Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1094

ตอนที่ 1094

สงครามแห่งเก้าชนเผ่าเริ่มขึ้น

สายลมขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไป ราวกับว่าอาณาจักรสายลมกำลังสะสมพลังขึ้นมา ซึ่งสามารถจะระเบิดออกไปได้ทุกเมื่อ

เมื่อไหร่ที่พลังนั้นปะทุขึ้น เก้าชนเผ่าก็จะถูกม้วนเข้าไปในสงคราม เป็นสงครามระหว่างผู้ฝึกตนทั้งหมด ซึ่งถูกประกาศว่า…เป็นสงครามของลำดับขั้น!

มันจะเป็นการตัดสินว่าใครคือสมาชิกอันดับหนึ่งของลำดับขั้นกันแน่ ใครจะมีพลังสูงสุดอยู่ในกลุ่มของพวกมันอย่างแท้จริง การกลายเป็นผู้ฝึกตนลำดับขั้น คนผู้นั้นต้องเป็นผู้ถูกเลือกในผู้ถูกเลือกแห่งขุนเขาทะเลใดๆ ก็ตาม พวกมันเป็นบุคคลที่สามารถจะพึ่งพาพื้นฐานฝึกตนของตัวเอง…ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือกว่าระดับของตนเองได้!

ดวงตะวันอันเจิดจ้าเช่นนั้น เป็นบุคคลที่ไม่ยอมรับการที่จะต้องต่ำต้อยกว่าคนอื่นๆ อย่างง่ายดาย พวกมันเป็นบุคคลที่ต้องพยายามกลายเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเดียวกันให้จงได้!

อันที่จริง…ถึงแม้ว่าบุรุษหนุ่มจากขุนเขาทะเลแรก จะเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งในลำดับขั้น…แต่คนอื่นๆ จะหวาดกลัวมันอย่างไรกัน?!

การต่อสู้จะต้องเกิดขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ในอาณาจักรสายลมนี้…คือโอกาสให้สมาชิกทั้งหมดของลำดับขั้นในรุ่นนี้…มีประสบการณ์ในการทำสงครามครั้งแรกของพวกมัน!

สงครามเริ่มต้นขึ้นในทันทีที่เมิ่งฮ่าวก้าวเท้าขึ้นไปบนยอดเขา และแสงจากวิหารกลางได้พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า เผยให้เห็นถึงรูปปั้นเหล่านั้น

ในตอนนี้นามของเมิ่งฮ่าวได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งเก้าชนเผ่า และตรึงแน่นอยู่ภายในใจของผู้ฝึกตนทั้งหมดจากเก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่ และสมาชิกคนอื่นๆ ทั้งหมดของลำดับขั้น

ในตอนนี้เองที่มองเห็นเงาร่างร่างหนึ่ง พุ่งผ่านมาจากชนเผ่าที่ห้า เป็นหญิงสาวเยาว์วัยผู้หนึ่ง ซึ่งมีความงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่กำลังขมวดคิ้วอยู่เล็กน้อย ที่ด้านหลังนางเป็นลำแสงแปดสาย พยายามไล่ติดตามนางมาด้วยความตั้งใจอันดุร้าย

แต่ละคนที่ไล่ติดตามมานั้นอยู่ในอาณาจักรโบราณ ยิ่งไปกว่านั้นบุคคลเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงตะเกียงวิญญาณที่ดับลงไปแล้วไม่ต่ำกว่าห้าดวงเท่านั้น พวกมันยังมีความลึกล้ำที่ยากจะหยั่งถึงอีกด้วย!

นั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในอาณาจักรสายลม แต่…ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่!

หญิงสาวนางนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นผู้สืบทอดของเซียนกู่เต้าฉ่าง, เสวี่ยเอ๋อร์ ขณะที่นางเร่งความเร็วขึ้น ก็มองขึ้นไปและเห็นแสงที่กระจายออกมาจากวิหารกลาง นางมองเห็นรูปปั้นและภูเขามากมายที่อยู่สูงขึ้นไปในท้องฟ้า พร้อมทั้งมองเห็นรูปปั้นของเมิ่งฮ่าว และสุดท้ายนางก็ได้ยินนามของเขาด้วยเช่นกัน

“ใช่มันหรือไม่…?” นางคิด ถึงแม้ว่าจะถูกไล่ล่าติดตามมา แต่ดวงตานางก็ยังสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า และจดจำนามของเมิ่งฮ่าวไว้ในทันที จากนั้นนางก็พุ่งต่อไป และแปดผู้ไล่ล่าก็ส่งเสียงหวีดหวิวแหวกฝ่าอากาศมาทางด้านหลัง ขณะที่พยายามจะไล่ตามนางไปให้ทัน

เวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปยังภูเขาไป๋เฟิงในชนเผ่าที่เก้า เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และมองกลับลงมาจากท้องฟ้า เปลวไฟที่อยู่ในมือของรูปปั้นสาดส่องเข้าไปในดวงตาของเขา ทำให้เกิดเป็นแสงแปลกๆ ออกมา

หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เขาก็ยิ้มออกมา

“ข้าทำลายสถิติเดิมไปแล้ว…ไปตอแยผู้ถูกเลือกลำดับขั้นคนอื่นๆ แล้ว แต่เรื่องเช่นนี้…ข้ารู้สึกชอบจริงๆ!”

“ข้าไม่สนใจถึงสิ่งแปลกๆ ที่อยู่ในอาณาจักรสายลมนี้ หรือสิ่งที่เจี้ยนเต้าจื่อและสหายของมันกำลังวางแผนทำอะไรอยู่…พวกมันไม่มีค่าใดๆ สำหรับข้า!”

“ข้าไม่เคยคาดคิดว่า ไม่จำเป็นต้องไปยังวิหารกลาง เพื่อค้นหาวิธีดูดซับผลเนี่ยผานลูกที่สองของข้า และ…ก้าวเท้าเข้าไปในอาณจักรเซียนทุกชั้นฟ้า!” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จิตใจเต็มไปด้วยความมุ่งหวัง และความตื่นเต้นอย่างรุนแรง

โดยไม่ลังเลใดๆ อีก เขาก้าวเท้าตรงไปและนั่งลงขัดสมาธิ จากนั้นก็นำฉู่อวี้เยียนออกมาจากถุงสมบัติ หลังจากที่มองไปรอบๆ อยู่ชั่วขณะ ก็เห็นได้ชัดว่าฉู่อวี้เยียนกำลังสั่นสะท้าน

นางรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของอาณาจักรสายลม โดยที่ไม่ต้องให้เมิ่งฮ่าวกล่าวตักเตือนใดๆ นางนั่งลงขัดสมาธิ และเริ่มทำการฝึกตน ตอนนี้นางเพ่งสมาธิไปที่การทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรเซียนเพียงอย่างเดียว

เมิ่งฮ่าวพยักหน้าให้อย่างเงียบๆ จากนั้นก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในเปลวไฟ ทันใดนั้นเขาก็สามารถตรวจพบสามร้อยเต๋า, สามร้อยกฎธรรมชาติ, สามร้อยแก่นแท้ที่อยู่ด้านใน!

ฉับพลันนั้นเขาก็มีลางสังหรณ์ว่า ยิ่งเข้าใจในแก่นแท้ได้มากเท่าใด ก็จะยิ่งง่ายต่อการดูดซับผลเนี่ยผานลูกที่สองเข้าไปมากเท่านั้น

“ถ้าชนเผ่าเดียวไม่เพียงพอ ก็ต้องใช้สองชนเผ่า ถ้าทั้งเก้าชนเผ่าและสองพันเจ็ดร้อยแก่นแท้ของพวกมันไม่เพียงพอ ข้าก็จะไปยังวิหารกลาง และใช้สามพันแก่นแท้เต๋า ทำการดูดซับผลเนี่ยผานลูกที่สองของข้า!” เขาหลับตาลง และส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้ไหลเข้าไปในเปลวไฟนั้นอย่างเต็มกำลัง

ตรงเชิงเขา สีหน้าของเจี้ยนเต้าจื่อเปลี่ยนไป ที่ด้านหลังมัน ชายชราคนอื่นๆ กำลังจ้องมองขึ้นไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความเคารพนับถือ หลังจากผ่านไปสักพักพวกมันก็เริ่มแยกย้ายกันจากไป

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในชั่วพริบตา ตลอดช่วงเวลานั้น อาณาจักรสายลมดูเหมือนจะสงบร่มเย็น อย่างไรก็ตามคลื่นใต้น้ำกำลังม้วนกวาดไปทั่ว ถึงแม้ว่าการต่อสู้จะยังไม่ระเบิดออกมา

ระหว่างผู้ฝึกตนธรรมดา และผู้ฝึกตนลำดับขั้น ซึ่งยังคงปรับตัวเองให้เคยชินกับที่แห่งนี้ แต่กองกำลังของเก้าชนเผ่าก็เตรียมพร้อมที่จะก่อสงครามขึ้นมาแล้ว

กองกำลังของเก้าชนเผ่า ได้เตรียมพร้อมที่จะทำสงครามมานานแล้ว และในตอนนี้พวกมันก็เริ่มเดินมุ่งหน้าตรงไปยังจุดศูนย์กลางของอาณาจักรสายลม…เข้าไปสู่อาณาเขตของวิหารกลาง

อาณาเขตแห่งนั้นประกอบด้วยที่ราบอันกว้างใหญ่ ตรงจุดตรงกลางของมันเป็นวิหาร ซึ่งมีพื้นที่อันกว้างขวางใหญ่โต ต้นหญ้าบนที่ราบนั้นมีสีขาว และพื้นดินก็เป็นสีดำ

ที่ตั้งอยู่บนจุดกึ่งกลางของที่ราบเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่เก้าหลัง พวกมันดูเก่าแก่โบราณ ราวกับว่าได้คงอยู่ที่นั่นมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน

เจดีย์แต่ละแห่งยืนห้อมล้อมไว้ด้วยกองกำลังของแต่ละชนเผ่า ซึ่งมีมากกว่าหนึ่งล้านคน เมื่อรวมเข้าด้วยกันเก้าชนเผ่าก็มีนักรบทั้งหมดเกือบสิบล้านคน

การต่อสู้กันอย่างวุ่นวายเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่มีชนเผ่าใดเป็นพันธมิตรร่วมกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าการต่อสู้กันยิ่งใหญ่นี้จะประกอบไปด้วยเก้าชนเผ่าทั้งหมด

เสียงกรีดร้องอย่างน่าอนาถใจดังก้องขึ้นไปในอากาศ ตามมาด้วยเสียงแผดร้องด้วยโทสะก่อนที่จะตกตายไปของเหล่านักรบนับไม่ถ้วนที่ถูกสังหารไป คมดาบและปลายหอกที่พวกมันกวัดแกว่งไปมา

ดูเหมือนจะเป็นการบ่งบอกว่าเป้าหมายของพวกมันคือ การย้อมชโลมดินสีดำนี้ด้วยโลหิตจนกระทั่งกลายเป็นสีม่วงไป

ภายใต้คำสั่งของขุนพล กองกำลังต่างๆ ทำให้พื้นที่แห่งนั้นกลายเป็นทะเลแห่งโลหิตไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีความถูกหรือผิดในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีใครตั้งคำถามว่าทำไมมันถึงได้เกิดขึ้น พวกมันแค่ต่อสู้ไปอย่างไม่รู้จบ และบางครั้งก็ดูเหมือนว่าพวกมันไม่ได้ต่อสู้เพื่อสิทธิในการมีชีวิตอยู่ แต่ต่อสู้เพื่อสิทธิในการตกตายไป!

ขณะที่มีร่างผู้เสียชีวิตซ้อนทับกันขึ้นไปเรื่อยๆ เจดีย์ทั้งเก้าก็เริ่มส่องประกายด้วยแสงสีโลหิตพุ่งขึ้นมา อย่างน่าตกใจยิ่งแสงอันเจิดจ้านั้นออกมาจากชนเผ่าที่สาม จากเสาแห่งแสงสีโลหิตที่พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศหนึ่งร้อยจ้าง

ลำแสงสีโลหิตกำลังพุ่งขึ้นไปจากเจดีย์อื่นๆ ทั้งหมดสูงสิบกว่าจ้าง สำหรับชนเผ่าที่สอง, ชนเผ่าที่สาม และชนเผ่าที่เก้า ลำแสงสีโลหิตของพวกมันสูงเพียงแค่สิบจ้างเท่านั้น

หนทางเดียวที่จะทำให้ลำแสงเหล่านั้นสูงมากขึ้นไปอีก…คือการต่อสู้และสังหาร!

ยิ่งศัตรูถูกสังหารไปมากเท่าใด ลำแสงสีโลหิตก็จะยิ่งสูงมากขึ้นไปเท่านั้น!

แทบจะในเวลาเดียวกับที่ลำแสงสีโลหิตพุ่งสูงขึ้นไปจากเจดีย์ทั้งเก้า ผู้ฝึกตนลำดับขั้นที่อยู่บนภูเขากั๋วยิ่นต่างๆ ของชนเผ่าทั้งเก้า ต่างก็รู้สึกว่ากระแสลมปราณและความรวดเร็วที่พวกมันรู้แจ้งอยู่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชนเผ่าที่สาม กระแสลมปราณได้พุ่งขึ้นไป จนดูเหมือนว่ามันกำลังได้รับความช่วยเหลือจากพรศักดิ์สิทธิ์ในแง่ของความรู้แจ้ง

มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในภูเขาอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ในชนเผ่าที่สอง, หกและเก้า กลิ่นอายแห่งเชื้อชาติขาดความสมดุล ทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าการเข้าฌานเพื่อความรู้แจ้งไม่คงที่ ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างมาปิดกั้นมันไว้

กลิ่นอายแห่งเชื้อชาติแตกกระจายไป ทำให้แรงกดดันกดทับลงมายังชนเผ่า มนุษย์ธรรมดาสามารถรับรู้ได้อย่างเลือนลางเท่านั้น แต่สำหรับผู้ฝึกตนกลับเด่นชัดมากเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนจากอาณาจักรขุนเขาทะเล ซึ่งมีความรู้สึกที่อ่อนไหวมากไปกว่านั้น ฝานตงเอ๋อร์, เป้ยอวี้ และผู้ฝึกตนอสูรอื่นๆ ทั้งหมด รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อนั้น และสีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไป ขณะที่มองออกไปยังที่ห่างไกล

แรงกดดันนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กดทับลงมายังพวกมันคล้ายกับเป็นกระบี่อันแหลมคม ให้ความรู้สึกที่อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ก็จะไปปิดกั้นพื้นฐานฝึกตนของพวกมันไว้อย่างชัดเจน

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้นขณะที่ออกมาจากการเข้าฌาน ก่อนหน้านี้เขาไม่อาจจะรู้แจ้งได้ ไม่เพียงแต่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น แต่กระแสลมปราณบนภูเขาก็กระจัดกระจายออกไป นอกจากนี้กระบวนการต่อต้านบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาในภูเขาก็ถูกทำให้อ่อนแอลงไป

“มันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร…?”

เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว ตระหนักขึ้นในทันทีว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับอาณาจักรสายลมอย่างเพียงพอ ลุกขึ้นมายืนและมองออกไปยังทิศทางของวิหารกลาง

ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ค่อนข้างห่างไกลออกไป แต่เขาก็สามารถจะรับรู้ได้ และรู้ว่ากองกำลังของแต่ละชนเผ่ากำลังต่อสู้กันอยู่ เขายังรับรู้ได้ถึงเสาสีโลหิตที่กำลังพุ่งขึ้นมาอีกด้วย

หลังจากที่เฝ้าสังเกตดูอยู่ชั่วครู่ เมิ่งฮ่าวก็ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ และทันใดนั้นก็ได้ข้อสรุปใหม่ๆ ขึ้นมา

“สงครามของมนุษย์มีผลกระทบต่อกระแสลมปราณ ยิ่งมีผู้คนถูกสังหารไปมากเท่าใด กลิ่นอายแห่งเชื้อชาติก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่กลับกันถ้ากองกำลังมนุษย์ของชนเผ่านั้นอ่อนแอ…กลิ่นอายแห่งเชื้อชาติที่คอยเฝ้าปกป้องภูเขาก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย รวมทั้งทำให้ข้ายากที่จะได้รับความรู้แจ้งขึ้นมาได้!”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายขึ้นขณะที่หรี่เล็กลงไป

“แต่ข้าไม่ได้ออกคำสั่งให้ชนเผ่าที่เก้าส่งกองกำลังออกไปสู้รบ…”

“ไม่ว่าอย่างไร ถ้าพวกมันพ่ายแพ้ในสนามรบที่ด้านนอกของวิหารกลาง ไม่เพียงแต่จะมีอิทธิพลต่อความรวดเร็วในการรู้แจ้งของข้าเท่านั้น พลังการปกป้องที่ก่อตัวขึ้นมาโดยกลิ่นอายแห่งเชื้อชาติก็จะอ่อนแอลงไปด้วย หรืออาจจะหายไปเลยก็ได้ ถ้าเกิดขึ้นเช่นนั้น…อันตรายจากการถูกแย่งชิงตราประทับก็จะมีเพิ่มมากขึ้น!”

“บางทีนี่คือจุดประสงค์ทั้งหมดของการแข่งขันในครั้งนี้?” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็เข้าใจว่าทำไมแต่ละขุนเขาทะเลถึงได้ส่งมาเก้าคน อีกแปดคนมักจะถูกส่งไปต่อสู้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่เคยสังหารมนุษย์ธรรมดาก็ตามที แต่ก็มีหลายวิธีที่จะทำให้เกิดเป็นผลกระทบต่อคลื่นแห่งสงครามในครั้งนี้

“ดูเหมือนว่าข้าจำเป็นต้องส่งใครบางคนไปช่วยทำสงคราม น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจจะไปด้วยตนเองได้…” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว จากนั้นก็ใช้เวลาอีกส่วนหนึ่งในการยืนยันความคิดเห็นของตนเอง เขาไม่อาจจะออกไปจากภูเขาไป๋เฟิงนี่ได้ เมื่อไหร่ที่ขั้นตอนการรู้แจ้งเริ่มขึ้น ก็ไม่อาจจะหยุดชะงักลงได้ เพื่อที่จะหยุดมัน เขาจำเป็นต้องรู้แจ้งให้ได้อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยแก่นแท้

ในตอนนี้เขารู้แจ้งเพียงแค่แปดสิบกว่าแก่นแท้เท่านั้น คงใช้เวลาอีกไม่นานก่อนที่จะได้ครบหนึ่งร้อย

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เมิ่งฮ่าวก็ยกมือขึ้น กรีดลงไปบนหน้าผากของตัวเอง ทำให้หยดโลหิตลอยออกมา

เขาชี้นิ้วส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเข้าไปในหยดโลหิตนั้น ซึ่งจากนั้นมันก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเมิ่งฮ่าวคนที่สองขึ้นมา

“แย่ยิ่งนักที่ข้ายังไม่ได้ค้นหาวิธีซ่อมแซมร่างจำแลงเต๋าเดิมแท้ของข้าขึ้นมา สิ่งเดียวที่ข้าสามารถจะทำได้ในตอนนี้ก็คือ สร้างเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นร่างอวตารเช่นนี้” พร้อมกับถอนหายใจ เขาหลับตาลงและส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์บางส่วนออกไป เพื่อทำการเข้าฌาณรู้แจ้งแก่นแท้โลกและเต๋าอันยิ่งใหญ่ สำหรับร่างอวตารเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ มันหมุนตัวและกลายเป็นลำแสงพุ่งออกจากภูเขาไป๋เฟิงเข้าไปสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!