ตอนที่ 1042
การทดสอบของอาณาจักรสายลม
ภายในห้องโถงหลักไม่มีสายลมโชยพัดมาแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่า สายลมอันรุนแรงกำลังพุ่งเข้ามาปะทะจิตใจ ทำให้เกิดเป็นคลื่นแห่งความตื่นตระหนกขึ้น เสียงกระหึ่มกึกก้องดังเต็มอยู่ในจิตใจ ทำให้รู้สึกว่าค่อนข้างจะสับสนงุนงงอยู่เล็กน้อย
“ไม่มีใครรู้ถึงแผนการที่แน่นอนของไห่เมิ่งจื้อจุนสำหรับกลุ่มคนในลำดับขั้น…” จิ่วผอกล่าว เสียงของนางดังลอยออกมา คล้ายกับเป็นสายลมที่พัดผ่านไปทั่วทั้งห้องโถงหลัก
“แต่ก็คาดว่าจะไม่มีเจตนาร้ายใดๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล ได้รวบรวมชิ้นส่วนเข้าด้วยกันในสิ่งที่พวกเราคิดว่าน่าจะเป็นคำตอบ ทำให้สามารถจะอธิบายได้ว่า พวกเราคิดว่าคงเข้าใกล้กับความจริงมากขึ้นแล้ว”
“ผู้ที่อยู่ในลำดับขั้น…คือบัญชีรายชื่อของผู้ยิ่งใหญ่!”
“มีแต่คนที่อยู่ในลำดับขั้นเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ในที่สุด”
“ลำดับขั้นคือสิ่งที่จะใช้สร้างผู้ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรขุนเขาทะเลขึ้นมา!” ดวงตาของจิ่วผอสาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า และเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่เด็ดขาด จนสามารถจะตัดตะปูเฉือนเหล็กกล้าได้
“หลังจากหายนะอันยิ่งใหญ่นั้นแล้ว ก็ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่ปรากฏขึ้นมา อยู่ภายในอาณาจักรขุนเขาทะเลอีกเลย แม้แต่ตี้จ้างต้าจุน ซึ่งคนทั้งหมดต่างก็รู้ดีว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ก็ยังไม่ถูกถือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่”
“นั่นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากการกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องที่ยากมากเป็นอย่างยิ่ง
แต่ความเป็นจริงของเรื่องนี้ก็คือ…เหตุผลที่ท้าทายของมันว่า ทำไมถึงได้เกิดเป็นสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ บางทีอาจจะมีแต่ไห่เมิ่งจื้อจุนเท่านั้นที่รู้ดี”
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน
“นั่นคือความเป็นมาของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่และลำดับขั้น” ขณะที่นางกล่าวจบ ก็มองไปยังเมิ่งฮ่าว เสินซือซ่างเหรินนั่งอยู่ที่ด้านข้าง หลับตาลงไม่พูดอะไรออกมา
หลิงอวิ๋นจื่อก็นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ด้วยเช่นกัน แอบถอนหายใจออกมา
จากนั้นจิ่วผอก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่ลึกซึ้งและกล่าวต่อไป
“สำหรับอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ในขุนเขาทะเลที่เก้านี้ สิ่งที่พวกเราสามารถจะทำให้กับเจ้าได้ก็คือ ใช้พลังทั้งหมดของพวกเราช่วยให้เจ้าผ่านเข้าไปในอาณาจักรโบราณ!”
“ดังนั้นพวกเราจะให้สิทธิ์เจ้าอยู่ในอาณาเขตทั้งหมดของสำนัก พวกเราจะเปิดเผยวิชาเวทและทรัพยากร รวมทั้งความสามารถอันสูงสุดทั้งหมด เพื่อให้เจ้าได้ศึกษาเรียนรู้ แต่สิ่งเหล่านั้นต่างก็เป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือ…”
“พวกเราจะเปิดอาณาจักรสายลมให้กับเจ้า!”
ในทันทีที่จิ่วผอเอ่ยถึงอาณาจักรสายลม หลิงอวิ๋นจื่อก็มองขึ้นมาอย่างช้าๆ และเสินซือซ่างเหรินก็ลืมตาขึ้นมา
แรงกดดันอันเข้มข้นได้กดทับลงมาบนวิหาร ขณะที่นางเอ่ยถึงนามนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าคำนี้ประกอบไปด้วยพลังอันน่าตกใจบางอย่างด้วยตัวของมันเอง
จิ่วผอลดเสียงให้เบาลงและกล่าวว่า “อาณาจักสายลมคือสถานที่สำหรับการทดสอบอันโดดเด่นของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้านี้”
“ทั้งสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ มักจะมีโลกที่โดดเด่นของพวกมันเอง อยู่ภายในอาณาจักรขุนเขาทะเล!”
“อาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าแต่ละแห่ง รวมทั้งของพวกเรา ต่างก็มีคุณสมบัติที่จะเปิดอาณาจักรสายลมออกมา ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทั้งหมด พวกเราได้กระทำเช่นนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เปิดออกให้กับปรมาจารย์รุ่นแรกแห่งตระกูลฟางของเจ้า!”
“ตอนนี้ หลังจากที่ผ่านมาแล้วหลายปี พวกเราก็เตรียมตัวที่จะเปิดมันออกเป็นครั้งที่สอง…เพื่อเจ้า!”
“อาณาจักรสายลม?” เมิ่งฮ่าวกล่าว ค่อนข้างจะผงะไปเล็กน้อย เขาบอกได้ว่าผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าทั้งสามนี้ ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่เคร่งเครียดจริงจังเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาณาจักรสายลมมาก่อน มันเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ต่อเขาโดยสิ้นเชิง
“ก่อนหายนะใหญ่ มีอาณาจักรที่ต่ำกว่าสามพันแห่ง อยู่ใต้การปกครองของผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียน ตลอดช่วงหายนะนั้น อาณาจักรที่ต่ำกว่าทั้งสามพันแห่งเหล่านั้น มีอยู่หลายอาณาจักรได้ก่อการกบฏ จนเกิดเป็นสงครามขึ้น…และในที่สุด พวกมันก็ถูกทำลายไปแทบทั้งหมด”
“เหลืออยู่เพียงแค่สามสิบสามอาณาจักรเท่านั้น…”
“อาณาจักรสายลมคือหนึ่งในสามพันอาณาจักรเหล่านั้น เป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ก่อกบฎและแทบจะถูกทำลายไปทั้งหมดในสงครามใหญ่นั้น พวกที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยได้ถูกไห่เมิ่งจื้อจุนนำจากไป ตอนนี้พวกที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดคือลูกหลานของผู้ที่มีความผิดอันร้ายแรงเหล่านั้น!”
“หลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่มีการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด พวกมันก็กลับไปปฏิบัติตามประเพณีดั้งเดิม ยึดถืออาณาจักรเซียนด้วยความเคารพและหวาดกลัว และกลายเป็นสถานที่สำหรับการทดสอบของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า!”
“ที่นั่น เจ้าจะได้รับประสบการณ์…เหมือนกับตอนที่อาณาจักรเซียนยังคงรุ่งเรืองอย่างสูงสุด!”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ แสงแปลกๆ ได้ปรากฏขึ้นในแววตาของเสินซือซ่างเหริน แม้แต่หลิงอวิ๋นจื่อก็กำลังหอบหายใจออกมา ขณะที่ครุ่นคิดไปถึงความรุ่งเรืองเมื่อในอดีตที่ผ่านมา
“เหตุผลที่ทำไมอาณาจักรสายลมถึงได้กลายเป็นสถานที่สำหรับการทดสอบ และในความเป็นจริงแล้ว นั่นคือสถานที่แห่งแรกที่จัดการทดสอบขึ้นสำหรับอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ซึ่งเป็นเพราะว่าเมื่ออาณาจักรสายลมแตกกระจายไป แก่นแท้ของพวกมันได้ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย”
“เนื่องจากความวุ่นวายนั้น ทำให้กลายเป็นสถานที่ที่ง่ายต่อการวิเคราะห์แยกแยะ ดังนั้น สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว…มันคือสถานที่ที่จะได้รับประสบการณ์ในการรับรู้ถึงแก่นแท้อย่างสมบูรณ์” เสียงของจิ่วผอดูเหมือนจะประกอบไปด้วยพลังอันแปลกๆ ขณะที่ไหลผ่านเขาไปในหูของเมิ่งฮ่าว ทำให้จิตใจต้องสั่นสะท้านขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แก่นแท้คือประตูสู่อาณาจักรเต๋า ยิ่งไปกว่านั้นการสำรวจอาณาจักรโบราณ…คือขั้นตอนของการสร้างการติดต่อกับแก่นแท้ได้อย่างต่อเนื่อง”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในอาณาจักรสายลม จะสามารถดูดซับโลกแห่งแก่นแท้เข้าไปได้ ทำให้เกิดเป็นความรู้แจ้งที่เกี่ยวข้องกับพลังแก่นแท้อันน่าเหลือเชื่อขึ้น!”
“สำหรับตัวเจ้าเอง เจ้าสามารถใช้ผลไม้เต๋าของตนเองได้โดยตรง และใช้แก่นแท้ของโลกแห่งนั้น เพื่อผ่านเข้าไปในอาณาจักรโบราณได้โดยตรง!”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเรื่องราวทั้งหมดนี้ จิตใจก็หมุนคว้าง เขาเคยรู้เกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างจากความทรงจำที่ผ่านมาของอี้ฝ่าจือ แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำอธิบายจากจิ่วผอ เขาก็เข้าใจเกี่ยวกับอาณาจักรสายลมได้ในทันที
มันคือ…หนึ่งในโลกเมื่อในอดีต!!
ถึงแม้ว่ามันจะยังคงเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นโลกที่แตกต่างไปอยู่ดี!
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ เส้นทางสู่อาณาจักรโบราณของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับผลเนี่ยผาน ตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าสามารถใช้แก่นแท้ของโลกแห่งนั้นเพื่อสร้างเป็นผลไม้เต๋าขึ้นมาได้ เขาก็มั่นใจว่ามันต้องมีประโยชน์อย่างสูงสุดในการดูดซับผลเนี่ยผานของเขาอย่างแน่นอน
“อาณาจักรสายลมจะเปิดให้เจ้าเข้าไปทดสอบโดยพวกเราที่อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าแห่งนี้ แต่…อาณาจักรสายลมก็เป็นของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าทั้งหมดในอาณาจักรขุนเขาทะเล ดังนั้น…เมื่อเจ้าเข้าไปแล้ว อาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าอื่นๆ ก็จะส่งศิษย์เข้าไปด้วยเช่นกัน”
“เห็นได้ชัดว่าเมื่อพวกมันมีคุณสมบัติที่จะเปิดอาณาจักรสายลมได้ พวกมันก็ต้องมีการเตรียมศิษย์ให้ผ่านเข้าไป ซึ่งจะเป็น…ผู้ที่อยู่ในลำดับขั้นเช่นเดียวกัน!”
“ดังนั้นเมื่อเจ้าเข้าไปทดสอบในอาณาจักรสายลม เจ้าก็จะต้องไปเผชิญหน้ากับ…สมาชิกลำดับขั้นคนอื่นๆ จากอาณาจักรขุนเขาทะเล” ขณะที่นางกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมา ดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น
“ถ้าทำได้ ก็ให้สังหารสมาชิกลำดับขั้นจากอาณาจักรขุนเขาทะเลคนอื่นๆ ไป แต่ถ้าเจ้าไม่อาจจะสังหารพวกมันได้ ก็อย่าลืมปกป้องชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นความสำคัญอันดับแรก!”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังจิ่วผออย่างเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้า เขาเข้าใจว่าลำดับขั้น…ก็คล้ายกับฝูงแมลงที่จะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อกัดกินกันเอง เมื่อไหร่ที่อยู่ในลำดับขั้น ก็ได้แต่ต้องผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างมากมายมาให้ได้ ถึงจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
ตอนนี้ อาณาจักรขุนเขาทะเลจำเป็นต้องมีพลังที่สูงสุดบางอย่าง มันจำเป็นต้องมี…ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง!
“บางทีสิ่งที่มันจำเป็นต้องมี ไม่เพียงแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น นอกจากนี้สามผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเมื่อหลายปีก่อนได้แต่กลายเป็นความทรงจำเล็กๆ สำหรับอาณาจักรเซียนไปแล้ว ทำให้มันยังไม่ถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิงเท่านั้น”
“บางที…เพื่อที่จะแก้ปัญหาที่มีอยู่ทั้งหมดนี้ สิ่งที่จำเป็นจริงๆ…ก็คือสิ่งที่มากเกินกว่าผู้ยิ่งใหญ่!” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และทันใดนั้นก็มีภาพปรากฏขึ้นมาในจิตใจ เขามองเห็นเก้าดวงตะวันกำลังลากจูงรูปปั้นขนาดใหญ่มา และยังมีผีเสื้อเก้าตัวกำลังฉุดดึงโลงศพขนาดใหญ่มาอีกด้วย
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะเริ่มเตรียมเปิดอาณาจักรสายลมไว้แล้ว แต่พวกเราก็ยังต้องการเวลาอีกสามเดือนเพื่อที่จะเปิดมันออกได้อย่างสมบูรณ์” จิ่วผอกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
“ตลอดช่วงสามเดือนนี้ ให้อยู่แต่ในสำนักและเตรียมพร้อมอย่างเต็มกำลังสำหรับการต่อสู้ที่เจ้าจะต้องพบเจอ…”
“แรงกดดันที่กระจายออกมาโดยทะเลที่เก้า จะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเจ้าในแง่ของพื้นฐานฝึกตน เจ้าต้องปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ให้รวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันไม่เพียงแต่จะช่วยเจ้าให้เหมือนกับผ่านไปหลายปีได้เท่านั้น ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ…การที่อาณาจักรสายลมถูกทำลายลงไปครึ่งหนึ่งและแก่นแท้ของพวกมันตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ก็หมายความว่าเจ้าจะต้องพบเจอกับแรงกดดันที่เหมือนกันนี้อยู่ในที่แห่งนั้น”
“มีแต่สร้างความคุ้นเคยกับแรงกดดันของทะเลที่เก้าแห่งนี้เท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถใช้พลังได้ตามปกติเมื่ออยู่ในอาณาจักรสายลม ถ้าทำไม่ได้ ทุกย่างก้าวที่เจ้าเข้าไปอยู่ที่นั่นก็จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก”
“นอกจากนั้น อย่าได้ลืมเกี่ยวกับประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองของสำนัก แต่ละประตูเหล่านั้นเป็นตัวแทนของการทดสอบ ข้าหวังว่าเจ้า…สามารถเข้าร่วมกับพวกมันได้ทั้งหมด! เจ้าต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น ในตลอดช่วงเวลาสามเดือนที่จะมาถึงนี้!”
“ข้าหวังว่าจะได้เห็นนามของเจ้าอยู่บนแท่นศิลาตัวอักษรแต่ละแท่นเหล่านั้น เจ้าคือคนที่อยู่ในลำดับขั้น เป็นบุคคลที่สองในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งหมดของขุนเขาทะเลที่เก้า!” จิ่วผอโบกสะบัดมือ ส่งถุงสมบัติให้ลอยไปแขวนอยู่ตรงหน้าเมิ่งฮ่าว
“ภายในถุงสมบัตินั้น เจ้าจะพบกับของรางวัลสำหรับงานคัดเลือกศิษย์ในตอนแรกของสามกลุ่มเต๋า!”
“มีของรางวัลมากมายอยู่ในนั้นทั้งหมด แน่นอนว่าสิ่งที่มีค่ามากที่สุด…อันดับสองก็น่าจะเป็น ของวิเศษเซียนโบราณ และอันดับแรกคือ…โลหิตผู้ยิ่งใหญ่!”
“ก่อนที่จะเข้าไปในอาณาจักรสายลม เจ้าสามารถใช้มันเพื่อ…ให้คุ้นเคยกับพลังอันเข้มข้นที่แท้จริงของมัน!”
“เจ้าสามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้ไกลมากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเจ้าแล้ว” จิ่วผอมองเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาอันลึกซึ้ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างเข้มข้น
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่มองไปยังถุงสมบัตินั้นอย่างเงียบๆ ในที่สุดดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า และยื่นมือออกไปหยิบถุงใบนั้นมา จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับจิ่วผอ, เสินซือซ่างเหริน และหลิงอวิ๋นจื่อ
เขาไม่ได้ให้คำสัญญาใดๆ หรือแสดงสีหน้าที่สำนึกบุญคุณอย่างถึงที่สุด ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาต่างก็ไร้ความหมายทั้งสิ้น จึงได้แต่ประสานมือและโค้งตัวลง เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจและความมุ่งมั่น
ดวงตาของจิ่วผอสาดประกายขึ้นด้วยความชื่นชม และเสินซือซ่างเหรินก็พยักหน้าให้ หลิงอวิ๋นจื่อรู้สึกดีกับเมิ่งฮ่าวมานานแล้ว และมองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนใบหน้าของมัน
“ไปเถอะ ถุงสมบัตินั่นยังมีแผ่นหยกที่เป็นกุญแจของถ้ำแห่งเซียนอีกด้วย เจ้าสามารถฝึกตนอยู่ในที่แห่งนั้นตลอดเวลาสามเดือนที่จะมาถึงนี้ และยังมีเหรียญคำสั่งแสดงตัวตนอีกด้วย ซึ่งเจ้าสามารถจะใช้มันไปยังที่แห่งใดก็ได้ในสำนัก” จิ่วผอกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมา
เมิ่งฮ่าวพยักหน้า ในตอนนี้เองที่จู่ๆ เสินซือซ่างเหรินก็พูดขึ้นมา
“เมื่อกลุ่มผู้ฝึกตนอสูรขอให้เจ้าคืนศิษย์ของพวกมันที่เจ้าจับตัวไว้ เจ้าก็ควรจะคืนให้พวกมันไป และปัญหาก็จะคลี่คลายไปเอง ทำไมถึงไม่ยอมประนีประนอมกับพวกมัน?” ชายชรามีสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก แต่ดวงตากลับสาดประกายขึ้นอย่างลึกล้ำ
“ถ้าข้าคืนพวกมันกลับไป สามารถช่วยลดความเป็นปฏิปักษ์กับผู้ฝึกตนอสูรได้ แน่นอนว่าข้าต้องทำอยู่แล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้นได้ แล้วทำไมข้าถึงต้องคืนพวกมันด้วย?!”
“ข้าสามารถนำกลุ่มไห่เซียนเหล่านี้ทั้งหมดไปแลกกับหินลมปราณและแผ่นหยกได้ หรือว่าใช้พวกมันเป็นเครื่องข่มขู่ได้” เมิ่งฮ่าวอธิบายพร้อมกับยิ้มออกมา
เสินซือซ่างเหรินก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกันขณะที่กล่าวตอบ
“เจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในสำนัก แต่ถ้าออกไปด้านนอก…เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากที่สุด ถ้ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น อย่าได้ลังเลที่จะบดขยี้เหรียญคำสั่งของเจ้าไป ตราบเท่าที่เจ้ายังอยู่ภายในรัศมีหนึ่งล้านหลี่ทะเลของสำนัก เหล่าฟูก็จะไปช่วยเหลือถึงที่นั่นได้ภายในสามอึดใจ!”
จากนั้นท่านก็หลับตาลงและไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้ท่านได้มั่นใจถึงบุคลิกส่วนตัวของเมิ่งฮ่าวแล้ว และได้ยอมรับเขาอย่างหนักแน่น
เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลง เขากำลังจะจากไปแต่ทันใดนั้นเอง ก็ต้องหยุดชะงักนิ่ง และหันหลังกลับไปมองยังสามผู้ชรา
“ผู้เยาว์ขอถามอีกสักเรื่อง ทำไมในตอนที่ผู้เยาว์เข้ามายังทะเลที่เก้า อสูรทะเลเหล่านั้นถึงได้เกลียดชังผู้เยาว์นัก และยิ่งไปกว่านั้นแม้กระทั่งตอนที่เข้ามายังอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้านี้ ก็คาดไม่ถึงว่าผู้ฝึกตนอสูรเหล่านั้นก็ได้เกลียดชังผู้เยาว์อย่างคลุ้มคลั่งด้วยเช่นกัน?”
“แทบจะเหมือนกับว่าไม่ได้เกี่ยวกับระดับพื้นฐานฝึกตนของพวกมัน พวกมันเกลียดชังผู้เยาว์เป็นอย่างมากขึ้นในทันที จนไม่อาจจะอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ ผู้เยาว์ไม่เข้าใจจริงๆ ขอให้ผู้อาวุโสช่วยให้ความกระจ่างด้วย?”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังสามผู้ชราด้วยความคาดหวัง เขาอยากจะรู้คำตอบของปัญหานี้อย่างแท้จริง!
เขาไม่เชื่อว่าพวกท่านจะไม่รู้คำตอบนี้ เมื่อพิจารณาถึงศักดิ์ฐานะของพวกท่านในสำนักแล้ว ถึงแม้ว่าพวกท่านอาจจะไม่รู้อะไรเลยในตอนแรก แต่สามารถจะไปสอบถามให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้นได้