ตอนที่ 1041
ความเป็นมา
อย่ามาตอแยข้า!
เมิ่งฮ่าวไม่ได้กล่าวคำพูดนี้ไปโดยตรง แต่จากสิ่งทั้งหมดที่เขาเอ่ยออกมา ได้ส่งข้อความไปให้กับศัตรูทั้งหมดของเขาอย่างชัดเจน
อย่ามาตอแยข้า!
ถ้าพวกเจ้ามาหาเรื่องข้า ก็เตรียมตัวรับผลกระทบที่ตามมาได้เลย!
วันนี้ข้าสังหารผู้ฝึกตนอสูรไปหนึ่งคน และจับกุมตัวไว้สามสิบสามคน ถ้าวันพรุ่งนี้…พวกเจ้าบังอาจมาตอแยข้า ข้าก็จะทำในสิ่งเดียวกันนี้ และถ้าพวกเจ้ามาตอแยข้ามากขึ้นไปอีก ข้าก็จะคว่ำกระดานและเผยภาพที่แท้จริงออกมา
กระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อาณาจักรเต๋าจางหายไป วันแรกของเมิ่งฮ่าวในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ทำให้นามของเขากระจายออกไปทั่วทั้งสำนัก ศิษย์ทั้งหมดได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้พวกมันเกิดเป็นความประทับใจขึ้นอย่างลึกล้ำ
ฝานตงเอ๋อร์มองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้งอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา สีหน้านางจากเมื่อครู่นี้ ที่เต็มไปด้วยความยินดีในคราเคราะห์ของเขา ได้หายไปโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ความหวาดกลัวที่นางมีต่อเขา ยิ่งหยั่งรากฝังลึกลงไปมากขึ้นกว่าเดิม
ความเกลียดชังของผู้ฝึกตนอสูรยังคงมีอยู่ แต่เมิ่งฮ่าวก็ได้ก่อตั้งศักดิ์ฐานะของตนเองอยู่ในสำนักเรียบร้อยแล้ว เขาไม่รู้ว่าทำไมพวกมันถึงได้เกลียดชังเขามากมายถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เขามีศักดิ์ฐานะที่มั่นคงแล้วในตอนนี้ ไม่มีผู้ฝึกตนอสูรในสำนักแม้แต่คนเดียวจะกล้ามาโจมตีเขาอีก
ไม่มีใครในอาณาจักรเซียนจะสามารถเทียบกับเขาได้ เขาได้ดุด่าอาณาจักรโบราณ แม้แต่อาณาจักรเต๋าก็ยังต้องเกรงกลัวเขา การที่เขาเปิดเผยความเป็นมาอันน่าตกใจนี้ ทำให้ผู้ฝึกตนอสูรไม่เพียงแต่จะหวาดกลัวเขาเท่านั้น แต่ยังรู้สึกอิจฉา ก่นด่าสาปแช่งความเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจที่เขาแสดงออกมาอีกด้วย
หลิงอวิ๋นจื่อจากไปพร้อมกับเมิ่งฮ่าว ผู้ฝึกตนที่เหลือค่อยๆ กระจัดกระจายกันออกไป แต่ภาพของเมิ่งฮ่าวก็ยังคงชัดเจนยิ่ง เขาคือเทือกเขาอันลึกล้ำอยู่ในอาณาจักรแห่งขุนเขาทะเลที่เก้า
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวอยู่บนภูเขา ที่ครึ่งด้านบนถูกปกคลุมด้วยหิมะ ความเย็นเยียบได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพลังแห่งฟ้าดินในที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าอาณาจักรแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าจะอยู่ในส่วนลึกของทะเล แต่ดินแดนอันกว้างใหญ่ทั้งหมด ก็ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยเกราะป้องกันขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น ซึ่งได้กันน้ำทะเลออกไป แต่แรงกดดันอันมหาศาลที่กระจายออกมาจากทะเลที่เก้าก็ยังคงมีอยู่
ตรงยอดเขาเป็นวิหารหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลิงอวิ๋นจื่อได้พาเมิ่งฮ่าวมา ในทันทีที่เขาผ่านเข้าไป ก็มองเห็นอีกสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
หนึ่งในนั้นเป็นหญิงชราจากเมื่อครู่นี้ นางสวมใส่ชุดยาวสีเทา และใบหน้าก็เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น มีเส้นผมที่ยาวและเป็นสีขาว ใบหน้าดูเก่าแก่โบราณ ราวกับว่านางมีชีวิตอยู่มานาน นานหลายปีมากแล้ว ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความฉลาดรอบรู้ จนดูเหมือนว่านางสามารถจะมองทะลุผ่านจิตใจของผู้คนได้
แน่นอนว่าผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าทั้งหมดต่างก็เป็นตัวประหลาดที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน และมีบุคลิกส่วนตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร พวกมันรู้ว่าวาจาข่มขู่ของเมิ่งฮ่าวเมื่อครู่นี้ ไม่มีอะไรนอกไปจากเป็นคำอธิบายที่เกี่ยวกับความเป็นมาของเขา แต่เขาก็จงใจที่จะพูดออกมา และปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นลอยอยู่ในอากาศด้วยความจดจ่อ สุดท้ายก็ไม่สำคัญว่าผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าจะเชื่อเขาหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือว่าเขาได้เพาะเมล็ดแห่งความสงสัยและหวาดกลัวอยู่ในจิตใจพวกมันแล้ว
ที่ด้านข้างหญิงชราเป็นชายชราที่สีหน้าไร้ความรู้สึก สวมใส่ชุดขาวสีเขียว ขณะที่มันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น สายตาก็กวาดมองมายังเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนว่ากำลังประเมินเขาอยู่
ดวงตามันดูเหมือนจะประกอบไปด้วยความคมกริบ สามารถจะตรวจสอบดู
เมิ่งฮ่าวได้อย่างละเอียดในทุกแง่มุม สายตามันอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าผากของเมิ่งฮ่าวอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นก็สาดประกายขึ้นมา
ภายใต้การจ้องมองมาของชายชรา เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าพื้นฐานฝึกตนกำลังโคจรหมุนเวียนขึ้นโดยไม่รู้ตัว และทันใดนั้นหน้าผากของเขาก็แวบขึ้น ขณะที่เครื่องหมายลำดับขั้นปรากฏขึ้น
เมื่อชายชรามองเห็นเครื่องหมายนั้น มันก็พยักหน้าและมองไปทางอื่นแทน
“เมิ่งฮ่าว เจ้าสามารถเรียกข้าว่าจิ่วผอ (ท่านยายที่เก้า)” หญิงชรากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความเมตตาขณะที่พูดกับเมิ่งฮ่าว
“สำหรับซ่างเหริน (ผู้สูงส่ง) ที่นั่งอยู่ข้างกายข้า เจ้าสามารถเรียกท่านว่า เสินซือ (อาจารย์เทพ)”
“เมิ่งฮ่าวขอคารวะ จิ่วผอเหลาจู่ (ท่านปรมาจารย์ยายที่เก้า) และเสินซือซ่างเหริน” ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็สะกดข่มความทรนงและเย่อหยิ่งทั้งหมดจากเมื่อครู่นี้ไว้ มีท่าทางที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์แทน ด้วยท่าทางที่เขินอายอยู่เล็กน้อย ขณะที่ประสานมือและกล่าวคารวะอย่างเป็นทางการ
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่เขินอายของเมิ่งฮ่าว จิ่วผอก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง นางมองไปยังเมิ่งฮ่าว ด้วยความเมตตาและอ่อนโยน
ข้างกายนาง สีหน้าของหลิงอวิ๋นจื่อก็เต็มไปด้วยความชื่นชม หลายปีก่อนหน้านี้ในช่วงของการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ มันได้มีความประทับใจต่อเมิ่งฮ่าวมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเต็มใจที่จะยอมเสียสละเป็นอย่างมาก เพื่ออาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าของเขา ทำให้มันรู้สึกประทับใจต่อเขาอย่างลึกล้ำ
“นี่สำหรับเจ้า เป็นของขวัญต้อนรับในการที่เจ้ามาเข้าสังกัดสำนัก” จิ่วผอกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะ ทำท่าคว้าจับ ทำให้ถุงสมบัติปรากฏขึ้น และนางก็ส่งมันให้ลอยตรงมายังเมิ่งฮ่าว
เขากระพริบตาจากนั้นก็รับมันไว้ และใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดอ่านเข้าไป ทันใดนั้นจิตใจก็เริ่มเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น ถุงสมบัตินี้เต็มไปด้วยสูตรยาและแผ่นหยกอยู่เป็นจำนวนมาก ยังมีต้นสมุนไพรอยู่มากมายอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพันธุ์ที่หาได้ยากมากที่สุดในโลกด้านนอก คุณค่าของสิ่งของในถุงสมบัตินี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก
หลิงอวิ๋นจื่อหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “พวกเรารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ที่รักการปรุงยา ดังนั้นพวกเราเหล่าผู้ชราทั้งสามจึงได้จัดเตรียมของขวัญที่พิเศษเฉพาะนี้ให้กับเจ้าในตอนพบหน้ากันครั้งแรก สิ่งของมากมายในถุงนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราได้เดินทางไปจัดเตรียมมาให้กับเจ้าโดยเฉพาะเมื่อเร็วๆ นี้”
ถึงแม้ว่าคำพูดของมันจะดูเหมือนว่าตรงไปตรงมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าต้นสมุนไพรเหล่านี้ทำให้เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ว่าคนทั้งสามมองว่าเขามีค่ามากแค่ไหน
เมิ่งฮ่าวโค้งตัวลงอีกครั้งในทันทีและกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ ข้าขอขอบคุณอย่างลึกล้ำต่อความเมตตาอย่างสูงสุดในครั้งนี้”
โดยไม่ลังเลอีกต่อไป เขารีบเก็บถุงสมบัตินั้นไว้ในอกเสื้ออย่างรวดเร็ว ขณะที่ทำเช่นนั้นก็มองเห็นสามผู้ชราส่ายหน้าและยิ้มออกมา แม้แต่เสินซือซ่างเหรินซึ่งมีใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกก่อนหน้านี้ ก็ยังต้องยิ้มออกมาอยู่ในตอนนี้
“ก่อนอื่น พวกเราต้องขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้ามายังทะเลที่เก้าเป็นครั้งแรก นั่นเป็นสิ่งที่เกินกว่าพวกเราจะควบคุมได้ เดิมที พวกเราจะออกไปเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในทันที แต่เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงบางอย่าง ทำให้ไม่อาจจะไปได้ พวกเราหวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจ” จิ่วผอกล่าวขึ้น
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าที่สงบนิ่งเหมือนเช่นเคย เขาไม่ใช่ผู้มาใหม่ในโลกแห่งการฝึกตน และได้ฝึกฝนตนเองมาเป็นเวลานานหลายปี เคยพบเจอกับการโกหกหลอกลวงมาหลายรูปแบบ และรู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องที่ไม่ต้องจริงจังมากนัก
เขาอาจจะเชื่อว่านางไม่ได้ตระหนักว่า การมาถึงของเขาได้ไปกระตุ้นให้เกิดเป็นปฏิกิริยาขึ้นมาในท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนอสูร แต่ก็มั่นใจได้ว่าผลของความขัดแย้งนี้ ทำให้จิ่วผอและฝ่ายของนางรับรู้ถึงแรงจูงใจของอีกฝ่ายได้ในทันที
นอกจากนั้นพวกท่านก็เป็นฝ่ายหลักในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า
และเห็นได้ชัดว่าพวกท่านต้องการใช้โอกาสนี้ เพื่อผลักดันให้กลุ่มผู้ฝึกตนอสูรสงบนิ่ง เมิ่งฮ่าวจึงไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เกี่ยวกับเรื่องนี้
มันช่างเหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นอยู่ในตระกูลฟางเป็นอย่างยิ่ง เขาเคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้…ซึ่งไม่ได้ทำให้เขามีปัญหาอะไร แต่การใช้วิธีการเช่นนี้ก็น่าจะมีค่าตอบแทนให้ด้วย ดังนั้นหลังจากที่รับถุงสมบัติมา เขาก็รีบเก็บความรู้สึกอันเลวร้ายที่ยังเหลืออยู่ไว้อย่างรวดเร็ว
เมิ่งฮ่าวมั่นใจว่าถ้าเหตุการณ์ไม่ได้ดำเนินไปตามวิถีทางของมัน ก็ยังคงมีของขวัญแรกรับหน้าเช่นเดิม แต่มันก็คงจะมีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของต้นสมุนไพรเหล่านี้
เมื่อได้เห็นท่าทีที่มีเสน่ห์และโอนอ่อนผ่อนตามของเมิ่งฮ่าว รวมทั้งความเข้าใจต่อเรื่องราวอย่างรวดเร็ว และไม่ต้องการสอดรู้สอดเห็นถึงรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ของเขา ก็ทำให้ความชื่นชมในแววตาของจิ่วผอมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
“เมื่อเจ้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้านี้แล้ว ข้าก็จะบอกเล่าความเป็นมาของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ให้ฟังอย่างคร่าวๆ”
หญิงชราเริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆ ในทันทีที่นางเริ่มพูดจา หูเมิ่งฮ่าวก็ผึ่งขึ้นมาในทันที “มีอยู่หลายสิ่งที่พวกเราสามารถบอกเจ้าได้ แต่เจ้าต้องไม่เผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ออกไปให้ใครรับรู้อีก”
“สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่คงอยู่มาชั่วกาลนาน ตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของจิ่วต้าซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่) มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้”
“สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยสามผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด!”
“นามที่แท้จริงของสามผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ไม่มีใครรู้มานานแล้ว แต่คนทั้งหมดต่างก็เรียกพวกท่านในฐานะที่เป็นเซียนกู่จื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่เซียนโบราณ), จิ่วเฟิงจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่เก้าผนึก) และไห่เมิ่งจื้อจุน! (ผู้ยิ่งใหญ่ทะเลความฝัน)”
“เซียนกู่จื้อจุนเป็นผู้ก่อตั้งเซียนกู่เต้าฉ่าง ไห่เมิ่งจื้อจุนเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า และสำนักกระบี่ไท่สิง”
“นั่นคือความเป็นมาของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ เจ้าได้พบกับไห่เมิ่งจื้อจุนแล้ว นางคือผู้ที่ให้เจ้าอยู่ในลำดับขั้น นางเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังคงมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น…”
เสียงของจิ่วผอราวกับลอยออกมาจากเมื่อครั้งสมัยโบราณ ค่อยๆ เลิกม่านที่ปกคลุมความจริงของประวัติศาสตร์แห่งสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา
เมิ่งฮ่าวเงียบไปชั่วขณะ เรื่องราวบางอย่างเหล่านี้เขาเคยคาดเดาไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินจากปากของจิ่วผอด้วยตัวเองอีกที ก็ทำให้ต้องสะท้านใจอยู่ไม่น้อย ในที่สุดก็ถามขึ้น “สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าโดยเฉพาะ ใช่หรือไม่? และจิ่วเฟิงจื้อจุนได้ก่อตั้งอะไรขึ้นมาบ้าง?”
“เป็นคำถามที่ดี” จิ่วผอพยักหน้า ดวงตาสาดประกายด้วยความชื่นชม “แต่ละแห่งของจิ่วต้าซานไห่จะมีสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่อยู่!”
คำพูดของนางทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง
“ทั้งหมดจะถูกเรียกว่าอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า, เซียนกู่เต้าฉ่าง และสำนักกระบี่ไท่สิง”
“มีอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าอยู่เก้าแห่ง และเมื่อรวมตัวเข้าด้วยกัน…ก็จะกลายเป็นอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าที่แท้จริง!” จิ่วผอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
“สำหรับจิ่วเฟิงจื้อจุน ไม่มีใครรู้ว่าท่านได้ก่อตั้งอะไรขึ้นมาอย่างแน่ชัด แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็ได้ค้นพบร่องรอยต่างๆ ขึ้น ซึ่งนำไปสู่การคาดเดาและเกิดเป็นข่าวลือต่างๆ…”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ จิ่วผอก็หยุดไป แทบจะราวกับว่านางยังคงตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อในคำพูดที่นางกำลังจะเอ่ยขึ้นมา
บุคคลที่กล่าวขึ้นต่อมาไม่ใช่จิ่วผอ แต่เป็นชายชราที่ใบหน้าไร้ความรู้สึก ซึ่งถูกเรียกว่าเสินซือซ่างเหริน “ตามข่าวลือที่บอกเล่าต่อๆ กันมา จิ่วเฟิงจื้อจุนเป็นผู้สร้าง…อาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งหมด!”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ จิตใจก็ถูกกระแทกจนเกิดเป็นเสียงดังก้องขึ้น ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนโดยสิ้นเชิง ทำให้จิตใจต้องสั่นสะท้านและหอบหายใจออกมา
“จิ่วเฟิงจื้อจุนเป็นผู้สร้างอาณาจักรขุนเขาทะเล?” เมิ่งฮ่าวร้องอุทานขึ้นมา
“เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น” เสินซือซ่างเหรินกล่าว เสียงที่เก่าแก่โบราณของท่านดังก้องไปมาทั่วทั้งห้องโถงของวิหารแห่งนี้ “ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่จิ่วเฟิงจื้อจุนก็เป็นผู้นำของสามผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด หรืออาจจะเป็น…ตลอดยุคแห่งสงครามอันยิ่งใหญ่ ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถจะกระทำได้สำเร็จเช่นนั้น
ทำให้โชคชะตาแห่งห้วงจักรวาลต้องเปลี่ยนไป และทิ้งเป็นเส้นใยบางๆ ของกลิ่นธูปไว้เบื้องหลัง ในฐานะที่เป็นความทรงจำสำหรับอาณาจักรเซียน” เสียงของเสินซือซ่างเหรินดังสะท้อนไปทั่วในวิหาร
“นี่คือการคาดเดาที่ทำให้พวกเราเชื่อว่า เวทแห่งเต๋าของจิ่วเฟิงจื้อจุนไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นคัมภีร์ขุนเขาทะเล!”
“ใครก็ตามที่ได้ครอบครองคัมภีร์ขุนเขาทะเลฉบับสมบูรณ์ ก็จะกลายเป็นราชันแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล! คนผู้นั้นจะนำพวกเราไปต่อสู้กับสามสิบสามสวรรค์ และฟื้นฟูอาณาจักรเซียนให้มีความรุ่งโรจน์เหมือนเมื่อในอดีต!”
“โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ในอาณาจักรเซียนนี้ ผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียนเคยปกครองอาณาจักรที่ต่ำกว่าถึงสามพันแห่งเมื่อในอดีตที่ผ่านมา!” เสินซือซ่างเหรินหลับตาลง เพื่อปกปิดความโศกเศร้าเสียใจไว้
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง เขาได้รับรู้มาจากการใช้วิชาควาญวิญญาณไปยังอี้ฝ่าจือว่า อาณาจักรขุนเขาทะเลคือสิ่งที่ยังคงมีผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียนอยู่ แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากปากของเสินซือซ่างเหรินโดยตรง ก็เป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ทันใดนั้นภาพที่เขาได้รับมาจากการใช้วิชาควาญวิญญาณก็ลอยขึ้นมาอยู่ในจิตใจ
“เจ้ารับรู้เรื่องราวเหล่านี้จนเพียงพอแล้ว คงจะดีกว่าถ้าเจ้ายังไม่รู้ถึงรายละเอียดที่ซับซ้อนบางอย่าง…” จิ่วผอกล่าวขึ้นเป็นเสียงแผ่วเบา
“ภารกิจของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่คือ ช่วยให้ผู้ที่อยู่ในลำดับขั้นเติบโตขึ้น ลำดับขั้นถูกจัดตั้งขึ้นโดยไห่เมิ่งจื้อจุน เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดจะมีผู้ฝึกตนที่เป็นส่วนหนึ่งของลำดับขั้นอยู่ สำหรับขุนเขาทะเลที่เก้า…พวกเรามีสมาชิกอยู่น้อยมากที่สุด คนแรกคือบรรพบุรุษของเจ้า และคนที่สองก็คือเจ้า”
“เส้นทางของเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดไว้ที่ขุนเขาทะเลที่เก้า แต่เป็นเก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่ทั้งหมด คู่แข่งของเจ้าจะไม่ใช่กลุ่มคนในรุ่นเดียวกันอีกต่อไป แต่เป็น…สมาชิกแห่งลำดับขั้น ที่มาจากอาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งหมด!”
“การต่อสู้ของลำดับขั้นเป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก มีอยู่หลายครั้งที่ไม่เพียงแต่จะต่อสู้กันแค่สองคนเท่านั้น บางครั้งกองกำลังของสำนักทั้งหมด ก็จะช่วยสนับสนุนคนในลำดับขั้น และนำไปสู่สงครามระหว่างขุนเขา!”
“พวกเราไม่ได้ขอร้องให้เจ้ากลายเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดของลำดับขั้น แต่พวกเราแค่หวังว่า…เจ้าจะสามารถรักษาจุดยืนของตนเองไว้ได้! ถ้าเจ้ายังคงเดินไปบนเส้นทางของตัวเองต่อไป ไม่ว่าสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งขุนเขาทะเลที่เก้า จะต้องจ่ายค่าตอบแทนไปอย่างไรก็ตามที…มันก็คุ้มค่าแล้ว!” จิ่วผอมองเข้าไปในดวงตาเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งหวัง
เมิ่งฮ่าวพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะรักษาความสงบนิ่งไว้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะคาดเดาได้ถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้มาอย่างมากมายแล้ว แต่จิตใจก็ยังคงเต็มไปด้วยคลื่นแห่งความตื่นตระหนกอย่างไร้ที่เปรียบ