ตอนที่ 1133
เจ้าปล่อยวางแล้วหรือไม่
เสวี่ยเอ๋อร์แทบจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา นางไม่รู้ว่าได้ทำอะไรให้เมิ่งฮ่าวไม่พอใจ สิ่งที่นางเคยทำมาทั้งหมดก็คือแอบติดตามเขาไปในช่วงเวลาหนึ่ง และจริงๆ แล้วก็ไม่มีเจตนาร้ายใดๆ ทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังได้มอบเม็ดยาอันล้ำค่า เพื่อให้เขาเล่นหมากล้อมกับนาง ทั้งหมดนั้นเป็นคำสั่งของท่านอาจารย์ เพื่อค้นหาผู้ฝึกตนลำดับขั้นทั้งหมดในรุ่นนี้ และค้นหาบุคคลที่นางต้องให้การช่วยเหลือผู้หนึ่ง
ผู้ฝึกตนลำดับขั้นคนอื่นๆ ทั้งหมด นางสามารถจะโน้มน้าวใจได้อย่างง่ายดาย มีเมิ่งฮ่าวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจากไป เสวี่ยเอ๋อร์ก็กัดฟันแน่น ร้องตะโกนออกไปว่า
“ข้าแค่ต้องการเล่นหมากล้อมเท่านั้น! ไม่ว่าใครจะชนะหรือพ่ายแพ้ ข้าก็ยังคงมอบโชควาสนาให้กับเจ้า เป็นสิ่งที่ช่วยให้เจ้าสามารถจะหลบหนีจากกลุ่มคนชุดดำแห่งชนเผ่าที่สามได้!”
“ข้าสามารถช่วยให้เจ้าหลุดรอดออกมาจากสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้!”
เสวี่ยเอ๋อร์ขบฟันจนแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่นางเสนอผลประโยชน์ให้กับผู้ฝึกตนลำดับขั้นก่อนที่จะตัดสินใจคัดเลือก
เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักลง และมองกลับไปยังเสวี่ยเอ๋อร์ เขาตระหนักดีว่าถ้าเต้าเทียนเห็นว่าหญิงสาวนางนี้มีความสำคัญ นางต้องมีบางอย่างที่พิเศษไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังบอกได้อีกด้วยว่า เรื่องทั้งหมดที่นางเพิ่งจะกล่าวมานั้นจริงๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อลำดับขั้นเป็นอย่างมาก
“ความหลงใหลของเจ้าช่างลึกล้ำนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งจนยากจะอ่านได้ และยังดูลึกลับอีกด้วย
คำพูดของเมิ่งฮ่าวทำให้เสวี่ยเอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ต่อมาเขาก็ไพล่มืออยู่ที่ด้านหลังและเริ่มกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา สำหรับเขาแล้วมันเหมือนกับเป็นคำโต้แย้ง และเมื่อย้อนกลับไปในวันที่เขาโต้เถียงอยู่ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา เขาไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน
“คำว่าหลงใหลประกอบด้วยตัวอักษรสองตัว หนึ่งเกี่ยวข้องกับความคิด และอีกหนี่งเกี่ยวข้องกับการกระทำ ถ้าความคิดของเจ้าถูกครอบงำโดยหมากล้อม และการกระทำของเจ้ามุ่งเน้นอยู่แต่เรื่องการเล่นหมากล้อมเท่านั้น ถ้าเช่นนั้น…ทำไมเจ้าถึงไม่ไปค้นหาเม็ดหมากล้อม แทนที่จะมาหาผู้ฝึกตนลำดับขั้น?”
“การเล่นหมากล้อมเป็นแค่วิธีการที่จะช่วยให้เจ้าตัดสินใจได้ ใช่หรือไม่? การตัดสินใจนั้น…สามารถจะทำได้หลายรูปแบบ แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าจะหลงใหลอยู่แต่วิธีนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แทนที่จะบอกว่าเจ้ากำลังค้นหาผู้คนมาเล่นหมาก ก็น่าจะถูกต้องกว่าถ้าจะกล่าวว่า…เจ้าติดอยู่ภายในกระดานหมากนั้นเอง”
“มันไม่ใช่การเล่นหมากล้อม แต่เป็นสวรรค์และปฐพี และเจ้าก็สูญเสียความคิดของตนเองไป ติดอยู่ในนั้น เส้นทางของเจ้าถูกตัดขาดไปแล้ว เต๋าของเจ้ามีข้อจำกัด การเล่นหมากล้อมนี้…สำหรับเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ข้า”
เสวี่ยเอ๋อร์สั่นสะท้าน และจากสีหน้าของนางก็ดูเหมือนว่านางกำลังได้รับความรู้แจ้ง หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก นางก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับเมิ่งฮ่าว
“เป็นความอคติของเสวี่ยเอ๋อร์เอง ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เมิ่งถึงไม่ยอมเล่นหมากล้อมกับข้า ถ้าท่านทุ่มเทตนเองเพื่อเล่นหมากล้อม ท่านก็จะสูญเสียตัวตนไปให้กับกระดานหมาก และตกเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้น”
“ดังนั้นท่านจึงเล่นเพียงแค่ตาเดียวก็จากไป คล้ายกับทิ้งความคิดเพียงหนึ่งเดียวไว้ในสวรรค์และปฐพีแห่งนั้น
ทำให้ภูเขายังคงเป็นภูเขา แม่น้ำยังคงเป็นแม่น้ำต่อไป ไร้ระลอก ไร้คลื่นใดๆ เลือกที่จะคงอยู่ที่ด้านนอก เพื่อคอยเฝ้ามอง…จับตาดูท้องทะเลสีฟ้ากลายเป็นทุ่งนาต้นหม่อน…”
เสวี่ยเอ๋อร์พึมพำ ในที่สุดนางก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง
“ขอบคุณมากพี่เมิ่ง!” สีหน้านางเต็มไปด้วยความจริงใจโดยสิ้นเชิง และดูเหมือนว่ากลิ่นอายของนางจะยิ่งพิเศษไม่ธรรดามากขึ้นไปกว่าเดิม ราวกับว่านางได้รับความรู้แจ้งบางอย่างขึ้นมาอย่างแท้จริง ราวกับว่าจู่ๆ นางก็เข้าใจเกี่ยวกับชีวิตได้มากขึ้น เห็นได้ชัดว่าแม้แต่พื้นฐานฝึกตนของนางก็มีความก้าวหน้าขึ้นไปด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวมีท่าทางตื่นตระหนก แต่จากนั้นก็รีบทำสีหน้าให้สงบนิ่งและดูลึกลับเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว เขายิ้มน้อยๆ ออกมา พร้อมกับแววตาที่แสดงถึงความชื่นชม
จริงๆ แล้วเขารู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับเสวี่ยเอ๋อร์ เหตุผลเดียวเท่านั้นที่เขากล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมาเมื่อครู่นี้ เพราะว่าเขาเล่นหมากล้อมไม่เป็น และไม่เคยคาดคิดว่าคำพูดของตนเองจะมีผลกระทบต่อเสวี่ยเอ๋อร์ถึงเพียงนี้
“พี่เมิ่ง ข้าเข้าใจแล้วว่า มันไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะมีใครชนะหรือพ่ายแพ้ในการเล่นหมากล้อม แต่คำสั่งของอาจารย์ก็ยากจะขัดขืน พี่เมิ่งได้โปรดช่วยเล่นหมากล้อมกับข้าด้วย”
เสวี่ยเอ๋อร์มีสีหน้าที่สัตย์ซื่อจริงใจ และความหยิ่งยโสทั้งหลายจากก่อนหน้านี้ก็หายไปจนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้เมื่อมองมายังเมิ่งฮ่าวก็ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว คำพูดของเขาก็คือเต๋า
เมิ่งฮ่าวบ่นพึมพำอยู่ภายในใจ ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี แต่ก็มีสีหน้าชื่นชมอย่างลึกล้ำมากขึ้น ความคิดวิ่งผ่านเข้ามาในจิตใจอย่างรวดเร็ว มองลงไปยังกระดานหมากล้อม และจากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา
“เจ้าเข้าใจจริงๆ?” เมิ่งฮ่าวถามด้วยน้ำเสียงที่จู่ๆ ก็เริ่มเก่าแก่โบราณเป็นอย่างมาก ขณะที่พยายามจะลอกเลียนแบบวิธีการพูดจาของจ้งอู๋หยาจากช่วงเวลาที่ผ่านมา
“เมื่อครู่นี้ มีใครบางคนมาถามข้าว่าเต๋าคืออะไร”
“คำตอบของข้าก็คือว่า เต๋าเกี่ยวข้องกับความคิดในจิตใจของเจ้า สิ่งที่มุ่งเน้นอยู่ในความคิด ก็คือเต๋าของเจ้า เต๋าไร้รูปร่าง และไม่อาจจะแตะต้องสัมผัสได้ มีแต่ต้องครุ่นคิดใคร่ครวญเท่านั้น เช่นเดียวกับชีวิต”
เสวี่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้ว ครั้งนี้นางไม่ค่อยจะเข้าใจถึงความหมายที่เขาพูดมา
“ชีวิต?” นางถามขึ้น
เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวตอบ แต่หันหน้าไปหาอ๋าวเฉี่ยน และลูบไปที่ขนของมันอย่างอ่อนโยน ดวงตาที่ดุร้ายของมันเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นในทันที และเลียมาที่เขา
ตอนแรก เมิ่งฮ่าวแค่ต้องการหลอกลวงเสวี่ยเอ๋อร์เท่านั้น แต่การพูดคุยนี้ทำให้เขาต้องคิดไปถึงผู้ฝึกตนที่อยู่ในเหมืองหยกเซียน จากนั้นก็คิดไปถึงบุรุษชุดดำในชนเผ่าที่สาม คิดไปถึงเรื่องราวมากมายหลายสิ่ง
“นี่คืออ๋าวเฉี่ยนที่ข้าเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข”
“มันไม่ถูกจำกัดด้วยศีลธรรม ไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ใดๆ มีแต่ความต้องการเบื้องต้นเท่านั้น มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านั้นก็คือข้า ข้าคือครอบครัวของมัน และมันก็คือครอบครัวของข้า นอกจากนั้นแล้วทุกอย่างที่มันมีก็คือสัญชาตญาณ แม้แต่ตอนที่มันสังหาร ก็ไม่มีเรื่องของความดีหรือเลวมาเกี่ยวข้องด้วย”
“อาณาจักรสายลมก็เช่นเดียวกัน ผู้ฝึกตนจากที่อื่นมาสูญเสียตัวตนไปตลอดกาลในที่แห่งนี้ และจบลงด้วยการกระทำตามสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“นั่นคืออิสรภาพและเสรีภาพดั้งเดิม และเป็นชีวิตของพวกมันด้วยเช่นกัน”
“ชีวิตเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะมีอาณาจักร ซึ่งน่าจะเป็น…อาณาจักรธรรมชาติ” ทันใดนั้นเองก็ดูเหมือนว่าจิตใจเมิ่งฮ่าวจะทะลวงผ่านเข้าไปในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าเขาได้บรรลุถึงปรัชญาความรู้แจ้งอีกหนึ่งระดับอย่างแท้จริง ทำให้ดวงตาต้องสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ
เสวี่ยเอ๋อร์ยืนครุ่นคิดอยู่ที่นั่น
“พิจารณาดูพวกมัน” เมิ่งฮ่าวกล่าว หันหน้ามองไปยังเหล่านักรบ และผู้ฝึกตนจากอาณาจักรขุนเขาทะเลที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก
“ตอนนี้ให้พิจารณาตนเอง”
“เจ้ามีศักดิ์ฐานะที่พิเศษ เจ้าเป็นผู้สืบทอดแห่งเซียนโบราณ เจ้าเป็นผู้สูงส่งมาแต่กำเนิด ด้วยตัวตนและตำแหน่งที่โดดเด่นเช่นนี้ ด้วยพลังและอำนาจที่ไม่ธรรมดา แล้วนักรบและผู้ฝึกตนอื่นๆ เหล่านั้นทั้งหมดคิดอย่างไร? พวกมันก็มีสิ่งเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นเรื่องความแข็งแกร่งพวกมันมีกองกำลัง ถ้าเป็นเรื่องความอ่อนแอ…พวกมันก็มีเล่ห์เหลี่ยมแผนการ”
“ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเปรียบเทียบด้วยกันได้ในทุกๆ เรื่อง พวกเราเปรียบเทียบกันว่าใครมีพื้นฐานฝึกตนสูงที่สุด, ใครร่ำรวยมากกว่า, ใครมีศักดิ์ฐานะที่ดีกว่า, ใครอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า, ใครมีพลังมากที่สุด, ใครมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีที่สุด, ใครฉลาดมากที่สุด หรือว่าใครเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด”
“อ่อนแอกับอ่อนแอ เข้มแข็งกับเข้มแข็ง ผู้คนทั้งหมดต่างก็เปรียบเทียบซึ่งกันและกัน เนื่องจากการเปรียบเทียบเหล่านี้ ทำให้ผู้คนอยากได้ในสิ่งที่ไม่มี และสิ่งที่พวกมันมี ก็ยิ่งไม่ยอมจะสูญเสียไป”
“นั่นคือรูปแบบของชีวิตอีกอย่างหนึ่ง และสิ่งสำคัญมากที่สุด รูปแบบของชีวิตเช่นนั้น…เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่เช่นนั้น ข้าขอเรียกชีวิตเช่นนั้นว่าอาณาจักรที่สอง, เป็นอาณาจักรในทางปฏิบัติ!”
“เจ้าอยู่ในอาณาจักรนั้น และข้าก็เช่นกัน” เมื่อพูดจบเสียงของเมิ่งฮ่าวก็แผ่วเบาลง ส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมา
เสวี่ยเอ๋อร์กำลังสั่นสะท้าน และไม่อาจจะละสายตามาจากเมิ่งฮ่าวได้ คำพูดของเขาดังก้องคล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำรามอยู่ในจิตใจของนาง ทำให้ลมหายใจต้องกระชั้นเร่งร้อนขึ้น
นางรับรู้ได้ว่าเขากำลังพูดจาออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ขณะที่คิดไปถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยพบเห็นและกระทำมา เขาเพิ่งมีความคิดเกี่ยวกับอาณาจักรแรก หลังจากที่ได้เห็นผู้ฝึกตนสูญเสียตัวตนไปด้วยความปรารถนาของพวกมันเอง นางยังได้เห็นผู้ฝึกตนเช่นนั้นด้วยตนเองในอาณาจักรสายลมแห่งนี้เช่นกัน
ในความคิดของนาง แนวคิดอาณาจักรที่สองของเขา มาจากการดิ้นรนของลำดับขั้น และการต่อสู้แย่งชิงกันระหว่างผู้ฝึกตนลำดับขั้นด้วยกันเอง และยังได้กล่าวตอบคำพูดและความแข็งแกร่งของนางอีกด้วย
“มี…อาณาจักรที่สามด้วยหรือไม่?” นางถามขึ้นอย่างเงียบๆ
“มี!” เมิ่งฮ่าวมองไปยังนาง ด้วยสีหน้าที่เก่าแก่โบราณมากขึ้นกว่าเดิม และกลิ่นอายที่หมุนวนไปมาของเขาก็ยิ่งมีความลี้ลับมากขึ้น ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า ราวกับเป็นตะเกียงสองดวงในยามราตรีที่ไร้แสงจันทร์
“อาณาจักรที่สามคือ…เมื่อเจ้าทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลัง” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
เสวี่ยเอ๋อร์ยืนตะลึงอยู่ที่นั่น
“เจ้ายินดีที่จะยกเลิกสิ่งของบางอย่างหรือไม่?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น ส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ “เจ้ายอมรับความเป็นไปของมันหรือไม่? เจ้าสามารถจะ…ละทิ้งมันได้หรือไม่?”
“อาณาจักรที่สามนี้คืออาณาจักรแห่งการปล่อยวาง หลังจากที่เจ้ามีบางสิ่งบางอย่าง เจ้าก็ละทิ้งมัน หรือบางทีอาจจะกล่าวได้ว่า…วางมันลงที่ด้านข้าง!”
“วางทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างกาย และเจ้าก็จะว่างเปล่า เมื่อถึงตอนนั้น ในที่สุดเจ้าก็สามารถจะ…อธิบายได้ว่าเต๋าคืออะไร!”
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และมองไปยังเสวี่ยเอ๋อร์ ซึ่งกำลังจ้องมองมายังเขาด้วยสายตาที่งุนงง ทันใดนั้นเขาก็กล่าวตำหนิไปว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจ?!”
“ลองคิดดูว่ากระดานหมากล้อมคืออะไร? กระดานหมากล้อมนั้นก็คือโลกของเจ้า และในจิตใจของเจ้า มันคือทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า เมื่อทั้งหมดนั้นถูกกล่าวออกมาและกระทำไป มันก็มีขอบเขต, มีข้อจำกัด สร้างเป็นกรงขังที่มองไม่เห็นโอบล้อมเจ้าไว้ เป็นสถานที่ที่จิตใจของเจ้าไม่อาจจะออกมาได้!”
“ถ้าเจ้าไม่วางมันลงด้านข้าง เจ้าก็จะตกอยู่ในอาณาจักรที่สองตลอดกาล และเจ้าก็ไม่อาจจะอธิบายว่า…เต๋าคืออะไร…ไปตราบชั่วนิรันดร์!”
เสียงของเมิ่งฮ่าวดูเหมือนว่าจะประกอบไปด้วยพลังที่แปลกๆ จนทำให้เสวี่ยเอ๋อร์ต้องสั่นสะท้าน สีหน้านางเต็มไปด้วยการดิ้นรน แต่หลังจากนั้นชั่วขณะ นางก็มองไปที่เขาอย่างลึกล้ำ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปวางไว้บนกระดานหมากล้อม เกิดเป็นเสียงปะทุดังขึ้นมา ขณะที่กระดานหมากล้อมแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไป
นางหลับตาลง และทันใดนั้นเองก็ดูเหมือนว่านางจะผ่อนคลายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ถามขึ้นว่า “อาณาจักรที่สามมีนามว่าอะไร?”
ริมฝีปากเมิ่งฮ่าวขยับขึ้นลงอย่างไร้เสียงอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ “ข้าเรียกอาณาจักรนี้ว่า…เต๋า!”
“เต๋า…” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็จ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างละเอียด ราวกับว่าต้องการจะประทับรูปร่างหน้าตาเขาไว้ในความทรงจำ จากนั้นนางก็โบกสะบัดมือ ทำให้ลำแสงห้าสีลอยออกมา
ภายในลำแสงนั้นเป็นแก้วผลึกห้าสี ซึ่งส่องแสงระยิบระยับออกมา ดูคล้ายกับเป็นของวิเศษที่หาค่ามิได้
ในทันทีที่แสงระยิบระยับนั้นปรากฏขึ้น สายลมก็พุ่งขึ้นมา และทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มสั่นสะเทือน แทบจะเหมือนกับว่าโลกได้ถูกปลดปล่อยออกมา ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังแสงระยิบระยับนั้น เครื่องหมายลำดับขั้นบนหน้าผากของเขาก็เริ่มส่องประกายขึ้นมา
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ตอนนี้เต้าเทียนกำลังพุ่งฝ่าอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นมันก็หยุดชะงักลง หันหน้ามองกลับมายังทิศทางของเขตพื้นที่วิหารกลาง หลังจากผ่านไปชั่วขณะ ใบหน้ามันก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อและโทสะ
“หัวใจลำดับขั้น เจี้ยนเหริน! หัวใจลำดับขั้นควรจะเป็นของข้า! ไม่มีใครคู่ควรที่จะได้มันไป!!” มันแผดร้องคำรามออกมา เปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลัน มุ่งหน้าตรงไปยังเขตพื้นที่วิหารกลาง มันรู้ว่าหัวใจลำดับขั้นนั้นกำลังจะเป็นของเมิ่งฮ่าว ถึงแม้ว่ามันไม่มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าจะสามารถเอาชนะเขาได้ แต่โทสะของมันก็ทำให้ไร้ทางเลือกนอกจากต้องไปพิสูจน์ดูเท่านั้น
หลินชง, หานชิงเหลย, อวี่เหวินเจียน และผู้ฝึกตนลำดับขั้นอื่นๆ ทั้งหมด ในอาณาจักรสายลม ต่างก็ตระหนักดีว่าเครื่องหมายลำดับขั้นบนหน้าผากของพวกมัน กำลังส่องประกายเจิดจ้าอยู่ และพวกมันก็สามารถรู้สึกได้ถึงเสียงเรียกของลำดับขั้น ที่กำลังออกมาจากเขตพื้นที่วิหารกลางด้วยเช่นกัน
เสียงร้องเรียกนั้นเป็นสิ่งที่คล้ายกับเป็นความกระหาย ทำให้ผู้ฝึกตนลำดับขั้นทั้งหมดรู้สึกได้ สีหน้าพวกมันสลดลงไปในทันที
“มันคือหัวใจลำดับขั้น!! เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสวี่ยเอ๋อร์กูเหนียง (คำเรียกหญิงสาวของจีนสมัยโบราณ) ในที่สุดก็เลือกเต้าเทียน?!”
“มันต้องเป็นเต้าเทียน มันกำลังมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นในอาณาจักรสายลม!!”
คนทั้งหมดสั่นสะท้าน แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็เช่นกัน เครื่องหมายบนหน้าผากของเขากำลังสาดประกายเจิดจ้า และแสงห้าสีก็ดูเหมือนว่ากำลังร้องเรียกเขาอยู่ เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
“นั่นคืออะไร?” เขาถามขึ้น
“หัวใจลำดับขั้น ทุกๆ รุ่นของลำดับขั้น จะมีสมาชิกหนึ่งคนได้รับการยอมรับจากเซียนโบราณ บุคคลผู้นั้นจะได้รับ…หัวใจลำดับขั้น!”
“หมายความว่าข้าได้รับการยอมรับ?” เมิ่งฮ่าวถาม มองไปยังนาง
“ท่านไม่ยอมเล่นหมากล้อม แต่ก็ทำให้ข้าต้องทำลายกระดานหมากล้อมไป ท่านเอาชนะหัวใจลำดับขั้นได้ แต่ก็ไม่อาจจะเอาชนะความช่วยเหลือในอนาคตของข้าได้ ถ้าท่านบรรลุถึงอาณาจักรที่สามเช่นที่กล่าวมา ก็ให้มาหาข้า!”
นางกล่าวตอบเสียงราบเรียบ จากนั้นก็โบกสะบัดมือ ทำให้ลำแสงห้าสีพุ่งตรงไปที่เขา เมิ่งฮ่าวยื่นมือออกไปคว้าจับไว้ และจิตใจก็หมุนคว้าง ในเวลาเดียวกันนั้น สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ระเบิดออกปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น
“มัน…เป็นของท่านแล้ว” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าว มองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำอีกครั้ง จากนั้นก็หันร่างพุ่งห่างออกไปไกลจนหายลับตาไป
————————
หมายเหตุ : 沧海桑田 (ชางไห่ซางเถียน) แปลตรงตัวว่า ทะเลกลายเป็นทุ่งหม่อน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของโลก