบื้อไปหมด แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีรุนแรงตระการตายิ่ง
และเวลานี้เอง พวกเขาก็ได้เห็นว่าพวกนักพรตที่อยู่บนสายรุ้งเฮโลกันออกมาราวกับฝูงผึ้ง นักพรตพวกนี้ล้วนระเบิดความเร็วสูงสุด ใจปรารถนาอยากจะแล่นออกไปให้พ้นๆ สายรุ้งสีดำประหลาดในสายตาพวกเขาเสียเดี๋ยวนี้
พวกเขาหวาดกลัวมากจริงๆ ทั้งยังขวัญผวาไปกับการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุน กลัวว่าเดี๋ยวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาอีก เวลานี้จึงถึงกับพากันย้ายบ้านออกมาหมด…
ตั้งแต่บนยันล่าง…ในช่วงเวลาสั้นๆ นักพรตทุกคนที่อยู่อาศัยบนสายรุ้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็แตกกระเจิงกันไปหมด และยังมีคนบางส่วนที่เห็นว่าตัวเองบินออกมาช้าไปจึงถึงกับร่ายใช้เวทลับอย่างไม่เสียดาย หมายจะไปจากสายรุ้งสีดำนี้ให้เร็วที่สุด
นับตั้งแต่ที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก่อตั้งมา ภาพเหตุการณ์นี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…
ไม่นานนอกจากสายรุ้งที่เดิมทีเป็นสีครามและสีม่วงที่อยู่ชั้นบนสุดแล้ว นักพรตที่อยู่บนรุ้งอีกห้าเส้นก็พากันย้ายข้าวย้ายของออกไปจนโล่งเกลี้ยงไร้ผู้คน…
ส่วนบนสายรุ้งที่เคยเป็นสีคราม ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนตะลึงงันอยู่กับที่ก็มองภาพเหตุการณ์ทุกอย่างนี้ด้วยสายตาเหม่อลอย ร่างของสั่นเทาพร้อมๆ กับความร้อนรนที่รุนแรงจนใกล้จะกลบทับท่วมร่างของเขาเต็มที
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ บัดซบ ทั้งๆ ที่ข้าแน่ใจแล้วแท้ๆ ว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น บางอย่างผิดปกติ มีปัญหาใหญ่ซ่อนอยู่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้เป็นบ้าเต็มทีแล้ว ทั้งยังเกิดความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ รีบหันไปมองบุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็กทันที
“สหายนักพรตทั้งสามคนช่วยเป็นพยานให้ข้าด้วย ข้าเพียงแก้ไขข้อผิดพลาด หาได้ตั้งใจเปลี่ยนสีของสายรุ้งไม่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด รีบพูดอธิบายรัวเร็ว
ยามนี้ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสามท่านก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน นัยน์ตาของพวกเขาถึงกับฉายความเลื่อนลอย นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรถึงจะดี
และเวลานี้เอง แผ่นหยกส่งข้อความเสียงในถุงเก็บของของคนทั้งสามก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมา หลังจากหยิบเอาออกมาตามจิตใต้สำนึก กวาดอำนาจจิตมองหนึ่งครั้ง พวกเขาก็เห็นว่าด้านในนั้นล้วนเป็นเสียงวิงวอนขอร้องละล่ำละลักที่ส่งมาจากคนในตระกูลและลูกน้องใต้บังคับบัญชาของพวกเขาเอง
“บุรพาจารย์ ข้าเห็นว่าคนที่อยู่สายรุ้งด้านล่างล้วนไปกันหมดแล้ว พวกเราก็ไปกันบ้างเถอะ!!”
“อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้วนะบุรพาจารย์ อันตรายเกินไปแล้ว!!”
“บุรพาจารย์ ผู้อาวุโสป๋ายหลอมยาน่ากลัวเกินไปแล้ว พวกเราไปกันเถอะ…หากยังไม่ไป เกรงว่าสายรุ้งที่พวกเราอยู่คงพังพินาศเป็นแน่…”
หลังจากได้รับข้อความเสียงจากคนในตระกูลและลูกน้องของตัวเอง ป๋ายเจิ้นเทียนก็ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าวโดยไม่พูดไม่จา พริบตาเดียวก็กลับมาถึงตระกูลของตัวเอง ครั้นจึงพาทุกคนในตระกูลเผ่นไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว…
แม้เขาจะไม่คิดว่าสายรุ้งสีดำนี่มีพิษ แต่การหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้เขาเป็นกังวลมากจริงๆ แม้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเขา ทว่าคนในตระกูลของเขาก็อาจจะรับได้ไม่ไหว
“การหลอมยาของเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าพลังการต่อสู้ของตัวเขาเองเสียอีก…” ความกริ่งเกรงที่ซ่อนอยู่ในใจของป๋ายเจิ้นเทียนมาโดยตลอดรุนแรงขึ้นไปอีกระดับเพราะเรื่องครั้งนี้
เขาคิดไว้เรียบร้อยแล้ว หากวันหน้ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริงๆ เขาก็ยินดีสู้กับป๋ายเสี่ยวฉุนจนตัวตาย แต่จะอย่างไรก็จะไม่ยอมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายมาหลอมยาอยู่หน้าบ้านตัวเองเด็ดขาด…
“สมควรตายนัก ตัวหายนะอย่างนี้ก็มีชีวิตรอดจนกลายมาเป็นคนฟ้าได้ด้วยรึ!” ความเดือดดาลอัดแน่นสุมเต็มอกป๋ายเจิ้นเทียน ยิ่งทะยานไปเร็วมากกว่าเดิม
ความคิดของหลี่เสี่ยนเต้าก็ไม่ต่างไปจากป๋ายเจิ้นเทียนเท่าไหร่นัก แถมความคิดของเขายังลึกล้ำกว่าด้วยซ้ำ เขามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าหากให้เวลาที่มากพอ สภาพแวดล้อมที่ดีพอ ทรัพยากรที่มากพอแก่ป๋ายเสี่ยวฉุน ไอ้หมอนี่…ต้องหลอมยาจนโลกทงเทียนทั้งใบวินาศสันตะโรได้แน่นอน
“ยังดีที่ก่อนหน้านี้ตอนเขามาเยือนตระกูลหลี่ของข้า มาเพื่อสู้ หากมาหลอมยาอยู่หน้าบ้านข้าล่ะก็…” หลี่เสี่ยนเต้าที่ในใจหวาดผวารีบตอบรับป๋ายเสี่ยวฉุนไปหนึ่งประโยค
“คือว่า…สหายนักพรตป๋าย ข้าผู้อาวุโสยังมีธุระ ขอตัวไปก่อนล่ะนะ” กล่าวจบเขาก็รีบหมุนตัวกลับแล้วห้อตะบึงจากไป หมายพาคนในตระกูลย้ายออกไปจากที่นี่
เมื่อเห็นว่าสามคนเหลือแค่บุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กอยู่คนเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะร้องไห้จริงๆ แล้ว ได้แต่มองอีกฝ่ายตาปริบๆ
บุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กด่ากราดป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้าอยู่ในใจที่เผ่นหนีกันได้เร็วนัก ยามนี้เมื่อเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็พลันรู้สึกปวดหัวจี๊ด ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนส่งไปให้
“น้องป๋าย เรื่องนี้ข้าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เจ้า…เจ้าดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน ข้าคาดว่า…อย่างมากสุดสามวันห้าวัน บุรพาจารย์ครึ่งเทพคงกลับมาแล้ว” บุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กพูดจบก็รีบจากไปเพื่อพาคนของศาลาเลือดเหล็กย้ายไปอยู่ที่อื่นทันที
ไม่นานสายรุ้งเจ็ดเส้นบนท้องฟ้าของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่เดิมทีมีกลุ่มคนอยู่อาศัยกันหนาแน่นครึกครื้นก็เหลือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว
“ข้าก็แค่อยากหลอมยาน้ำแข็งไร้ราคีเม็ดเดียวเท่านั้น…ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างนี้…ข้าผิดไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าสลด ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ในใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข รู้สึกไร้ที่พึ่ง ตอนนี้เขากลับคิดว่าในอดีตที่มีคนมาไล่ฆ่าเพราะตนหลอมยาคือเรื่องดี ตอนนี้ไม่มีใครสนใจใยดีเขาสักคน ความรู้สึกผิดในใจจึงทำให้เขาทรมานมากกว่าเดิม
“อีกสามวันห้าวันบุรพาจารย์ครึ่งเทพก็จะกลับมาแล้ว…” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงอารมณ์ของบุรพาจารย์ครึ่งเทพที่กลับมาแล้วเห็นสภาพนี้ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เขาก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หวาดผวาเข้าไปใหญ่
“เขาจะคิดว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่า…” พอความคิดโลดแล่นมาถึงจุดนี้อย่างมิอาจควบคุม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้าซีดเผือด กุมขมับร้องคร่ำครวญ ครั้นจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำทันที
“ไม่ได้ ภายในสามวันข้าต้องแก้ไขปัญหานี้ให้ได้!! ข้าทำได้แน่นอน ต้องทำให้สายรุ้งกลับมามีสีสันดังเดิมได้แน่!”
ในสี่มหานครใหญ่ที่เวลานี้จู่ๆ จำนวนคนก็เพิ่มขึ้นพรวดพราด คนจำนวนนับไม่ถ้วนมักจะคอยเงยหน้ามองสายรุ้งสีดำเจ็ดเส้นบนท้องฟ้าเป็นระยะ ดวงตาแต่ละคนเต็มไปด้วยแววตำหนิประณาม ขณะเดียวกันปากก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปด้วย
“ให้ผู้อาวุโสป๋ายหลอมยาอยู่ข้างบนไปคนเดียวเถอะ…”
“แต่เมื่อไหร่เขาถึงจะหลอมเสร็จล่ะ พวกเราจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ”
“ช่วยไม่ได้ ผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกสามคนที่เหลือยังย้ายกันลงมาแล้ว แค่นี้ก็รู้แล้วว่าการหลอมยาของผู้อาวุโสป๋ายน่ากลัวแค่ไหน!”
“รีบๆ สิ้นสุดสักทีเถอะ หากเป็นอย่างนี้ต่อไป สำนักของเราต้องถูกผู้อาวุโสป๋ายเล่นงานจนสิ้นชื่อแน่…”
หนึ่งวันผ่านไป เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนโผล่ออกมาจากพื้นที่ปิดด่าน ร่างทั้งร่างของเขาก็ดูอ่อนระโหยโรยแรง เส้นผมพัวพันยุ่งเหยิง อาภรณ์ก็ยับย่นเต็มไปด้วยริ้วรอย ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน ลมหายใจหอบหนัก ปากพึมพำไม่หยุด
“เจอสาเหตุแล้ว นั่นเป็นเพราะพอไห่ถังดำอยู่กับไม้มี่หลัวเลยเกิดการตกตะกอน…นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สายรุ้งเปลี่ยนสี สมควรตายนัก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ข้าตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วว่าไม่มีการตกตะกอน เหตุใดพอหลอมเข้าจริงถึงเกิดตกตะกอนเสียได้…คิดจะกำจัดมันออก แม้จะเป็นเรื่องที่ยากมาก ทว่าข้าก็ยังคิดหาวิธีจนได้!”
“ใช้พลังของผงดอกพิสุทธิ์มาหลอมเป็นยา พอทำให้ผงของดอกไม้ชนิดนี้ได้อัตราส่วนที่แน่นอนแล้วก็จะสามารถขับไล่สีดำออกไปได้ และบวกกับพลังตบะของข้าเข้าไปก็ต้องทำได้แน่นอน!”
เมื่อเห็นว่าหาทางแก้ไขได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดีใจอย่างถึงที่สุด ทว่ากลับข่มกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ กลัวว่าตัวเองจะสร้างปัญหาอีกครั้ง จึงใช้ความเร็วที่มากที่สุดหลอมออกมาก่อนหนึ่งเตา หลังจากทำสำเร็จจึงลองเอาไปทดลองดู เมื่อพบว่าได้ผลจริง อีกทั้งยังไม่มีผลข้างเคียง ความตื่นเต้นของเขาก็ยากที่จะระงับอีกต่อไป
เดิมทีคิดจะค่อยๆ ขับไล่สีดำบนสายรุ้งอย่างอ่อนโยนค่อยเป็นค่อยไป เพราะพอคำนวณเวลาดูแล้วจำเป็นต้องใช้เวลาประมาณสามวันถึงจะทำให้สายรุ้งทั้งหมดกลับคืนสู่สภาพปกติได้
ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับได้รับข้อความเสียงจากบุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กที่บอกกับเขาว่า…อีกหนึ่งชั่วยาม บุรพาจารย์ครึ่งเทพจะกลับมา…
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็เหมือนร่างจะระเบิด ลมหายใจถี่กระชั้น ในสมองมีแต่เสียงวิ้งๆ ดังอึงอล
“คงต้องทุ่มสุดพลังแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว คราวนี้หยิบเอาเตาหลอมยาทั้งหมดออกมา ทั้งยังไปที่หอภารกิจด้วยตัวเอง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีคนอยู่ในหอแล้ว ทว่าเขาก็ยังใช้ตัวตนผู้อาวุโสไท่ซ่างของตัวเองเปิดคลังสมบัติแล้วหยิบเอาเตาหลอมยาออกมาหนึ่งพันกว่าใบ!
พอรวมกับเตาหลอมยาหลายร้อยใบก่อนหน้านี้ เตาที่อยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมีมากเกือบหนึ่งพันห้าร้อยใบ ทุกใบล้วนถูกเขาวางไว้บนลานกว้างหน้าที่พักตัวเอง แน่นขนัดเต็มพรืด ก่อนที่ตัวเองจะเริ่มหลอมยาอย่างบ้าคลั่ง…หลอมยาผงดอกพิสุทธิ์ด้วยเตาหลอมทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยเตา!
เนื่องจากเวลามีจำกัด ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงร่ายใช้ตบะทั้งหมดปลุกเสกพลังให้กับทุกเตาอย่างไม่เสียดาย และในที่สุด…เมื่อเวลาหนึ่งชั่วยามใกล้จะหมดลง เตาหนึ่งพันห้าร้อยใบนี้ก็กลายเป็นสีแดงฉานร้อนระอุทุกใบ
“สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเวลาใกล้จะไม่ทันแล้ว เขาจึงพลันยกมือทั้งสองขึ้นมา ระเบิดตบะเต็มที่แล้วโบกไปรอบด้านอย่างแรง ชักนำให้เตาหนึ่งพันห้าร้อยใบนี้ระเบิดออกพร้อมกัน!
หมายจะใช้แรงโจมตีจากการระเบิด บวกกับตบะของตนทำให้สายรุ้งสีดำเจ็ดเส้นกลับคืนสู่สีเดิมในชั่วพริบตา!
เสียงตูมๆๆ ระเบิดสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
และเวลานี้เอง พลานุภาพสยบขุมหนึ่งจากครึ่งเทพก็กำลังกดทับลงมาจากทิศไกล