Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1196

ตอนที่ 1196

นำนักรบศิลาจากไป

งานพิธีแต่งตั้งผู้นำตระกูลในส่วนที่เหลือได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปสำนักและกองกำลังทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้า จะปฏิบัติต่อฟางซิ่วเฟิงด้วยความสุภาพอย่างถึงที่สุด เนื่องจากฟางซิ่วเฟิงได้กลายเป็นตัวแทนของตระกูลฟางไปแล้วในตอนนี้!

ผู้ฝึกตนตระกูลฟางจำนวนมากต่างก็มาประจำอยู่บนดาวหนานเทียน และมีการติดตั้งประตูเคลื่อนย้ายทางไกลไว้อย่างถาวร ทำการเชื่อมต่อกันโดยตรงกับดาวตงเซิ่ง  อีกด้วย

ซึ่งจะหมายความว่าฟางซิ่วเฟิงไม่เพียงแต่จะมาคอยปกป้องคุ้มครองดาวหนานเทียนอีกต่อไปเท่านั้น แต่ก็กลายเป็นความรับผิดชอบของตระกูลฟางทั้งหมดด้วย รวมถึงฟางโส่วเต้าและฟางเหยียนซวีด้วย ไม่มีใครจะหลบเลี่ยงหน้าที่นี้ได้

ปกป้องอาณาจักรขุนเขาทะเล! นั่นคือ…คำสาบานของตระกูลทุกชั้นฟ้า!

สามวันต่อมาหลังจากที่งานพิธีเสร็จสิ้นลง เมิ่งฮ่าวก็บอกลาบิดามารดาและออกไปจากดาวหนานเทียน ไม่มั่นใจว่าจะกลับมายังขุนเขาทะเลที่เก้าได้เมื่อไหร่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปพบกับสหายเก่าก่อนที่จะจากไป บางคนเขาก็ไปแค่เยี่ยมเยือน แต่บางคนเขาไปเพื่อทวงหนี้!

ก้าวแรกที่เขาจะไปก็คือดาวตงเซิ่ง!

เมิ่งฮ่าวใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลบนดาวหนานเทียน เดินทางตรงไปยังที่นั่น มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์โบราณ, แผนกเต๋าแห่งการปรุงยาเพื่อไปแสดงความเคารพต่อผู้เฒ่าโอสถ และเยี่ยมเยือนสหายเก่าบางคน จากนั้นเมิ่งฮ่าวและฟางโส่วเต้าก็เปิดดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลออก!

เขายืนอยู่ที่นั่นมองตรงไปยังกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ และดินแดนบรรพบุรุษที่ดูคุ้นเคยตรงด้านใน จิตใจสั่นสะท้านขณะที่มองเห็นนักรบศิลาในรูปแบบของภูเขา จนต้องคิดไปถึงเคออวิ๋นไห่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“เตีย…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ก้าวเดินตรงเข้าไปในกระแสน้ำวน และปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้านักรบศิลา ในตอนแรกมันกำลังหลับใหลอยู่ แต่ในทันทีที่เขาปรากฏกายขึ้น กลิ่นอายของมันก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา และค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นขณะที่มันลุกขึ้นมายืน และพลังพื้นฐานฝึกตนเสมือนเต๋าก็ปะทุออกไป

มันกำลังเฝ้ารอคอยให้เมิ่งฮ่าวมาพามันจากไปอยู่ตลอดเวลา!

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!

“ข้ากำลังจะพาเจ้าจากไป เจ้าจะไปพร้อมกับข้า…ตราบชั่วนิรันดร์” เมิ่งฮ่าวกล่าว ค่อยๆ ยกมือขึ้นมา ลูบไล้ไปที่นักรบศิลา ขณะที่กลิ่นอายของมันทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับท่านพ่อเคอพุ่งขึ้นมาในจิตใจ

“ยังมีนักรบศิลาอีกตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งตรงด้านนอก และข้ากำลังจะไปนำกลับมาด้วยเช่นกัน” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็โบกสะบัดมือ นักรบศิลากลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในชิ้นส่วนของเศษซากเซียน ซึ่งเขาได้รับมาจากไห่เมิ่งจื้อจุนอย่างรวดเร็ว!

นักรบศิลามีความผูกพันธ์กับเศษซากเซียนอย่างแนบแน่นมานานแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะตัวพื้นดินเอง แต่เป็นเพราะพลังจากเศษซากเซียน ทำให้มันไม่อาจจะออกไปจากดินแดนบรรพบุรุษตระกูลฟางได้ เนื่องจากว่าถ้าไม่มีพลังนั้นมันก็จะตายไป

นั่นคือเหตุผลหลักที่เมิ่งฮ่าวต้องร้องขอชิ้นส่วนของเศษซากเซียนจากไห่เมิ่งจื้อจุน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อ…นักรบศิลา ขณะที่นักรบศิลาผ่านเข้าไปในชิ้นส่วนของเศษซากส่วนที่เขานำมา จิตใจก็เริ่มเต้นรัวด้วยความวิตกกังวล

เนื่องจากว่าความคิดทั้งหมดนี้มาจากการคาดเดาเท่านั้น แต่หลังจากที่เห็นว่านักรบศิลาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณว่าไม่อาจจะจากไปได้ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา

“นับจากนี้ไปพวกเราจะ…ท่องไปทั่วทั้งอาณาจักรขุนเขาทะเลด้วยกัน!” จากนั้นดวงตาเมิ่งฮ่าวก็เริ่มสาดประกายขึ้น ขณะที่มองไปยังทิศทางของวิหารโลกันต์ที่อยู่ห่างไกลออกไปและโค้งตัวลง ตอนที่เขากำลังจะจากไป เสียงเก่าแก่โบราณของท่านปรมาจารย์รุ่นแรกก็ดังก้องอยู่ในจิตใจ

“ครั้งหนึ่งมรดกแห่งราชันหลี่เคยอยู่บนดาวหนานเทียน หลังจากนั้นมันก็มายังดาวตงเซิ่ง และตอนนี้…มันไปอยู่ในขุนเขาทะเลที่แปด” เมื่อเสียงนั้นดังก้องออกมา แผ่นหยกก็ลอยออกมาจากวิหารโลกันต์ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเมิ่งฮ่าว เขายื่นมือออกไปคว้าจับมันไว้

“แผ่นหยกนี้แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งปัจจุบันของมรดกแห่งราชันหลี่ ด้วยแผ่นหยกนี้เจ้าน่าจะค้นหามันได้!”

“เดิมทีมรดกนั้นตั้งใจที่จะส่งมอบให้กับคนที่อยู่ในอาณาจักรเต๋า แต่เมื่อพิจารณาถึงพื้นฐานฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ เจ้าสามารถจะ…ค้นหาและได้มันมาครอบครอง มันจะ…ช่วยเหลือเจ้าได้อย่างใหญ่หลวง” ยิ่งปรมาจารย์รุ่นแรกพูดนานเท่าใด สุ้มเสียงก็ยิ่งอ่อนล้าลงไปมากขึ้นเท่านั้น

เมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเข้าไปในแผ่นหยก และทันใดนั้นก็รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังร้องเรียกเขาผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เป็นเสียงที่ฟังดูเลือนลางแต่ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าถ้าเขาไปค้นหา ก็สามารถจะพบแหล่งกำเนิดของเสียงร้องเรียกนั้นได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่เขารู้สึกแปลกๆ ก็คือว่า ตำแหน่งของมรดกแห่งราชันหลี่นั้น ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่ในขุนเขาทะเลที่แปด แต่ดูเหมือนว่ามันกำลังเคลื่อนที่อยู่

“ดาวหนานเทียน ดาวตงเซิ่ง ขุนเขาที่แปด…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้างขึ้น ขณะที่ฉับพลันนั้นก็เริ่มมีความคิดที่บ้าคลั่งพุ่งขึ้นมา

“ไม่มีทาง…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ

เวลาเดียวกันนั้น ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเลที่แปด เต่ายักษ์กำลังบินไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข ร้องเพลงอยู่ในลำคอด้วยเสียงแผ่วเบา ถูกห้อมล้อมด้วยผู้ฝึกตนที่มีท่าทางแข็งแรงบึกบึนนับร้อย เห็นได้ชัดว่าบุคคลเหล่านี้คือผู้พิทักษ์คุ้มครอง

ขณะที่พวกมันบินไปพร้อมกับเต่ายักษ์ ก็ร้องตะโกนเป็นเสียงดังขึ้นมา

“ท่านปรมาจารย์ผู้องอาจ เอกะเทวะผู้แข็งแกร่ง!”

“ท่านปรมาจารย์ผู้ไร้พ่าย เอกะเทวะผู้ไร้เทียมทาน!”

เสียงตะโกนของพวกมันดังก้องออกไปด้วยคลื่นเสียงที่ทรงพลัง กระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง ผู้ฝึกตนใดๆ ก็ตามที่มาพบเจอกับพวกมันก็จะต้องตกตะลึงไปในทันที

แน่นอนว่า เต่ายักษ์นี้ก็คือปรมาจารย์เอกะเทวะนั่นเอง ในตอนนี้มันมีอิสระราวกับเป็นวิหคน้อย ริมฝีปากบิดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ มีท่าทางเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง

“ขุนเขาที่แปดน่าจะดีกว่าขุนเขาที่เก้า ไม่ว่าเหลาจู่ (ปรมาจารย์) จะมองไปที่ไหน ก็ไม่เห็นเมิ่งฮ่าว เมื่อไม่มีมัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูสวยงามไปหมด” ปรมาจารย์เอกะเทวะถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ลึกล้ำ ขณะที่ตระหนักว่าการตัดสินใจหลบนีออกมาจากขุนเขาทะเลที่เก้าช่างถูกต้องอย่างหาที่เปรียบมิได้

“เจ้าสารเลวน้อยเมิ่งฮ่าวคงคาดไม่ถึงว่า เหลาจู่จะไม่อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าอีกต่อไป ในที่สุดเหลาจู่ก็สามารถจะท่องเที่ยวไปได้อย่างมีอิสระในขุนเขาทะเลที่แปด” ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง และชอบจะได้ยินผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ตัวร้องเรียกมันว่าผู้องอาจ อย่างไรก็ตามในตอนนี้เองที่จู่ๆ ร่างกายมันก็สั่นสะท้านขึ้นมาในทันที

“อี๋? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ ข้าถึงรู้สึกตกใจกลัวขึ้นมา?” ปรมาจารย์เอกะเทวะมีสีหน้าแปลกๆ อยู่ชั่วขณะ แต่ก็ไม่คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และเดินทางอย่างมีความสุขของมันต่อไป

ย้อนกลับไปยังขุนเขาทะเลที่เก้า เมิ่งฮ่าวเก็บแผ่นหยกไว้พร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ ประสานมือให้กับท่านปรมาจารย์รุ่นแรก จากนั้นก็ออกไปจากดินแดนบรรพบุรุษ และมุ่งหน้าตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกล พร้อมกับความคิดที่วิ่งผ่านไปทั่วในจิตใจ

ผ่านไปครึ่งทาง จู่ๆ เขาก็หมุนตัวกลับมา และมองเห็นผู้ฝึกตนในชุดยาวสีดำ กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาใกล้ๆ บริเวณนั้น

ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนนี้มักจะสวมใส่ชุดยาวสีขาว แต่หลังจากนั้นมันก็กลายมาเป็นเงาของตระกูล นับจากนั้นมามันก็สวมใส่เสื้อผ้าสีดำราวกับยามราตรี เพื่อบ่งบอกว่ามันจะคงอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล

มันคือฟางเว่ย!

ตำแหน่งนี้เป็นสถานที่ที่ต้องผ่านไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกล และมันมาดักรอเมิ่งฮ่าวเป็นการพิเศษเฉพาะ

สายตาคนทั้งสองสบประสานกัน แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาในตอนแรก เวลาผ่านไปชั่วขณะ และจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ยิ้มออกมา

“ความหมายของนามเจ้าคืออะไร, ฟางเว่ย?”

แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่างฟางเว่ย คำถามของเมิ่งฮ่าวทำให้เกิดเป็นความทรงจำย้อนกลับมาอย่างมากมาย แสงอันเจิดจ้าปรากฏขึ้นมาในดวงตาของมัน กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องปกป้องตระกูลฟาง!”

เมิ่งฮ่าวชี้นิ้วออกไป ทำให้ร่างฟางเว่ยสั่นไปมา ทันใดนั้นแสงสีฟ้าอันเข้มข้นก็เริ่มสาดประกายออกมาจากร่างมัน

นี่คือแสงของเซียนทุกชั้นฟ้า เมล็ดเต๋าที่อยู่ภายในร่างมันเกือบจะตื่นขึ้นมาแล้วในตอนนี้ ทำให้พื้นฐานฝึกตนของมันลุกโชนขึ้นด้วยพลังที่ใกล้จะทะลวงผ่านออกมา

ใบหน้าเมิ่งฮ่าวซีดขาวลงเล็กน้อย ยิ้มออกมา พุ่งผ่านฟางเว่ยตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกล

สีหน้าอันซับซ้อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าฟางเว่ย ขณะที่มันรับรู้ได้ว่าพื้นฐานฝึกตนและพลังเซียนทุกชั้นฟ้ากำลังพุ่งขึ้นมาอยู่ภายในร่าง ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งห่างออกไป ก่อนที่เขาจะหายตัวไป ฟางเว่ยก็ร้องตะโกนออกมา “เมิ่งฮ่าว ข้าจะรอให้เจ้ากลับมา และพวกเราก็จะต่อสู้กัน!”

“ดี!” เมิ่งฮ่าวตอบรับเป็นเสียงดังก้องออกมา จากนั้นก็หายตัวเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลราวกับเป็นแสงที่แวบขึ้นมา

“ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะพบเจอกับอันตรายที่ร้ายแรงมากแค่ไหน ก็ขอให้กลับมาอย่างปลอดภัย!” ฟางเว่ยพึมพำ ลุกขึ้นมายืน และมุ่งหน้ากลับไปยังทิศทางของสำนักเย่าเซียน ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว พร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่อตระกูลของตน

เมิ่งฮ่าวก้าวออกมาจากแสงระยิบระยับของประตูเคลื่อนย้ายทางไกล บนสนามดวงดาวที่ไหนสักแห่งในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวของขุนเขาทะเลที่เก้า ตบไปที่ถุงสมบัติ หยิบเอาตั๋วสัญญาปึกใหญ่ออกมา

“ข้าควรจะไปเก็บเงินจากใครเป็นคนแรกดี? อืม ไม่เป็นไร ข้ามีตั๋วสัญญาอยู่มากมาย แค่สุ่มเลือกมาสักใบก็ได้แล้ว!” เมื่อตัดสินใจได้   เขาก็สุ่มหยิบตั๋วสัญญาออกมาและมองลงไป

“ไท่หยางจื่อ? ก็ไม่เลว มันเป็นหนี้หินลมปราณข้าไม่น้อย” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งหวัง

กำตั๋วสัญญาไว้ในมือขณะที่พุ่งตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลที่มุ่งตรงไปยังภูเขาไท่หยาง ในทันทีที่ศิษย์เฝ้ารักษาประตูเคลื่อนย้ายทางไกลนั้นมองเห็นว่าเป็นเมิ่งฮ่าว สีหน้าพวกมันก็เปลี่ยนไป

เมิ่งฮ่าวไม่สนใจพวกมัน ก้าวเท้าเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกล และถูกห้อมล้อมด้วยแสงระยิบระยับของการเคลื่อนย้ายทางไกลในทันที

เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นใหม่ ก็พบว่าโลกที่เบื้องหน้าตนเองเต็มไปด้วยความร้อนที่แผดจ้า ราวกับอยู่ในทะเลทราย ที่ด้านบนไม่มีท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว นี่คือโลกที่พิเศษเฉพาะโดดเด่นไม่เหมือนใคร

ท้องฟ้าเป็นสีดำและพื้นดินก็แตกระแหง มองเห็นภูเขานับไม่ถ้วนยืดยาวออกไปในทั่วทุกทิศทาง ทั้งหมดนั้นคือภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นมาเองตามธรรมชาติ อันที่จริงในตอนที่เมิ่งฮ่าวมาถึง ก็มองเห็นภูเขาไฟสิบกว่าลูกกำลังพ่นกลุ่มควันสีดำออกมา พร้อมกับแสงอันเจิดจ้าที่ดูคล้ายกับเป็นอุกกาบาต

นี่คือภูเขาไท่หยาง จากตำนานที่บอกเล่าสืบต่อกันมา มันคือชิ้นส่วนที่แตกกระจายออกมาจากดวงตะวันของโลกแห่งเซียนที่ตกลงมาจากสวรรค์ เพราะว่ามันมีขนาดที่ใหญ่โต ทำให้พบเห็นพลังแห่งดวงตะวันเป็นจำนวนมากอยู่ในที่แห่งนี้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมถึงได้มีภูเขาไฟที่ทรงพลังแห่งการทำลายล้างเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน

และเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงได้กลายเป็นสถานที่ที่โดดเด่นในการฝึกตนด้วยเช่นกัน มันค่อยๆ ถูกเรียกว่าภูเขาไท่หยางไปทีละน้อย  หลังจากที่ผ่านมานานหลายปี ก็กลายเป็นหนึ่งในห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาทะเลที่เก้า!

ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลต่างๆ สามารถใช้เข้าออกในภูเขาไท่หยางได้ และทั้งหมดนั้นก็ถูกควบคุมดูแลโดยศิษย์ภูเขาไท่หยาง เมื่อ   เมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้น พวกมันก็จดจำเขาได้ในทันที

“นั่นคือเมิ่งฮ่าว!” ตรงบริเวณประตูเคลื่อนย้ายทางไกลมีศิษย์อยู่นับร้อย พวกมันทั้งหมดต่างก็มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป  ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมายังที่แห่งนี้ พวกมันกดลงไปบนแผ่นหยกเพื่อส่งข้อความไปยังผู้บังคับบัญชาของตนเองในทันที

เมิ่งฮ่าวไอแห้งๆ ออกมา และมองไปรอบๆ ยังศิษย์ภูเขาไท่หยาง ซึ่งกำลังแสดงท่าทางราวกับว่ากำลังพบเจอกับศัตรูอันแข็งแกร่งที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้     เมิ่งฮ่าวรู้สึกอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย ยิ้มเขินอายให้กับพวกมัน จากนั้นก็กระแอมไอและร้องตะโกนออกไป    “ไท่หยางจื่อ! เจ้าเป็นหนี้ข้า! ถึงเวลาที่ต้องจ่ายแล้ว!!”

เสียงเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไปคล้ายเสียงฟ้าผ่า ทำให้เกิดเป็นสีสันแวบขึ้นไปในท้องฟ้า สายลมขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมา ระลอกคลื่นนับไม่ถ้วนพุ่งกระจายออกไปยังโลกแห่งนี้ทั้งหมด

ภูเขาไฟบางแห่งในบริเวณนั้นสั่นไหวไปมาและปะทุขึ้น ท้องฟ้ามืดมิดลงไป ขณะที่สวรรค์สั่นสะท้าน คนทั้งหมดในโลกแห่งนี้สามารถได้ยินเสียงเมิ่งฮ่าวกันทุกคน

ศิษย์ภูเขาไท่หยางจ้องมองมาด้วยปากที่อ้ากว้าง ฉับพลันนั้นภูเขาไท่หยางก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ขณะที่ศิษย์นับไม่ถ้วนต่างก็ตื่นตระหนกต่อเสียงของเมิ่งฮ่าว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!