ตอนที่ 1017
ไล่ล่าจนออกจากดาวตงเซิ่ง
“เจ้าจะทำอะไร? เจ้าต้องการอะไร!?!? หา!” ปรมาจารย์เอกะเทวะร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา
“เหลาจู่ (ปรมาจารย์) มาหลบซ่อนตัวถึงที่แห่งนี้ แต่เจ้าก็ยังหาข้าพบ!? เจ้า เจ้า เจ้า…” ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกเสียใจมากกว่าครั้งใดๆ ในชีวิตของมัน
อย่างไรก็ตาม ฉับพลันนั้นมันก็รีบพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าด้วยความรวดเร็วสูงสุด ในชั่วพริบตามันก็อยู่ห่างออกไปจากดวงดาว และเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว หลบหนีจากไปอย่างบ้าคลั่ง บุคคลที่มันไม่ยินดีมากที่สุดที่จะได้เห็นในชั่วชีวิตของมัน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นเมิ่งฮ่าว
มันคิดไปถึงตอนที่ไปหลบซ่อนอยู่ในทะเลเทียนเหอบนดินแดนแห่งดาวหนานเทียน แต่สุดท้ายมันก็กัดฟันแน่นและหลบหนีมาซ่อนตัวอยู่บนดาวตงเซิ่ง ห่างไกลออกไปจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเกือบครึ่งทางของขุนเขาทะเลที่เก้า แต่จากนั้น…เมิ่งฮ่าวก็หามันจนพบ! จิตใจของปรมาจารย์เอกะเทวะเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างต่อเนื่อง
“โลกนี้ช่างใหญ่โตนัก! แต่…แต่มันค้นหาข้าเจอได้อย่างไรกัน?!?!” มันแผดร้องคำราม กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
“พันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรทั้งหมดต่างก็เป็นพวกสารเลว! ผู้ผนึกอสูรตัวบัดซบ! เหลาจู่น่าจะมีชีวิตอยู่อย่างมีอิสระเสรี แต่กลับต้องมาติดอยู่กับเซียงห่าว! (ชู้รัก)”
“เหล่าจู่เป็นผู้ฉลาดและกล้าหาญ เป็นเต่าเซียนอันดับหนึ่งในขุนเขาที่เก้านี้! ท่านย่ามันเถอะ! ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้เจ้าสารเลวน้อยนั่นมาทำให้ข้ากลายเป็นพาหนะของมันได้! บัดซบ! เป็นไปไม่ได้!”
“เมิ่งฮ่าวเจ้าสารเลวน้อย สักวันหนึ่งเหลาจู่จะต้องไปหลบซ่อนในที่ที่เจ้าไม่มีทางจะหาข้าพบ!” ปรมาจารย์เอกะเทวะแผดร้องคำราม ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง จนทำให้แคว้นจ้าวต้องสั่นสะเทือนตามไปด้วย
มันรู้สึกหดหู่เสียใจจนไม่อาจจะมากไปกว่านี้อีกแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่มันได้ตระหนักว่าเมิ่งฮ่าวได้กลายเป็นเซียนแล้ว และยังได้มองเห็นภาพอันน่าตกตะลึง ที่เขาได้เปิดชีพจรเซียนทั้งหมดออกมาอีกด้วย ทำให้หนังศีรษะมันต้องด้านชาด้วยความตกใจ
อย่างไรก็ตาม มันยังได้รู้สึกว่ามีความโชคดีอยู่เล็กน้อย เนื่องจากดาวตงเซิ่งมีขนาดที่ใหญ่โต ดังนั้นมันจึงคาดเดาว่าเมิ่งฮ่าวไม่มีทางจะค้นหามันพบ หรือบางทีเมิ่งฮ่าวอาจจะแค่มองมาจากที่ห่างไกลเท่านั้น ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย มีความเชื่อว่าตนเองมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความหมายที่ถูกซ่อนอยู่ ราวกับเป็นเงามืดที่อยู่ด้านล่างของแสงตะเกียง
มันรู้สึกพึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง และยังได้โอ้อวดถึงเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดกับกู๋อี่ติงซานอวี่อยู่บ่อยๆ อีกด้วย
ในความฝันของมันไม่เคยจะมีภาพที่เมิ่งฮ่าวใช้วิธีการเคาะระฆัง เพื่อเพิ่มสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้เพิ่มมากขึ้นเป็นหลายเท่า ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งดาวตงเซิ่งและค้นหามันได้
ในทันทีที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวมาตรึงแน่นอยู่ที่ร่างมัน มันก็เริ่มเสียใจขึ้นมา
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเริ่มสาดประกายเจิดจ้าขึ้น ขณะที่จ้องมองไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะ ภายใต้อิทธิพลของระฆังเต๋า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกำลังตกตะลึงเมื่อพบว่าพวกมันกำลังชะงักนิ่งอยู่กับที่ไร้ความรู้สึกไปชั่วคราว แต่เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าทำไมเต่าชราเอกะเทวะถึงสามารถหลบหนีจากไป โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นเต่าชราที่มีแคว้นจ้าวอยู่บนหลังของมันเหมือนเดิม ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายขึ้นด้วยความยินดีอย่างถึงที่สุด
“เหล่าอูกุย (เต่าชรา) หยุดให้กับข้า!” เขาร้องตะโกนขึ้นอย่างฉับพลัน
ในทันทีที่ปรมาจารย์เอกะเทวะได้ยินคำพูดเหล่านั้น ร่างกายมันก็สั่นสะท้าน จากนั้นก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งฮ่าวพูดขึ้นมาอีกเพื่อข่มขู่และสร้างความหวาดกลัวให้กับปรมาจารย์เอกะเทวะ “เต่าชราเอกะเทวะ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจับเจ้าได้แล้ว เจ้าไม่อาจจะหลบหนีจากไปได้อีก! ข้าได้ค้นพบวิธีการใช้เวทผนึกอสูรเพื่อตรึงเจ้าไว้แล้ว!!”
เพื่อให้คำข่มขู่นั่นมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น เมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งและแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่สนใจในการหลบหนีจากไปของปรมาจารย์เอกะเทะวะแม้แต่น้อย ยกมือซ้ายขึ้นมา และระลอกคลื่นของเวทผนึกอสูรก็ปรากฏขึ้น ตามมาด้วยรอยแตกขนาดเล็กบนฝ่ามือของเขา
“เจ้าไม่มีทางหลบหนีไปได้” เขากล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง และดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างสูงสุด เท่าที่เห็นสิ่งที่เขาสามารถจะทำได้ทั้งหมดก็คือชี้นิ้วออกไป และเวทผนึกที่อยู่ภายในร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา
ความสงบเยือกเย็นและความเชื่อมั่นของเมิ่งฮ่าว ทำให้ดวงตาของปรมาจารย์เอกะเทวะต้องเบิกกว้าง และจิตใจก็หมุนคว้าง รู้สึกสับสนโดยที่ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเมิ่งฮ่าวกำลังแสร้งทำอยู่หรือไม่ แต่ก็รับรู้ได้ถึงเวทผนึกอสูรอันเข้มข้น ไม่เหมือนกับสิ่งที่มันเคยรู้สึกได้ถึงมาก่อน ทำให้จิตใจมันเริ่มกังวลและตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นไปไม่ได้! มันเกิดขึ้นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?!?”
ปรมาจารย์เอกะเทวะคิด ร่างกายสั่นสะท้าน จากนั้นก็คิดไปถึงภาพอันน่ากลัวของเมิ่งฮ่าวที่ทำการเปิดชีพจรเซียนเพื่อผ่านเข้าไปในอาณาจักรเซียน และทันใดนั้นมันก็ตระหนักว่า…นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน! แต่…
“เหลาจู่จะไม่ยอมแพ้!!” มันแผดร้องอยู่ภายในใจ “ไม่มีทาง! เหลาจู่จะยอมเสี่ยงทำทุกอย่าง! เพื่อออกไปจากที่นี่ให้จงได้!”
ในชั่วพริบตา มันก็ไปอยู่ที่ด้านนอกของดวงดาว เข้าไปสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกเมิ่งฮ่าวไล่ล่าติดตามมา มันกัดฟันแน่นและเริ่มก่นด่าสาปแช่งออกมา
เสียงกระหึ่มได้ยินมาจากด้านหน้าขึ้นไป มองเห็นแสงระยิบระยับกระจายอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว จุดแสงนับไม่ถ้วนหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ บริเวณนั้น ขณะที่จุดแสงเหล่านั้นได้กลายเป็นประตูเคลื่อนย้ายทางไกลขนาดใหญ่
เมื่อประตูเคลื่อนย้ายทางไกลปรากฏขึ้น ปรมาจารย์เอกะเทวะได้พ่นโลหิตออกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อทำให้มันก่อตัวเป็นน้ำตกที่พุ่งตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลนั้น และย้อมประตูนั้นให้กลายเป็นสีแดงเจิดจ้าไป
“เจ้าสารเลวน้อย! พวกเราจะไม่มีทางได้พบกันอีก!” มันแผดร้องคำราม จากนั้นร่างก็แวบขึ้นขณะที่พุ่งตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกล
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น เมื่อมองเห็นประตูสีโลหิตนั้น และรู้สึกยินดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้พลังของระฆังเต๋ากำลังอ่อนแอลง และผู้ฝึกตนที่กำลังงุนงงก็จะฟื้นคืนสติกลับมาได้ทุกเมื่อ ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวยิ้มออกมา
“ปรมาจารย์เอกะเทวะ เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ!”
เขาครุ่นคิด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เมื่อปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังจะผ่านเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลสีโลหิตนั้น ศิลาดวงดาวในดวงตาข้างซ้ายของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มส่องแสงระยิบระยับขึ้นมา
หนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาวเป็นเวทแห่งเต๋าที่แข็งแกร่งมากที่สุดของปรมาจารย์รุ่นแรก นอกจากจะทำให้คนผู้หนึ่งสามารถกลายเป็นดวงดาวได้แล้ว มันยังประกอบไปด้วยเวทเคลื่อนย้ายทางไกลอีกด้วย เวทนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามว่า…เคลื่อนย้ายดวงดาว
ก่อนที่จะบรรลุกลายเป็นเซียนแท้ เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะใช้มันได้ แต่ตอนนี้เขาคือผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียน ทำให้สามารถจะใช้งานมันได้ แผนการทั้งหมดของเขาได้เฝ้ารอจนกระทั่งฟางโส่วเต้าตกอยู่ในความงุนงงไปโดยระฆังเต๋า จากนั้นมันก็ไม่อาจจะตรึงเมิ่งฮ่าวไว้ได้อีกต่อไป จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะทำการเคลื่อนย้ายทางไกลจากไป และยังได้ทำให้ฟางโส่วเต้าไม่อาจจะรับรู้ได้ถึงร่องรอยของเขาอีกด้วย
ถึงแม้ว่าฟางโส่วเต้าจะเป็นผู้แข็งแกร่งอยู่ในอาณาจักรเต๋า แต่เมิ่งฮ่าวก็เชื่อมั่นว่าแผนการของเขาจะช่วยให้สามารถออกไปจากดาวตงเซิ่งนี้ได้ แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะสามารถหลบหนีฟางโส่วเต้าไปได้นานแค่ไหน
แผนการที่เหลือก็คือเมื่อออกไปได้แล้ว เขาต้องหลบหนีไปให้รวดเร็วมากที่สุด จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ซึ่งอยู่ในทะเลที่เก้าเพื่อเข้ารายงานตัวในฐานะศิษย์หลัก
ถึงแม้ว่าแผนการของเขาอาจจะมีจุดอ่อนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องมุ่งหน้าต่อไปเท่านั้น
แต่หลังจากที่เขาได้พบเห็นปรมาจารย์เอกะเทวะ ก็ทำให้มีความยินดีขึ้นเป็นอย่างมาก เขารับรู้ได้ถึงความน่าเหลือเชื่อของปรมาจารย์เอกะเทวะ
เมื่อคิดว่าเต่าชราผู้นี้สามารถจะเคลื่อนที่ออกไป ในขณะที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของระฆังเต๋า เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้อ่อนแอ และสามารถจะหลบหนีจากไปได้
ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจึงได้ใช้คำพูดเพื่อไปหลอกล่อและคุกคามมัน ทำให้มันรู้สึกตกใจกลัว ด้วยความไร้เดียงสาของปรมาจารย์เอกะเทวะ ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวจนไม่ลังเลที่จะพ่นกระจายโลหิตออกมา เพื่อเปิดประตูเคลื่อนย้ายทางไกลที่ใช้โลหิตเป็นพลังขับเคลื่อนออกมา
เพียงมองไปแค่แวบแรก เมิ่งฮ่าวก็สามารถจะบอกได้ว่าประตูเคลื่อนย้ายทางไกลนั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และจะต้องนำไปสู่สถานที่อันห่างไกลออกไปอย่างแน่นอน ซึ่งน่าจะไกลกว่าเวทเคลื่อนย้ายดวงดาวของเขาเองอีกด้วย
แทบจะในทันทีที่ปรมาจารย์เอกะเทวะเริ่มผ่านเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลสีโลหิต แสงระยิบระยับก็ปกคลุมไปทั่วร่างมัน และเริ่มจะเคลื่อนย้ายตัวมันจากไป ในตอนนี้เองที่แสงของดวงดาวได้ปกคลุมไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว จากนั้นเสียงระเบิดก็ได้ยินออกมาขณะที่ร่างเขาระเบิดออกไป
โดยไม่คาดคิดร่างกายเมิ่งฮ่าวได้กลายเป็นจุดแสงแห่งดวงดาว จากนั้นก็พุ่งออกไปจากระฆังเต๋าด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อจุดแสงเหล่านั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง พวกมันก็ไปอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว อยู่ที่ด้านข้างของประตูเคลื่อนย้ายทางไกลสีโลหิตของปรมาจารย์เอกะเทวะ
จุดแสงเหล่านั้นได้รวมตัวขึ้นมาใหม่ด้วยความรวดเร็วกลายเป็นเมิ่งฮ่าว ซึ่งมีใบหน้าที่ซีดขาวและพื้นฐานฝึกตนก็กำลังสั่นสะท้าน ในช่วงที่เขาได้ปรากฏตัวขึ้น ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลจู่ๆ ก็เบ่งบานขึ้นคล้ายกับเป็นบุปผาสีโลหิตขนาดใหญ่ จากนั้นก็หายวับไป
ในเวลาเดียวกันนั้น ผลกระทบของระฆังเต๋ากำลังหายไปจากคนทั้งหมด ฟางโส่วเต้าเป็นคนแรกที่ได้สติกลับคืนมา และทันใดนั้นมันก็สังเกตเห็นว่าเมิ่งฮ่าวไม่ได้อยู่ที่ระฆังเต๋าแล้ว ทำให้สีหน้ามันต้องสลดลง
“แย่แล้ว!” มันกล่าวขึ้น ร่างแวบไปข้างหน้า ปรากฏตัวขึ้นใหม่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มันส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปในทั่วทุกทิศทาง ปกคลุมไปทั่วทั้งดาวตงเซิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อทำการค้นหาเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็ทำให้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของมันกระจายออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และสีหน้าก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่มองเห็นภาพของตำแหน่งที่ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลสีโลหิตเพิ่งจะจางหายไป
“เจ้าสารเลวน้อย!” มันกล่าวขึ้นพร้อมกับกัดฟันแน่น ด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี มันแค่นเสียงอย่างขมขื่นและทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นว่าทำไมเมิ่งฮ่าวถึงต้องเฝ้าศึกษาเรียนรู้แต่บันทึกโบราณมาโดยตลอด
แสงแวบขึ้นอยู่ที่ข้างกายฟางโส่วเต้า จากนั้นก็กลายเป็นฟางเหยียนซวี ซึ่งได้มองตรงไปยังตำแหน่งที่ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลสีโลหิตได้หายไปเช่นเดียวกัน หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ ท่านก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและส่ายหน้าไปมา กล่าวขึ้นว่า
“มันได้วางแผนมาโดยตลอด เพื่อให้หลบหนีจากการแต่งงานไปได้ ทำได้ดีจริงๆ เมิ่งฮ่าว”
“เจ้าสารเลวน้อยนั่น ได้ศึกษาค้นคว้าบันทึกโบราณมาตลอดทั้งหนึ่งเดือน”
ฟางโส่วเต้ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หมดหนทางอยู่เล็กน้อย “ตอนนี้เมื่อคิดไปแล้ว มันต้องปะติดปะต่อชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน จนพบเห็นข้อมูลที่เกี่ยวกับระฆังเต๋าอย่างแน่นอน”
ฟางเหยียนซวีถอนหายใจด้วยความรู้สึกชื่นชม “มันไม่เพียงแต่จะค้นหาร่องรอยบางอย่างได้มากมายจากในบันทึกโบราณเหล่านั้น แต่ยังสามารถนำมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นแผนการเช่นนี้ขึ้นมาได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเมิ่งฮ่าวไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง”
“เจ้ายังคงชื่นชมมันอีก…?” ฟางโส่วเต้ากล่าวขึ้น “เจ้าสารเลวน้อยนั่นไม่ได้ปรุงเม็ดยาใดๆ ขึ้นมา! มันแสร้งทำทั้งสิ้น! เป้าหมายของมันคือการได้กลายเป็นเจ้าแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาเท่านั้น ซึ่งทำให้มันสามารถเคาะระฆังได้ ในทันทีที่พวกเรากำลังหมดสติไป ก็ไม่มีทางที่จะไปขัดขวางไม่ให้มันจากไปได้”
“แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเคลื่อนย้ายทางไกลออกไปได้อย่างไร จากเศษชิ้นส่วนของแสงดาวในที่แห่งนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าหนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาว ต้องมีเวทแห่งเต๋าของการเคลื่อนย้ายทางไกลบางอย่างที่พวกเราไม่รู้อยู่”
“พวกเราอาจจะรู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้างเมื่อมันหลบหนีจากไป แต่สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือข้อตกลงกับตระกูลหลี่ ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกหนึ่งเดือน…ก่อนที่เจ้าสารเลวน้อยและหญิงสาวตระกูลหลี่จะแต่งงานกัน” ฟางโส่วเต้ายิ้มอย่างขมขื่นออกมา
“พอได้แล้วพี่โส่วเต้า รุ่นเยาว์คนใดบ้างในขุนเขาทะเลที่เก้านี้ จะสามารถหลบหนีไปจากพวกเราได้เช่นมัน?”
“ดังนั้น เมื่อมันได้จากไปแล้ว ทำไมถึงไม่ปล่อยให้เลยตามเลยไป?”
ฟางเหยียนซวีหัวเราะเป็นเสียงดังออกมา ขณะที่กลับเข้าไปยังดาวตงเซิ่งพร้อมกับฟางโส่วเต้าที่กำลังสับสนงุนงง
ดาวตงเซิ่งกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม น้อยคนนักที่จะรู้ว่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเมิ่งฮ่าวบ้าง และคนที่รู้เหล่านั้นก็ไม่ได้พูดจาใดๆ ออกมา
จากการรับรู้ของคนส่วนรวม หลังจากที่กลายเป็นเจ้าแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาแล้ว เมิ่งฮ่าวก็ไปนั่งเข้าฌานตามลำพัง เพื่อที่จะปรุงเม็ดยาขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม มีผู้คนอยู่ไม่น้อยที่ได้คาดเดาว่าเมิ่งฮ่าวได้หลบหนีจากไปนานแล้ว หนึ่งในบุคคลเหล่านั้นคือฟางเว่ย ซึ่งในตอนนี้ได้นั่งขัดสมาธิอยู่ในสำนักเย่าเซียน มองตรงขึ้นไปในท้องฟ้าเหนือคฤหาสน์โบราณด้วยแววตาที่ครุ่นคิด
“ตอนนี้เจ้าได้จากไปแล้ว ใช่หรือไม่…?”
ฟางเว่ยมีความรู้สึกที่ซับซ้อนเกี่ยวกับเมิ่งฮ่าว แต่มันก็ไม่เคยจะลืมเลือนภาระหน้าที่ของตนเอง มันคือเกราะป้องกันของตระกูลฟาง และหน้าที่ของมันคือการปกป้องตระกูลจากภายในเงามืด
หลังจากที่ผ่านไปนาน ฟางเว่ยก็หลับตาลง มันได้ตัดอดีตทิ้งไปหมดแล้ว หลังจากที่ตายไปและจากนั้นก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ มันก็เฝ้าบอกกับตนเองว่า…มันไม่ใช่ผู้ถูกเลือกแห่งตระกูลฟางอีกต่อไปแล้ว
ย้อนกลับไปในคฤหาสน์โบราณ ผู้เฒ่าสูงสุดต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการก่อกบฎในครั้งนี้ รวมทั้งการจัดการต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่ดีนักก่อนหน้านี้ มันถูกลงโทษให้ไปนั่งเข้าฌานตามลำพังเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ห้ามโผล่หน้าออกมา และต้องนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำศิลา มันไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวได้หลบหนีจากไปแล้ว แต่ภาพของเมิ่งฮ่าวก็ยังคงประทับลึกอยู่ในจิตใจของมัน มันมักจะคิดไปถึงเขาอยู่เนืองๆ จนต้องถอนหายใจออกมาเป็นระยะ
นักรบศิลายังคงยืนอย่างเงียบๆ อยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ ในตอนที่เมิ่งฮ่าวได้จากไป จู่ๆ มันก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองขึ้นไปในท้องฟ้า คล้ายกับกำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่
มันกำลังเฝ้ารอคอยให้เมิ่งฮ่าวมากระทำตามคำสัญญา ว่าสักวันหนึ่งเขาจะนำมันออกไปจากสถานที่แห่งนี้
เมิ่งฮ่าวจากไปแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่เขามายังดาวตงเซิ่งแห่งนี้ เขาได้สร้างเรื่องราวจนกลายเป็นตำนานไว้อย่างมากมาย!
ตอนที่เขามาถึง ไม่มีใครรู้จัก แต่เมื่อเขาจากไป เขาคือ…
นายน้อยแห่งตระกูลฟาง!