Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1034

ตอนที่ 1034

พวกเราไม่เหมาะสมกัน

อสูรกลืนจันทร์จางหายเข้าไปในท้องฟ้าของเศษซากเซียนอย่างช้าๆ

เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ในกลางอากาศ พลังของจักรพรรดิเซียนค่อยๆ ลดลงไป ในที่สุดผลเนี่ยผานก็โผล่ออกมาจากหน้าผาก และเขาก็เก็บมันกลับเข้าไปในถุงสมบัติ เขายังได้ใช้เวทผนึกหลายอย่างไปบนร่างของซูเยียนอีกด้วย หลังจากที่ผนึกนางไว้แล้ว ก็โยนนางเข้าไปในถุงสมบัติด้วยเช่นกัน

ก่อนที่นางจะหายตัวไป รอยยิ้มอันเย็นชาก็มองเห็นได้บนใบหน้านาง แต่ไม่อาจจะปกปิดความตกตะลึงและอารมณ์อันซับซ้อนที่อยู่ในแววตาของนางได้

เมิ่งฮ่าวไม่สนใจเรื่องนั้น ต่อมาเขาก็หันหน้าไปมองยังนกแก้วและหลี่หลิงเอ๋อร์

หลี่หลิงเอ๋อร์หลบเลี่ยงสายตาเขาโดยไม่รู้สึกตัวในทันที ความรู้สึกประทับใจในตัวเมิ่งฮ่าวเมื่อครู่นี้ ยังคงอยู่ในจิตใจของนาง และตอนนี้นางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้ง รวมทั้งความสับสนอีกด้วย

นางมั่นใจว่าก่อนหน้านี้นางได้เกลียดเขาจนถึงกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเขาได้ทำให้นางได้รับความอับอายมามากมายเพียงใด เมื่อนางรู้ว่าคนทั้งสองถูกจัดเตรียมให้ต้องแต่งงานกัน ปฏิกิริยาในตอนแรกของนางก็คือขอตายไปดีกว่า

นางไม่อาจจะจินตนาการได้ถึงการเคียงคู่อยู่ร่วมกับเมิ่งฮ่าวในฐานะคนรักได้ สำหรับนางแล้วมันคล้ายกับเป็นการมีชีวิตที่ตกอยู่ในฝันร้ายตลอดกาล

ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะหลบหนีการแต่งงาน แน่นอนว่านางไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องจบลงด้วยการถูกช่วยชีวิตไว้โดยบุคคลที่นางกำลังหลบนีจากมา

เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงความขัดแย้งที่อยู่ภายในใจของหลี่หลิงเอ๋อร์ และเขาก็มองไปทางอื่นพร้อมกับถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา เขารู้ว่านางน่าจะกลับไปยังตระกูลหลี่ในเวลาเช่นนี้ การที่เขาพบเห็นนางกำลังถูกอี้ฝ่าจือไล่ล่ามา ก็เป็นที่กระจ่างชัดว่านางได้ออกมาจากตระกูลของตนเอง

ซึ่งสามารถจะคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าทำไม เมื่อคิดไปถึงงานวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ที่ใกล้จะมาถึงแล้ว การที่หลี่หลิงเอ๋อร์ออกมาจากตระกูล ก็บ่งบอกให้รู้ว่านางได้ตัดสินใจที่จะหลบหนีจากไป เช่นเดียวกับเขา ไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีกแล้วนอกจากข้อสรุปนี้เท่านั้น

ในตอนนี้เองที่นกแก้วได้กระแอมไอออกมา “เสี่ยวฮ่าวจื่อ (ฮ่าวน้อย) ทำไมเจ้าถึงมายุ่งเรื่องของผู้อื่น?” มันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อวดรู้และเย่อหยิ่งเท่าที่มันสามารถจะทำได้ “นั่นเป็นอ้ายเฟย (สนมรัก) ของอู่เหยีย! อู่เหยียไม่ได้เกรงกลัวมัน! ก็แค่เป็นวิธีการที่ข้าจะทำให้มันออกมาจากกระดองก็เท่านั้น”

“คาดไม่ถึงว่าเจ้าทำให้มันต้องหลบหนีจากไป…อ้าย, ช่างมันเถอะ ช่างมัน คงเป็นเพราะว่าอู่เหยียและมันไม่มีโชคชะตาร่วมกัน”

ในตอนนี้ ด้วงดำห้าร้อยตัวกำลังหมุนวนไปมาอยู่ในอากาศรอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว และเสียงหึ่งๆ ของปีกพวกมันก็ดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง เนื่องจากเช่นนั้นจึงทำให้เมิ่งฮ่าวยังคงกระจายความรู้สึกออกมาว่า เขาเป็นคนที่ไม่ควรจะมาตอแยด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กระจายพลังของจักรพรรดิเซียนออกมาก็ตามที

ด้วงแต่ละตัวในกองกำลังน้อยๆ นี้มีดวงตาปีศาจอยู่บนหลังของมัน ซึ่งได้กระจายเป็นความเย็นชาอันน่ากลัวออกมา ทำให้พวกมันดูเย็นชา มีดวงตาที่ไร้ความรู้สึก พร้อมด้วยกลิ่นอายอันดุร้ายที่ค่อยๆ กระจายออกมา

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรโบราณก็ยังต้องรู้สึกหวาดกลัว เมื่อมองไปยังกลุ่มด้วงสีดำเหล่านี้

เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังหลี่หลิงเอ๋อร์ และถามว่า “เจ้าเต่าชรานั่นจากไปแล้ว?”

ก่อนที่หลี่หลิงเอ๋อร์จะทันได้กล่าวตอบ ผีโต้งที่อยู่ในรูปแบบกระดิ่งซึ่งผูกติดอยู่ที่ข้อเท้าของนกแก้วก็แผดร้องขึ้นมาในทันที

“เจ้าสารเลวชรานั่นช่างไร้ศีลธรรมจริงๆ! ชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด! มันสมควรจะตายไปด้วยความทรมาน! ซานเหยียสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงมันให้จงได้! เจ้าเต่าชราสารเลวบัดซบนั่นได้เหวี่ยงพวกเราออกมา และรีบหลบหนีไปคนเดียว!!”

“ข้า, ซานเหยีย ช่างโง่เขลาจริงๆ ที่ไปสงสารมันก่อนหน้านี้ และยังได้ให้คำแนะนำมันไปมากมายอีกด้วย ฮึ่มมม! ซานเหยียช่างมีโทสะนัก! มันช่างไร้ยางอายจริงๆ! ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี! ช่างเป็นคนเลวโดยสมบูรณ์แบบ!!” ขณะที่ผีโต้งแผดเสียงขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่พอใจต่อปรมาจารย์เอกะเทวะเป็นอย่างยิ่ง และยังรู้สึกด้วยอีกว่ามันไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างใหญ่หลวงนัก

เมื่อได้ยินผีโต้งเดือดดาลเช่นนั้น นกแก้วก็พูดแทรกขึ้นมา “นั่นก็ใช่แล้ว! เจ้าสารเลวนั่นมากเกินไปแล้ว บัดซบ!” แต่ก่อนที่นกแก้วจะพูดมากไปกว่านั้น มันก็ประกาศความใฝ่ฝันของมันต่อไป “ครั้งหน้าถ้าข้าเห็นมัน อู่เหยียจะทำให้มันรู้ว่าข้ามีความน่ากลัวมากแค่ไหน! อู่เหยียจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นหนึ่งในอ้ายเฟยของข้า!”

เมิ่งฮ่าวไม่สนใจนกแก้วและผีโต้ง ร่างแวบขึ้นเคลื่อนที่ไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังของตัวด้วงที่อยู่ใกล้เคียง หลังจากที่ชำเลืองมองไปยังรอบๆ บริเวณนั้น เขาก็มองกลับไปยังหลี่หลิงเอ๋อร์ และจากนั้นก็กระแอมไอออกมา กล่าวว่า

“สหายเต๋าหลี่ ข้าคิดว่าพวกเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันบางอย่างเมื่อในอดีตที่ผ่านมา…”

หลี่หลิงเอ๋อร์มองไปที่เขา คำว่า ‘เข้าใจผิด’ ทำให้นางต้องคิดไปอย่างวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เมิ่งฮ่าวใช้ฝ่ามือมาหลายครั้ง เมื่อนางคิดไปถึงเรื่องนั้น ก็ยังคงรู้สึกอับอายและมีโทสะ แทบจะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ก้นของนางอย่างท่วมท้น

“ข้าไม่ใช่แค่ช่วยชีวิตเจ้าไว้เท่านั้น แต่เจ้ายังได้เป็นหนี้ข้าอีกด้วย” เมิ่งฮ่าวกล่าวต่อ จนทำให้หลี่หลิงเอ๋อร์ต้องขมวดคิ้วขึ้น

“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าบังคับให้ข้าต้องเขียนตั๋วสัญญานั้น!” นางกล่าวย้อนด้วยความสัตย์จริง

“นั่นก็ใช่แล้ว แต่รูปแบบไม่ใช่สาระสำคัญ พวกเรากำลังพูดถึงกรรม ดังนั้นเจ้าต้องเป็นหนี้ข้าอย่างแน่นอน” เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นสีหน้าของหลี่หลิงเอ๋อร์ที่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดนี้ เขาก็รีบพูดเสริมขึ้น “แต่ก็ไม่ต้องกังวลใจ เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายคืนข้าอีกต่อไป!”

จากนิสัยส่วนตัวของเมิ่งฮ่าว เขาค่อนข้างจะต้องใช้ความพยายามอยู่เล็กน้อย เพื่อบังคับให้ตนเองต้องกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา

“พวกเราทั้งสองต่างก็มีชะตากรรมที่ขมขื่น แล้วทำไมต้องมาสร้างความลำบากให้กันและกันอีก? ตระกูลของพวกเราต้องการเป็นพันธมิตรร่วมกัน และพวกมันก็ให้พวกเราต้องเป็นผู้ที่เสียสละ เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่พวกเรามาพบกันในที่แห่งนี้ เป็นเพราะว่าพวกเราทั้งคู่ต่างก็พยายามจะหลบหนีไปจากงานวิวาห์นั้น”

“อีกอย่างข้าคิดว่าพวกเราต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเป็นแสงเจิดจ้าขึ้น ขณะที่กล่าวต่อไป

“เจ้าคิดดู ข้าได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ และข้าก็รู้ตัวดีว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะหล่อเหลา มีหญิงสาวมาชอบข้าอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น หญิงสาวที่ข้าจับได้เมื่อครู่นี้ นางได้มารบเร้าพัวพันข้าเช่นเดียวกัน แต่ข้าก็ปฏิเสธนางไป ดังนั้นนางจึงพยายามทำเรื่องร้ายๆ กับข้ามาโดยตลอด จนไม่อาจจะอภัยให้ได้!”

เมิ่งฮ่าวพูดโดยที่ใบหน้าไม่แดงขึ้นเลยแม้แต่น้อย โชคดีที่ซูเยียนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่นี้ มิเช่นนั้นนางคงจะมีโทสะจนแทบกระอักโลหิตออกมา

“แต่…สหายเต๋าหลี่ เจ้าต้องไม่เข้าใจข้าผิดเช่นนั้นอีก เชื่อข้าได้เลยว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา ข้าไม่เคยคิดที่จะไล่ตามรบเร้าพัวพันเจ้า!

นอกจากนั้น ข้ายังได้แต่งงานแล้ว พวกเรา…ไม่เหมาะสมกันจริงๆ”

เมิ่งฮ่าวกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

คำพูดของเขาทำให้นกแก้วต้องจ้องมองไป ผีโต้งกระพริบตาไปมา และหลี่หลิงเอ๋อร์ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นางไม่เคยพบเห็นใครพูดจาเยินยอตนเองได้อย่างหน้าด้านเช่นนี้มาก่อน

“เจ้า!” นางร้องตวาดขึ้นมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

“พวกเราไม่เหมาะสมกันจริงๆ สหายเต๋าหลี่ ข้ารู้ว่าภาพที่พลังของข้าได้พุ่งขึ้นมาเมื่อครู่นี้ ได้สร้างเป็นความประทับใจอย่างลึกล้ำให้กับเจ้าอย่างแน่นอน แต่เจ้าก็จำเป็นต้องรู้จักควบคุมตนเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องมาหลงเสน่ห์ข้า!”

“หญิงสาวต้องเรียนรู้ที่จะประพฤติตัวอย่างมีศักดิ์ศรี พวกเรา…ไม่เหมาะสมกันจริงๆ” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมกับถอยไปทางด้านหลังด้วยความระมัดระวังตัว

“ไม่ต้องกังวลไป เมิ่งฮ่าว!!” หลี่หลิงเอ๋อร์แผดร้องผ่านร่องฟัน “ถ้าให้ข้าต้องเลือกระหว่างเจ้าและสุกร ข้าจะเลือกสุกร!”

“เจ้าหมายความเช่นนั้นจริงๆ?” เมิ่งฮ่าวกล่าว ดวงตาสาดประกายเจิดจ้าขึ้น

“เจ้า…เมิ่งฮ่าว ข้า, หลี่หลิงเอ๋อร์ปฏิบัติตามคำพูดของตัวเองเสมอมา!” หลี่หลิงเอ๋อร์รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง เมิ่งฮ่าวทำให้ดูเหมือนว่านางแทบทนรอไม่ไหวที่จะได้แต่งงานกับเขา ที่มากไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็เห็นได้ชัดว่าเมิ่งฮ่าวกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา ทำให้โทสะของหลี่หลิงเอ๋อร์ต้องลุกโชนขึ้นไปมากกว่าเดิม

จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ส่งเสียงหัวเราะด้วยความดีใจออกมา ชี้นิ้วไปยังตัวด้วงสีดำที่อยู่ใกล้เคียงพร้อมรอยยิ้ม

“สหายเต๋าหลี่ ตอนนี้เมื่อพวกเราปรับความเข้าใจผิดกันได้แล้ว ขอให้ข้าได้แสดงความเสียใจสักเล็กน้อย มา มา มา มานั่งบนด้วงตัวนั้น ข้าจะคุ้มกันเจ้าให้ออกไปจากเศษซากเซียนนี้ด้วยความปลอดภัย”

เมื่อหลี่หลิงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ โทสะของนางก็ลุกโชนขึ้นมาจนไม่อาจจะควบคุมได้ มองไปยังเมิ่งฮ่าวพร้อมกับกัดฟันจนแน่นและกล่าวว่า

“เสียใจ? เมิ่งฮ่าว เจ้าพอจะบอกได้หรือไม่ว่า สิ่งที่เจ้าพูดว่า ‘เสียใจ’ มันหมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าเชื่อว่าข้า, หลี่หลิงเอ๋อร์คิดกับเจ้าในฐานะที่เป็นคนรักของข้า? เจ้าคิดว่าเมื่อปฏิเสธข้าแล้วก็จำเป็นต้องแสดงความเสียใจออกมา?”

เมิ่งฮ่าวเกาศีรษะและถอนหายใจออกมา ด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ถูก

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถอนคำพูด”

“ถอนคำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร!?!?” หลี่หลิงเอ๋อร์รู้สึกราวกับว่ากำลังจะเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้น

“ข้าจะไม่เสียใจอีก! ถึงแม้ว่าข้าจะปฏิเสธความรักของเจ้า ถึงแม้ว่าข้าจะทำลายความรู้สึกดีๆ ที่เจ้ามีให้กับข้า ถึงแม้ว่านับจากนี้เป็นต้นไป สิ่งที่เจ้าทำได้ทั้งหมดก็คือเฝ้ามองข้าอย่างเงียบๆ มาจากที่ห่างไกล ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นทั้งหมด ข้าก็จะไม่เสียใจใดๆ อีก! ดีหรือไม่?” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลี่หลิงเอ๋อร์แหงนหน้าขึ้น กรีดร้องเป็นเสียงดังออกมา ใช้สองมือจับเส้นผมของนางไว้และดึงทึ้งอย่างรุนแรง แทบจะราวกับว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดคุยกับเมิ่งฮ่าวแล้ว จะไม่ทำให้นางต้องไม่คลุ้มคลั่งไป

หลี่หลิงเอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง คิดย้อนกลับไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้น ตั้งแต่นางออกมาจากตระกูล และความโศกเศร้าเสียใจก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ จนทำให้หยดน้ำตาของนางต้องไหลออกมา นางไม่พูดอะไรอีก แต่ไปนั่งลงบนหลังของตัวด้วงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมานองหน้า

เมิ่งฮ่าวก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกเช่นเดียวกัน นกแก้วและผีโต้งมองตากันไปมา จากนั้นก็เริ่มกระซิบซึ่งกันและกัน พวกมันมองกลับไปยังเมิ่งฮ่าวและหลี่หลิงเอ๋อร์อยู่เป็นระยะ และสีหน้าของผีโต้งก็ดูงุนงง แต่กลับกันนกแก้วมีสีหน้าที่ดูจะฉลาดรอบรู้ไปเสียทุกเรื่อง ขณะที่มันทำการอธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมดต่อผีโต้ง

ผีโต้งพยักหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเงียบสงบลง กลุ่มตัวด้วงส่งเสียงหึ่งๆ ไปตลอดทาง

ขณะที่เมิ่งฮ่าวคุ้มกันหลี่หลิงเอ๋อร์ออกไปยังที่ห่างไกล เนื่องจากกลุ่มด้วงเหล่านี้ ทำให้การเดินทางฝ่าเศษซากเซียนของพวกเขาดำเนินไปด้วยความราบรื่นอยู่ไม่น้อย เมิ่งฮ่าวมักจะมองไปรอบๆ เป็นระยะ และจากประสบการณ์เมื่อในอดีตของเขาในเศษซากเซียนเหล่านี้ ทำให้สามารถจะนำคนทั้งหมดออกไปจากส่วนลึกของซากปรักหักพังได้ในที่สุด และตรงออกไปยังเขตชายขอบของพวกมัน

สองสามวันหลังจากนั้น เศษชิ้นส่วนหักพังของเศษซากเซียนเริ่มเบาบางน้อยลงไปเรื่อยๆ ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก มองเห็นเป็นสุดชายขอบของมัน และไกลออกไปกว่านั้นเป็นทะเลแห่งหนึ่ง

มันไม่ใช่ทะเลที่แท้จริง แต่เป็นกลุ่มหมอกอันเข้มข้น ที่มีความหนาแน่นเป็นอย่างยิ่งจนในที่สุดก็ได้จมลงไป เพื่อก่อตัวเป็นทะเลแห่งกลุ่มหมอก เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ว่ามันมีความลึกเป็นอย่างมาก และกลุ่มหมอกก็แน่นหนาจนอาจจะเป็นทะเลที่แท้จริงได้

สถานที่แห่งนี้…ถูกเรียกว่า ทะเลที่เก้า!

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้าขึ้น ขณะที่ลุกขึ้นมายืนบนหลังของตัวด้วง กองกำลังตัวด้วงทั้งหมดไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย พวกมันยังคงมุ่งหน้าต่อไป เข้าไปใกล้ชายขอบมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น ก็มีคนผู้หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นอยู่ในกลางอากาศตรงเบื้องหน้าขึ้นไป

เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง สวมใส่ชุดยาวสีขาว และเมื่อนางก้าวเท้าออกมาจากความว่างเปล่า ก็ดูเหมือนว่าทั่วทั้งเศษซากเซียนจะมืดสลัวลงไป คล้ายกับว่าทั่วทั้งโลกแห่งนี้ รวมทั้งแสงจากดวงดาวทั้งปวง ได้มารวมตัวกันอยู่บนร่างของนาง แม้แต่ทะเลที่เก้าที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติง

หญิงสาวนางนี้ดูเหมือนว่าจะไร้ที่เปรียบอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าที่เบื้องหน้านาง แม้แต่กฎธรรมชาติก็ยังต้องหยุดการทำงานไป

นางลอยตัวอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ มองไปยังเมิ่งฮ่าว

ในทันทีเมิ่งฮ่าวมองเห็นหญิงสาวนางนี้ จิตใจก็สั่นสะท้านขึ้น รีบออกคำสั่งให้กลุ่มด้วงดำหยุดการเคลื่อนที่ในทันที อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้วเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกมันทั้งหมดกำลังสั่นสะท้าน และไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้หญิงสาวนางนั้นแม้แต่น้อย

“เมิ่งฮ่าวขอคารวะ ผู้อาวุโส!”

เขากล่าวขึ้นพร้อมกับจิตใจที่สั่นสะท้าน ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ หญิงสาวนางนี้คือคนคนเดียวกับที่ให้เขาอยู่ในลำดับขั้น…หนี่ว์จื้อจุน! (ผู้ยิ่งใหญ่หญิง)

ทันใดนั้นนกแก้วก็มุดศีรษะของมันลง ราวกับว่าพยายามที่จะหลบซ่อนตัวด้วยท่าทางหวาดกลัว ผีโต้งเงียบลงอย่างผิดสังเกต ไม่แม้แต่จะอ้าปากของมันขึ้น

หลี่หลิงเอ๋อร์รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันน่ากลัว ที่กำลังกระจายออกมาจากร่างของหญิงสาวชุดขาว ลุกขึ้นยืนในทันทีและถอนสายบัวเพื่อแสดงความเคารพ

สายตาของหญิงสาวกวาดผ่านจากเมิ่งฮ่าวและหลี่หลิงเอ๋อร์ ไปหยุดอยู่ที่ผีโต้ง “ข้าเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องหนึ่งเมื่อในอดีต…เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่?”

ผีโต้งสั่นไปทั้งร่าง

“ไม่!” เมื่อมันกล่าวตอบ เสียงของมันไม่ได้เก่าแก่โบราณและแผ่วเบา เมื่อมันพูดออกมา เมิ่งฮ่าวก็คิดว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่เคยได้ยินผีโต้งที่ปากจัดจะพูดเพียงแค่คำเดียวเช่นนี้มาก่อน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!