บทที่ 97 ข้าก็คือจางต้าพั่ง!
ยามนี้ในสมองของลูกศิษย์รอบด้านพากันส่งเสียงดังอื้ออึง มองคนทั้งสองที่อยู่บนเวทีด้วยความตื่นตะลึง ในใจของทุกคนล้วนมีคลื่นยักษ์ซัดโหมขึ้นมา
ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้ตระหนักรู้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมป๋ายเสี่ยวฉุนถึงรอดมาจากการต่อสู้กับตระกูลลั่วเฉิน ทำไมถึงได้เป็นลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ!
“ที่แท้…เขาก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!!” นี่คือความสะท้านสะเทือนหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ทุกคน
ส่วนในใจของชายฝั่งทิศเหนือทุกคนยามนี้ซับซ้อนจนถึงขีดสุด
บนแท่นยก ผู้อาวุโสมากมายของสำนักธาราเทพ ดวงตาแต่ละคนล้วนเผยความแปลกใจ พวกเขามองป๋ายเสี่ยวฉุน ในสมองมีภาพแสงสีเงินตลอดร่างรวมไปถึงการโจมตีอันน่าตกตะลึงของเขาเมื่อครู่นี้ลอยขึ้นมา
“นั่นมันวิชาอมตะมิวางวายที่ถึงขั้นผิวหนังเงินแล้ว!”
“การจู่โจมสุดท้ายเมื่อครู่นี้คือ…ตรวนสลายลำคอ!”
“นึกไม่ถึงเลยว่าวิชาอมตะมิวางวายที่แทบจะไม่มีใครฝึกได้ กลับมีคนฝึกสำเร็จ! น่าเสียดาย แม้ว่าวิชาอมตะมิวางวายนี้พลานุภาพจะไม่ธรรมดา ความเป็นมาลึกลับ แต่ก็มีแค่บทที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้น…” ทุกคนสูดลมหายใจเข้าลึก แต่ละคนพากันออกความเห็น
“อยากรู้นักว่าระหว่างพวกเขาสองคนใครจะได้เข้าเป็นลำดับผู้สืบทอดในอีกหลายปีให้หลัง!” เจ้าสำนักถอนหายใจเสียงเบา เขาเองก็รู้ว่าการรอคอยครั้งนี้ยาวไกลนัก การเข้าเป็นลำดับผู้สืบทอดนั้นยากเกินไป คิดมาถึงตรงนี้เขาก็อดที่จะหันไปมองหลี่ชิงโหวไม่ได้
‘เยียบย่างเข้าสู่ช่วงยาอายุวัฒนะได้ภายในร้อยยี่สิบปีก็จะได้เข้าเป็นลำดับผู้สืบทอด ในรุ่นของพวกเรา…ก็แค่หลี่ชิงโหวเท่านั้นที่มีหวัง’
บนเวทีประลองในเวลาเดียวกันนี้ มือขวาของกุ่ยหยาโบกหนึ่งครั้ง แสงสีเขียวเส้นหนึ่งลอยออกมาทันใด และกลายเป็นธงชัยขนาดใหญ่สีเขียวหนึ่งเสา ถูกเขาปักลงไปบนพื้นดินด้านหน้า
ส่วนตัวเขานั่งขัดสมาธิ เมื่อเงยหน้าพรวดขึ้นมา นัยน์ตาเผยความปรารถนาในการรบเต็มเปี่ยม
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าคู่ควรให้ข้าเปิดผนึก!”
“ผนึกชั้นแรก เปิด!” เขาพูดต่อทันควัน มือขวาทำมุทราชี้ไปกลางหน้าผาก เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม เส้นสีดำมากมายมุดออกมาจากร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่งแล้วจึงแผ่กระจายออกไปทั่วด้าน ร่างของเขาพลันพองขยายออกมาอีกหนึ่งเท่า ลมหายใจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมระเบิดออกมาโดยตรง
ความแข็งแกร่งของลมหายใจนี้ ถือเป็นจุดสูงสุดแห่งขอบเขตพลังขั้นรวมลมปราณแล้ว
“นิ้วที่หก!”
“นิ้วที่แปด!”
“นิ้วที่สิบ!” กุ่ยหยาคำรามเสียงต่ำ ระหว่างที่ทำมุทราก็ชี้ไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ถึงกับชี้ติดต่อกันถึงห้านิ้ว ไม่ว่านิ้วใดก็ตามที่ชี้ไปล้วนมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้ามากมาย เวลานี้นำทั้งหมดออกมาใช้อย่างเต็มกำลัง สะเทือนฟ้าสะท้านดิน กรงเล็บปีศาจมหึมาไร้ที่สิ้นสุดพุ่งลงมาจากท้องฟ้า พลานุภาพเกรียงไกร อยู่ห่างออกไปไกลมากก็ยังมองเห็นได้ว่ามันกำลังทะยานเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ส่งเสียงดังครั่นครืน
“นี่…นี่ยังเป็นคาถาของขั้นรวมลมปราณอยู่อีกเหรอ? นี่มันวิชาอภินิหารของขั้นสร้างฐานรากชัดๆ!!”
“เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ข้าได้เห็นว่าลูกศิษย์รวมลมปราณใช้วิชาสะเทือนฟ้าขนาดนี้!”
“มีเพียงแค่วิชาลับเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้ สิบมหาเวทลับของสำนักธาราเทพเรา ขั้นต้นของทุกวิชาล้วนฝึกให้สำเร็จได้ในพลังขั้นรวมลมปราณ!!” ทุกคนที่อยู่รอบด้านล้วนสำลักลมหายใจ เผยความตะลึงพรึงเพริด
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัว กุ่ยหยาในเวลานี้สร้างความกดดันมหาศาลให้กับเขาเกินกว่าก่อนหน้า แต่ก็ยังสู้กับตอนรบครั้งสุดท้ายกับนายน้อยแห่งตระกูลลั่วเฉินไม่ได้
เพราะนี่ไม่ใช่การรบตัดสินเป็นตาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นกลับเป็น…ต้องตายกันไปข้าง!
แม้จะเป็นเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่การต่อสู้เอาเป็นเอาตาย แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากแพ้ หากไม่มีโอกาสก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสแล้วเขาก็อยากจะได้ที่หนึ่ง!
ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงจอมปลอม แต่เพื่อให้ยามที่หลี่ชิงโหวมองมายังตน นัยน์ตาจะเผยแววปลื้มใจ
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!
เส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้นมาในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เมื่อทำมุทรา พลังวิญญาณในร่างกายพลันแผ่ขยายออก ตามมาติดๆ ด้วยการปรากฏตัวของกระถางสีม่วง หนึ่งใบ สามใบ…ห้าใบ!
พริบตาเดียว กระถางสีม่วงห้าใบที่แปลงออกมาพุ่งพรวดเข้าปะทะกับกรงเล็บปีศาจทั้งห้าที่เข้ามาใกล้โดยรอบ เวลาเดียวกันนี้ กระบี่วิหคทองของเขาพลันบินพรวดออกมา กลายร่างเป็นเส้นสีทองหนึ่งเส้น ซึ่งสามารถเห็นได้รางๆ ว่ามีร่างของวิหคทองอยู่ภายใน เปล่งเสียงร้องกรีดแหลมและโผกระโจนเข้าหากุ่ยหยา!
ส่วนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งตัวออกมาในเวลานี้เช่นกัน ไม่สนใจกรงเล็บทั้งห้านั่น เร่งความเร็วเต็มกำลังพุ่งเข้าหากุ่ยหยา
เสียงตูมตามดังไปทั่วในชั่วพริบตา เมื่อกระถางสีม่วงทั้งห้ากระแทกเข้ากับกรงเล็บปีศาจห้ากรงเล็บก็ล้วนพังทลายสลายไปทั้งหมด กรงเล็บปีศาจทั้งห้านั่นก็เลือนรางลงไปบ้างเช่นกัน พลังอำนาจลดหายไปเกือบครึ่ง แต่ความเร็วยังคงเดิม ครู่เดียวก็ไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนทันแล้วตรงเข้ากระแทก รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงนกกระสาร้องดังลอยมา โล่กระสาเทพพลันปรากฏตัว
กลายร่างเป็นกระสาเซียนใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง ปกคลุมร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนให้อยู่ภายใน เสียงกัมปนาทโหมซัดสาด กรงเล็บปีศาจทั้งห้ากระแทกเข้ากับนกกระสาเซียน เสียงเปรี๊ยะๆ ดังสะท้อน กรงเล็บปีศาจทั้งห้านี้ยิ่งมืดสลัวลง ทั้งยังปรากฏรอยแตกร้าว แต่กระสาเซียนเองก็เปล่งเสียงร้องหนึ่งทีแล้วสลายไปในพริบตา กลับเข้าไปอยู่ในโล่เล็ก ไม่อาจสกัดกั้นต่อได้อีก
เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวาง กรงเล็บปีศาจนั้นจึงกระแทกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง แต่พริบตาที่ชนเข้าด้วยกันนั่นเอง แสงสีดำตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบและขยายปกคลุมไปทั่วร่าง ซึ่งก็คือวัตถุป้องกันตัวที่หลี่ชิงโหวมอบให้เขานั่นเอง
กรงเล็บทั้งห้านั้นเมื่อกระทบเข้ากับแสงสีดำ ในที่สุดก็มิอาจยืนหยัดได้อีกต่อไป ส่งเสียงดังสนั่นราวแก้วหูจะดับและพังทลายลงมาทั้งหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ แสงสีดำที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างหายไป แต่นอกจากกระอักเลือดแล้วเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ นัยน์ตาเปล่งประกายวาบ ตามกระบี่วิหคทองเข้าไปใกล้กุ่ยหยาในรัศมีห้าจั้ง
ส่วนกระบี่วิหคนั่นยิ่งเร็วกว่า อยู่ห่างจากกุ่ยหยาไม่ถึงหนึ่งจั้ง
กุ่ยหยาหน้าเปลี่ยนสี จับธงไม้สีเขียวเบื้องหน้าเอาไว้ ตอนที่กระโดดผลุงขึ้นมา กระบี่วิหคทองก็คำรามเฉียดไหล่ของเขาไป แม้ว่าเขาจะพอกล้อมแกล้มหลบไปได้ แต่ก็ยังถูกกรีดเอาเนื้อออกจนเป็นรอยแผลหนึ่งเส้น เลือดสดไหลทะลัก กุ่ยหยาไม่สนใจความเจ็บปวด ธงในมือพลันโบกสะบัด เส้นผมแผ่สยายออก นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย
“ผนึกที่สอง เปิด!”
“ขบวนภูตรัตติกาล…ทั้งสิบ!” ธงชัยสีเขียวในมือเขาโบกสะบัดอย่างรุนแรง พลันในธงผืนนี้ก็มีเสียงคำรามแหบแห้งน่าหวาดผวาดังลอยมา ทันใดนั้นมือผีสองข้างที่มีเกล็ดขึ้นเต็มไปหมดก็ยื่นมือมาฉีกกระชากผืนธงออก ศีรษะผีดุร้ายซึ่งมีเขาข้างเดียวมุดลอดออกมา เบื้องหลังของมันยังมีผีร้ายที่ผิวหนังตลอดร่างเป็นสีเขียวช้ำ มุดตามออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
แม้แต่บนท้องฟ้าในเวลานี้ก็ยังดูเหมือนจะมืดครึ้มลง เมฆทะมึนก้อนหนึ่งปกคลุมแสงอาทิตย์ ทำให้แสงบนเวทีประลองมืดสลัวลงราวกับเป็นเวลากลางคืน
ผีร้ายแต่ละตัวพากันเดินขบวนออกมาจากในผืนธงถึงสิบตน แต่ละตนระเบิดพลังรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ โจนทะยานเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าถอดสี อกสั่นขวัญแขวน ต่อให้เขาจะร้ายกาจสักแค่ไหนก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับผีร้ายสิบตัวที่มีพลังขั้นสมบูรณ์เต็มเปี่ยมในเวลาเดียวกันได้
เวลานี้กุ่ยหยาเองก็คลายใจลงมาได้บ้าง ผนึกที่สองของเขาไม่อาจเปิดออกนานเกินไปได้ เวลานี้เห็นว่าผีทั้งสิบล้วนปรากฏตัวออกมา เขาก็รู้ว่าครั้งนี้ตนเองต้องชนะอย่างแน่นอน
เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านหลังผีร้ายทั้งสิบด้วยดวงตาเย็นชา นัยน์ตาฉายประกายฮึกเหิม
การต่อสู้ด้วยคาถาของทั้งสองคนครั้งนี้ดุจดั่งมังกรต่อสู้กับพยัคฆ์ร้าย ทำเอาคนที่มองดูอยู่ส่งเสียงร้องอย่างตกตะลึงออกมาต่อเนื่อง เวลานี้ทุกคนต่างก็ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกุ่ยหยา ชายฝั่งทิศเหนือพากันฮึกเหิม ส่วนทางชายฝั่งทิศใต้ก็เริ่มร้อนใจกันขึ้นมา
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนถอยร่นอย่างต่อเนื่อง ผีร้ายสิบตนที่เข้ามาพัวพันด้วยนั้น แต่ละตนล้วนมีตบะที่แข็งแกร่ง เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ต่อให้เขามีกระบี่วิหคทองคอยสกัดกั้นให้ แต่ก็ไม่อาจสลัดหลุดได้
“ขบวนภูตรัตติกาลสิบตน…” ช่วงเวลาคับขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเงยหน้ามองกลุ่มเมฆทะมึนบนท้องฟ้าที่แผ่ปกคลุมจนทำให้เวทีประลองราวกับตกอยู่ในยามค่ำคืน ดวงตาก็พลันเปล่งประกาย มือขวาทำมุทราชี้ไป กระบี่วิหคทองพลันทะยานดิ่งขึ้นไปยังชั้นเมฆบนท้องฟ้าทันที คล้ายกับต้องการขับไล่เมฆหมอกกลุ่มนี้ออก ไม่ให้เวทีประลองมืดมิดเหมือนตอนกลางคืนอีก
กุ่ยหยาขมวดคิ้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งตัวได้รวดเร็วมาก แม้ว่าวิชาอภินิหารนี้ของเขาจะแข็งแกร่ง แต่สถานการณ์ที่เอามาใช้ได้ดีที่สุดก็คือช่วงเวลากลางคืน เมื่อเป็นยามค่ำคืนจะไม่มีช่องโหว่ใดๆ แต่หากเป็นตอนกลางวัน…นอกเสียจากว่าจะถึงขั้นร้อยภูตบังฟ้าเท่านั้น มิเช่นนั้นจะมีช่องโหว่
‘เมฆหมอกพวกนี้ไม่ใช่เมฆหมอกปกติ มีเพียงอาวุธที่ผ่านการหลอมพลังจิตเท่านั้นถึงจะพิชิตได้ อีกทั้งจะถูกดูดเข้าไปข้างใน ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้หาช่องโหว่เจอ แต่ด้วยพลังของเขาก็ไม่สามารถเปิดออกได้!’ กุ่ยหยาหัวเราะเสียงเย็นชาอยู่ในใจ
และในเวลานี้เองมีเสียงตูมตามดังออกมา กระบี่วิหคทองบินเข้าไปในกลุ่มเมฆหมอกโดยตรง กะพริบแสงวาบหนึ่งครั้ง ทำให้เมฆหมอกพวกนี้จางลงไปได้เล็กน้อย แต่เมฆหมอกกลุ่มนี้ช่างประหลาดนัก กลับดูดมันเข้าไปไว้ด้านใน ไม่สามารถหาช่องโหว่ต่อไปได้อีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ขณะที่ร่างถอยร่นก็หยิบเอากระบี่บินที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสองครั้งออกมาอีกหนึ่งเล่ม จัดการควบคุมแล้วขว้างตรงไปยังกลุ่มเมฆ เสียงตูมดังลั่น ทำให้กลุ่มเมฆบางลงไปอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังคงถูกดูดเอาไว้เช่นเดิม
แต่ทางฝ่ายกุ่ยหยากลับมองด้วยความอึ้งงัน
‘อาวุธวิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิตอีกเล่มแล้ว…’
ยังไม่ทันที่กุ่ยหยาจะตั้งตัวได้ทัน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่ามันใช้ได้ผล ดังนั้นจึงหยิบเอากระบี่บินออกมารวดเดียวเจ็ดแปดเล่ม บังคับทั้งหมดให้ทะยานขึ้นไปยังท้องฟ้า ในนั้นมีกระบี่สี่เล่มที่พลันกะพริบแสงสีเงินวูบวาบ ล้วนผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสองครั้ง พวกมันพวยพุ่งขึ้นไปยังชั้นเมฆอย่างพร้อมเพรียงกัน กระบี่บินที่ไม่ได้หลอมพลังจิตใช้ไม่ได้ผล แต่กระบี่ที่หลอมพลังจิตสี่เล่มกลับทำให้ชั้นเมฆส่งเสียงดังครืนครัน และยิ่งบางลงกว่าเดิม ถึงขั้นที่ว่ามีแสงอาทิตย์ลอดผ่านมา ทำให้ผีร้ายทั้งสิบตนนั้นเปล่งเสียงร้องโหยหวน รีบหลบเลี่ยง
ดวงตาของกุ่ยหยาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า แม้แต่เขาที่เยือกเย็นควบคุมตัวเองได้อย่างดีก็ยังต้องเปล่งเสียงร้องอย่างตกตะลึงออกมา
“นี่…เยอะขนาดนี้เชียวรึ!! สมควรตาย เขามีมากที่สุดก็แค่นี้แหละ!”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของทั้งสองชายฝั่งต่างก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เปล่งเสียงร้องอย่างตกตะลึง
“สวรรค์ ทำไมเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนถึงมีของหลอมพลังจิตเยอะขนาดนี้!”
“ลูกศิษย์ไม่ว่าคนไหนกว่าจะมีสักเล่มก็ยากนักหนา แต่เขา…กลับมีเยอะขนาดนี้ ใครเป็นคนหลอมให้เขา!”
ขณะที่กลุ่มคนส่งเสียงร้องอย่างตื่นตะลึง จางต้าพั่งเองก็อยู่ในกลุ่มคนของชายฝั่งทิศใต้เช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่ค่อนไปทางข้างหลัง ก่อนหน้านี้ตอนที่ร้องไชโยให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะว่าคนเยอะมากเกินไปจึงไม่เป็นที่สนใจของใคร
แต่ในเวลานี้เขาเห็นกระบี่บินเหล่านั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพลันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าโอหัง ในใจก็ยิ่งภาคภูมิ
“ของพวกนี้ ข้าจางต้าพั่งล้วนเป็นคนหลอมให้!”
ขณะที่กุ่ยหยาคิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีสิ่งของที่หลอมพลังจิตอีกแล้วนั่นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจระคนดีใจขึ้นมาโดยพลัน เนื่องจากพบว่าวัตถุที่หลอมพลังจิตสามารถพิชิตกลุ่มเมฆได้ จึงหัวเราะร่าขึ้นมาเสียงดัง
เขาหยิบกระบี่บินออกมาอีกสองเล่ม แสงสีเงินเปล่งวาบ ยังคงเป็นอาวุธที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาเช่นเดิม กระบี่ทั้งสองทะยานเข้าหาชั้นเมฆ
“เป็นไปไม่ได้!!” กุ่ยหยาแตกตื่นร้องเสียงหลง
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าพลันถูกกระบี่บินที่ผ่านการหลอมพลังจิตแปดเล่มโจมตี ด้วยไม่อาจทนรับได้อีกต่อไปจึงสลายตัวออกจากกันทันใด ทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงมา ผีร้ายสิบตนนั้นร้องโหยหวนเจ็บปวด ถอยกรูดกลับเข้าไปในธงชัยอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่กล้าออกมาปรากฏตัว
เวลาเดียวกันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะดังลั่น ร่างพลันพุ่งดิ่งเข้าหากุ่ยหยา แสงสีเงินบนนิ้วทั้งสองเปล่งวาบ ตรวนสลายลำคอรวมตัวกัน
สีหน้ากุ่ยหยาบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด กำลังจะโจมตีกลับไป แต่พลันกระอักเลือดสดออกมาเสียก่อน ร่างกายสั่นเทิ้ม ผลข้างเคียงจากการเปิดผนึกชั้นสองปรากฏออกมา ดวงตาเขาเผยความไม่พอใจ ร่างถอยกรูดอย่างรวดเร็ว
“ยอมแพ้!” เขากัดฟันพูด ด้วยรู้ว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ในใจเขาไม่ยอมแพ้ ชั่วขณะของเมื่อครู่นี้ หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีอาวุธหลอมพลังจิตมากมายขนาดนั้น ผู้ชนะย่อมเป็นตนอย่างแน่นอน
หรือไม่หากตอนนี้เป็นตอนกลางคืน เขาก็สามารถชนะได้แน่นอนเช่นกัน!
พริบตาที่เขายอมแพ้นั้นเอง ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้หลังจากตกตะลึงเสร็จก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน เสียงคนจำนวนนับไม่ถ้วนไชโยโห่ร้อง
“ชนะแล้ว ชายฝั่งทิศใต้ของพวกเราชนะแล้ว!!”
“ฮ่าๆ พวกเราได้ที่หนึ่ง สามอันดับแรกพวกเราติดถึงสองคน!!”
“ลบล้างความอัปยศ อาจารย์อาป๋ายไร้พ่าย!!” เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีจากชายฝั่งทิศใต้ดังสะเทือนฟ้าดิน แต่ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือกลับรู้สึกขมขื่น พากันเงียบงัน พวกเขาเองก็มองออกเช่นกัน ไม่ใช่ว่ากุ่ยหยาไม่แข็งแกร่ง แต่เพราะป๋ายเสี่ยวฉุน…มีอาวุธเยอะเกินไป
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เหตุใดเจ้าถึงได้มีอาวุธหลอมพลังจิตเยอะถึงเพียงนี้!” กุ่ยหยาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง เขาอยากรู้สาเหตุที่ทำให้ตัวเองแพ้
“จางต้าพั่งศิษย์พี่ข้า คือผู้ที่พันปี…ไม่ใช่สิ คือผู้มีพรสวรรค์ในการหลอมพลังจิตที่หาได้ยากยิ่งในรอบหมื่นปี อาวุธของข้าล้วนเป็นเขาที่หลอมให้ จะโทษ ก็โทษที่เจ้าไม่มีศิษย์พี่ผู้มีพรสวรรค์ในการหลอมพลังจิต” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างลำพองใจ ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้พลันตื่นตะลึงกันทันที โดยเฉพาะคนจากเขาจื่อติ่งที่ยิ่งฮือฮาเสียงดัง
“จางต้าพั่ง? คนที่เก่งราวกับเทพแบบนี้เป็นใครกันแน่?”
“จางต้าพั่ง เขา…เขาอยู่เขาจื่อติ่งของเรานี่นา!”
“เขาเป็นลูกศิษย์ท่านผู้นำ…สวรรค์ ปกติเขามักจะเก็บเนื้อเก็บตัวมาก คิดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้!!”
จางต้าพั่งฮึกเหิม กระโดดผลุงขึ้นพลางเงยหน้าตะเบ็งเสียงคำรามขึ้นฟ้า
“ข้าก็คือจางต้าพั่ง!! กระบี่บินทุกเล่มของป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าเป็นคนหลอมให้ทั้งหมด!!” เขาตื่นเต้นเกินจะเปรียบ คำรามเสียงดังก้องไปทั่วทิศ แม้แต่พวกเจ้าสำนักที่อยู่บนแท่นยกก็ยังหันไปมองอย่างแปลกใจ
ขณะที่ทุกคนกำลังฮือฮากันเกรียวกราวนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนขยิบตาแล้วเชิดหน้าขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง วางมาดของยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานและหมุนกายเดินลงจากเวทีประลอง
“เฮ้อ ชีวิตคนช่างน่าเบื่อ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทุกคนของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจก็สิ้นราบพนาสูร…”
———