Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1243

ตอนที่ 1243

ฝีมือของจิ่วเฟิง

“เมิ่งฮ่าว!” หลังจากที่มองเห็นเมิ่งฮ่าว ดวงตาเสวียนเต้าจื่อก็สาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร มันต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมาอย่างมากมาย เพื่อโอกาสที่จะได้ครอบครองแก่นแท้ของเมิ่งฮ่าว หลังจากการเผชิญหน้ากันในครั้งแรก มันก็ไล่ตามเข้ามาในสามสิบสามนรกแห่งนี้ จากนั้นก็ต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบากอยู่ภายในกลุ่มหมอก และในที่สุดก็ถูกดูดเข้ามาในสุสานแห่งนี้ อันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อทั้งหลายเหล่านั้น ทำให้เสวียนเต้าจื่อต้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

“ในที่สุดพวกเราก็มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครมาขัดขวางแล้ว” มันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง เต็มไปด้วยรังสีสังหาร

“และเจ้าก็หลบหนีไปไม่ได้เช่นกัน ดังนั้น…นี่คือบทสรุปทั้งหมดของพวกเรา!”

อย่างไรก็ตามในทันทีที่ตันหลางซึ่งยึดครองร่างเมิ่งฮ่าวอยู่ ผ่านเข้ามาในเขตวิหารกลาง ดวงตามันก็เต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อนและความโศกเศร้า แทบจะราวกับว่ามันได้ลืมเสวียนเต้าจื่อและผลเนี่ยผานลูกที่สี่ไป กลับยืนอยู่ที่นั่นจ้องมองไปยังซากศพที่แห้งกรัง

“ไห่เต้า…ต้าเทียนจุน (มหาเทพเต๋าสมุทร)” มันพึมพำด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมาย

“ทะเลเป็นตัวแทนของบุคคลสองคน สำหรับเต๋า…ไม่ได้หมายถึงวิถีทาง

(道 = เต้า) แต่เป็นจอมโจร (盗 = เต้า) ซึ่งก็คือฉายาที่พวกมันมอบให้กับข้า” ดูเหมือนว่าตันหลางจะตกอยู่ในห้วงภวังค์อันขมขื่น เนื่องจากมาจากความทรงจำที่เก่าแก่โบราณอย่างลึกล้ำเหล่านั้น ทำให้ยากที่จะกำจัดกลิ่นอายที่เก่าแก่โบราณอย่างน่าเหลือเชื่อเหล่านั้นไปได้

ความเก่าแก่โบราณนั้นทำให้เสวียนเต้าจื่อ ซึ่งอยู่ในท่ามกลางการโจมตีมา ต้องจ้องมองไปด้วยความตกตะลึงขึ้นในทันที มันรีบหยุดชะงักนิ่งมองไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าสิ่งแปลกๆ ที่กำลังเกิดขึ้นนี้คืออะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกได้อย่างลึกล้ำถึงกลิ่นอายที่เก่าแก่โบราณซึ่งกำลังกระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว

จากนั้นก็ได้ยินคำพูดที่เปล่งออกมาของตันหลาง ทำให้ดวงตาต้องเบิกกว้างขึ้น ทันใดนั้นมันก็จำได้ว่าตรงศิลาหลุมฝังศพที่ด้านนอกของสุสานแห่งนี้

มีนามหนึ่งถูกจิ่วเฟิงจื้อจุนเขียนเอาไว้…ปี่อ้าน (ภพอื่น), ไห่เต้าต้าเทียนจุน (มหาเทพเต๋าสมุทร)

อย่างน่าตกใจยิ่ง ตันหลางถูกสะกดไว้ในที่แห่งนี้…ไห่เต้าต้าเทียนจุน จริงๆ แล้วก็คือหนึ่งในวิญญาณของมัน หลายปีก่อนโน้นมันได้แยกตัวเองออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งยังคงเป็นร่างกายเดิมของมัน ซึ่งค่อยๆ แห้งเหี่ยวลงไปอย่างช้าๆ ทำให้วิญญาณนั้นหลอมรวมเข้าไปในดวงตะวันแห่งมหาเทพที่อยู่บนหน้าผาก

อีกส่วนถูกซ่อนไว้อย่างเงียบๆ ในบริเวณใกล้เคียง เพื่อหลบเลี่ยงจากความตายที่แท้จริง ตั้งแต่นั้นมาส่วนที่เป็นวิญญาณของมันพยายามจะหลบหนีจากไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะพบเห็นร่างอาศัยที่เหมาะสม เมื่อมีผู้ฝึกตนจากโลกด้านนอกเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ มันเคยลองพยายามมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยจะทำได้สำเร็จมาก่อน

แต่เมื่อมันมองเห็นเมิ่งฮ่าว ก็เป็นครั้งแรกที่สามารถจะมองเห็นผู้ฝึกตนอื่นๆ ได้อย่างแท้จริง

ตันหลางถอนหายใจ และเสียงถอนหายใจที่เก่าแก่โบราณนี้ก็ดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง วิหารทั้งหลังดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยสายลม ทำให้แสงทั้งหมดเริ่มส่ายไหวไปมา

ดวงตะวันสีฟ้าที่อยู่บนหน้าผากซากศพจู่ๆ ก็ลุกโชนขึ้น เวลาเดียวกันนั้นโล่และกระดิ่งใบเล็กๆ ที่อยู่ข้างซากศพก็เริ่มสั่นสะท้านไปมา

แรงกดดันที่มีอยู่อย่างเข้มข้นในบริเวณนั้นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ระเบิดเป็นพลังออกไป ทำให้เสวียนเต้าจื่อต้องสั่นสะท้าน มีแต่ตันหลังเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย

“จิ่วเฟิงจื้อจุนผู้โหดเหี้ยม…มันมีกายเนื้อเหยียบย่ำสวรรค์ และพื้นฐานฝึกตนที่ห่างจากอาณาจักรเดียวกันนั้นแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น…น่าเสียดายที่มีมันเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าผู้ยิ่งใหญ่โลกแห่งเซียนคนอื่นๆ อยู่ในระดับเดียวกับมัน สงครามก็คงจะไม่จบลงเช่นนั้น…” ตันหลางพึมพำ ด้วยสีหน้าที่มีร่องรอยแห่งความหวาดกลัว

“เป็นความโหดเหี้ยมอย่างที่ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้ข้ามองเห็นได้ถึงความจริงนั้นแล้ว มันน่าจะกำจัดพวกข้าไปได้ทั้งหมด แต่กลับสร้างสามสิบสามนรกนี้ขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะสะกดข่มพวกข้าไว้เท่านั้น แต่ยังได้ใช้พลังแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล ทำการกลั่นสกัดผู้แข็งแกร่งมากที่สุดในพวกข้าทั้งสามสิบสามคน…ให้กลายเป็นเม็ดยาอีกด้วย!!”

“เจ้าต้องการส่งมอบพวกข้าให้กับผู้สืบทอดของเจ้า ใช่หรือไม่…? เจ้าต้องการกลั่นสกัดมหาเทพและเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบสามให้กลายเป็นเม็ดยา เพื่อส่งมอบให้กับผู้สืบทอดของเจ้า!” ตันหลางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ดวงตาเริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า

“น่าเสียดายที่เจ้าไม่เคยรู้ว่าข้าแยกร่างหลบหนีมาได้ และเจ้าก็ไม่อาจจะคาดคิดได้ว่า…ข้าจะสามารถครอบครองร่างนี้ไว้ได้! ข้าไม่รู้ว่าผู้สืบทอดของเจ้าอยู่ที่แห่งใด แต่สำหรับของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่เจ้าจัดเตรียมไว้ให้มัน ข้าจะนำไปแล้วในตอนนี้!” ด้วยเช่นนั้นตันหลางจึงก้าวเดินตรงไป

อย่างไรก็ตามในทันทีที่มันเหยียบย่างเท้าลงไป ทันใดนั้นเสวียนเต้าจื่อก็ไม่อาจจะอดกลั้นได้อีกต่อไป แผดร้องออกมาและพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวที่ถูกตันหลางยึดร่างไว้

“หยุดแสร้งเป็นภูติผีได้แล้ว เมิ่งฮ่าว! ถึงเวลาที่เจ้าต้องตาย!”

เสวียนเต้าจื่อเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็วสูงสุดพร้อมกับโบกสะบัดมือออกไป ทำให้แก่นแท้และกฎธรรมชาติปะทุขึ้นและกดทับลงไปบนร่างเมิ่งฮ่าว

การโจมตีในครั้งนี้ เสวียนเต้าจื่อทุ่มพลังออกมาจนสุดตัว อันตรายทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้กำลังกดทับลงมาในจิตใจมัน และรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นด้วยคำพูดที่เพิ่งจะเปล่งออกมาจากปากของตันหลางด้วยเช่นกัน ดังนั้นแม้ในขณะที่แก่นแท้และกฎธรรมชาติพุ่งออกไป มันก็ใช้มือขวาขยับร่ายเวท ทำให้เกล็ดของสัตว์เลื้อยคลานเก้าชิ้นลอยออกมาจากถุงสมบัติ

ในทันทีที่เกล็ดเหล่านั้นปรากฏขึ้น กลิ่นอายอันโหดเหี้ยมก็ระเบิดออกไป และกลายเป็นมังกรเก้าตัว แต่ละตัวมีความยาวถึงหนึ่งร้อยจ้าง โชคดีที่วิหารแห่งนี้มีขนาดที่ใหญ่โต มิเช่นนั้นพวกมันก็คงไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหวได้ ในทันทีที่พวกมันปรากฏกายขึ้น ก็ส่งเสียงแผดร้องคำรามและพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างฉับพลัน

เสวียนเต้าจื่อไม่รอให้การโจมตีนี้เสร็จสิ้น รีบขยับมือร่ายเวทอื่นออกมาอีก และจากนั้นก็ชี้นิ้วตรงไป เลือดเนื้อของมันแห้งเหี่ยวลงในทันที ทำให้ดูผอมแห้งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เวลาเดียวกันนั้นก็ทำให้กลุ่มหมอกของเลือดเนื้อกลายเป็นกระบี่โลหิตหนึ่งเล่ม

กระบี่นั้นส่งเสียงหึ่งๆ คล้ายมังกรโลหิต พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

ต่อมาเสวียนเต้าจื่อก็ใช้สองมือขยับร่ายเวท ทำให้สัญลักษณ์เวทชิ้นแล้วชิ้นเล่าปรากฏขึ้น ทั้งหมดเป็นสีทอง และเกิดเป็นเสียงปะทุขึ้น ขณะที่สัญลักษณ์เวทเหล่านั้นกลายร่างเป็นนักรบเซียนในชุดเกราะสีทอง ก่อตัวขึ้นมาพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

จากนั้นแสงแปลกๆ ก็สาดประกายขึ้นในดวงตาเสวียนเต้าจื่อ และรังสีสังหารที่อยู่ภายในดวงตาก็หมุนวนไปมา จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างเย็นชา

เริ่มส่งเสียงพึมพำออกมาจากนั้นก็ยกมือขวาขึ้น กลุ่มหมอกสีดำอันน่าตกใจพุ่งกระจายออกไป หมุนวนอยู่รอบๆ ตัว ทำให้อากาศบริเวณนั้นบิดเบี้ยวไปมา

มันกำลังโจมตีไปสุดกำลังอย่างแท้จริง กระทำการทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อสังหารเมิ่งฮ่าว และจบการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองไป

ดวงตาตันหลางที่ยึดร่างเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันลี้ลับ และยิ้มอย่างดุร้ายออกมา หยุดเดินตรงไปยังแท่นศิลาทั้งเก้า หันร่างมุ่งหน้าตรงไปยังเสวียนเต้าจื่อแทน

“เจ้าคือผู้ฝึกตนอาณาจักรเต๋าเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่? เพื่อให้มั่นใจว่าข้าจะมีพลังชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ข้าจะผนึกร่างเจ้าไว้ก่อนที่เจ้าจะตายไป”

ขณะที่มันเดินไปเป็นก้าวแรก พลังแก่นแท้และกฎธรรมชาติของเสวียนเต้าจื่อก็ครอบคลุมลงมา ห่อหุ้มร่างมันไว้ แต่ตันหลางก็แค่อ้าปากขึ้นและกลืนกินลงไปอย่างเรียบง่าย แก่นแท้และกฎธรรมชาติสั่นไหวไปมา ราวกับว่าปากของตันหลางได้กลายเป็นหลุมดำ และพวกมันก็ถูกดูดเข้าไป ถูกกลืนกินลงไปจนหมดสิ้น

ดวงตาเสวียนเต้าจื่อเบิกกว้างขึ้น แต่ก่อนที่จะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ มังกรทั้งเก้าตัวก็เข้าไปใกล้ ตันหลางเดินไปเป็นก้าวที่สอง ทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังกึกก้อง เขตสุสานทั้งหมดสั่นสะเทือน มังกรทั้งเก้าตัวกรีดร้องเป็นเสียงแหลมเล็กและแตกกระจายไป กลายเป็นกลุ่มหมอกสีขาวที่ตันหลางดูดกลืนเข้าไป

มันเลียริมฝีปากไปมา ดวงตาสาดประกายขึ้น ขณะที่ยิ้มและกล่าวว่า “รสชาติไม่เลว”

ด้วยเช่นนั้นมันเดินไปเป็นก้าวที่สาม ชี้นิ้วออกไป ทำให้กระบี่โลหิตหยุดชะงักนิ่งและสั่นสะท้านอยู่ในกลางอากาศ ตันหลางแตะนิ้วไปบนตัวกระบี่ และกระบี่ก็แตกสลายกลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิต พุ่งกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง

สำหรับนักรบเซียนเกราะทองคำที่ใกล้เข้ามา พวกมันเริ่มสั่นสะท้านและจากนั้นก็ถอยร่นไปทางด้านหลัง แต่ตันหลางก็ฟาดฝ่ามือออกไป ทำให้พวกมันแตกกระจายกลายเป็นเสี่ยงๆ และกลายร่างเป็นกลุ่มหมอกสีขาว ซึ่งจากนั้นตันหลางก็ดูดกลืนเข้าไป ตอนนี้ผลเนี่ยผานลูกที่สี่ในหน้าผากของมันอยู่ในขั้นตอนการหลอมรวมอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าไม่ใช่เมิ่งฮ่าว!!”

“เจ้าคือใคร?!?!” เสวียนเต้าจื่อร้องอุทานออกมา ถ้าตอนนี้มันยังไม่อาจจะปะติดปะต่อร่องรอยต่างๆ เข้าด้วยกันได้ แล้วมันจะฝึกตนจนถึงระดับนี้ได้อย่างไร? ใบหน้ามันเต็มไปด้วยความตกตะลึง หนังศีรษะเริ่มด้านชาขึ้นมา มันจะคาดคิดได้อย่างไรว่าความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวททั้งหมดของตนเองจะถูกคลี่คลายไปได้ในทันทีเช่นนี้!?

สองประโยคที่มันเปล่งออกมา เกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจแม้แต่น้อย มันเริ่มคาดเดาได้แล้ว เมื่อเห็นสีหน้าของเมิ่งฮ่าวขณะที่มองไปยังซากศพที่แห้งเหี่ยว และได้ยินคำพูดที่พูดออกมานั้น มันแทบไม่อยากจะเชื่อต่อความหวาดกลัวที่เคยรู้สึกมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกนั้นได้

“แน่นอนว่าข้าไม่ใช่เมิ่งฮ่าว” ตันหลางกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ พร้อมกับสีหน้าที่เย่อหยิ่งและดูถูก “เจ้าสามารถเรียกข้าว่า ไห่เต้าต้าเทียนจุน แต่ข้าชอบนามเดิมของข้ามากกว่า ตันหลาง!”

ดวงตาเสวียนเต้าจื่อเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ปฏิกิริยาแรกที่มันพบว่าคนผู้นี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งก็คือยกมือขวาขึ้นมา ซึ่งในตอนนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วกลุ่มหมอกสีดำ ยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

“เวทยิ่งใหญ่สวรรค์ลึกล้ำ!!” เสวียนเต้าจื่อแผดร้องออกมา ตวัดมือลงไปและทันใดนั้น ภาพฝ่ามือขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เป็นสีดำสนิทโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าจะเป็นภาพลวงตา แต่ความจริงแล้วก็เป็นของจริง และพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ กฎธรรมชาติบิดเบี้ยวไปมา แม้แต่ฟ้าดินก็มีผลกระทบด้วยเช่นกัน ขณะที่ฝ่ามือยักษ์นั้นพุ่งออกไป

แสงแปลกๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของตันหลาง รู้สึกว่าจะค่อนข้างประหลาดใจ แต่เมื่อมันอ้าปากขึ้นเริ่มสูดลมหายใจเข้าไป ฝ่ามือยักษ์สีดำก็เริ่มหดเล็กลง กลายเป็นลมพายุที่หมุนวนไปมา ซึ่งตันหลางทำการดูดกลืนเข้าไป

ภาพที่เห็นนี้ทำให้จิตใจเสวียนเต้าจื่อต้องสั่นสะท้าน และเริ่มสงสัยว่ายังมีสิ่งอื่นใดที่มันไม่สามารถจะกลืนกินเข้าไปได้หรือไม่…

เสวียนเต้าจื่อเริ่มถอยไปทางด้านหลัง แต่ก็ไม่มีสถานที่ให้มันหลบหนีออกไปจากวิหารอันกว้างใหญ่แห่งนี้

“คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าหลบหนีไปได้? เหตุผลที่พวกเจ้าถูกดูดเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ เป็นเพราะว่าที่นี่…คือสุสานของข้า และก็เป็นของเจ้าด้วยเช่นกัน” ตันหลางยิ้มออกมา เวลาเดียวกันนั้นผนังกำแพงที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็เริ่มสั่นสะเทือน และประตูทางเข้าทั้งสิบต่างก็พังทลายลงไปในทันที

ถ้าเป็นเพียงแค่การพังทลายลงไปตามธรรมดา ก็คงไม่อาจจะยับยั้งไม่ให้ผู้ฝึกตนพุ่งทะลวงฝ่าออกไปได้ แต่กลับมีระลอกคลื่นแห่งวิชาเวทพุ่งกระจายออกมา กลายเป็นผนึกที่กระแทกเสวียนเต้าจื่อให้พุ่งถอยไปทางด้านหลังในทันทีที่มันเข้าไปใกล้ ทำให้ไม่อาจจะหลบหนีจากไปได้ในตอนนี้

สีหน้าเสวียนเต้าจื่อสลดลง และจิตใจก็เริ่มสั่นสะท้าน ตันหลางก้าวเดินตรงไป และทันใดนั้นก็ไปปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้ามัน

ดวงตาเสวียนเต้าจื่อเบิกกว้างขึ้น ขณะที่ตันหลางยื่นนิ้วออกมา และแตะลงไปที่หน้าอกของมัน

เสวียนเต้าจื่อแผดร้องอย่างน่าสังเวช ขณะที่พุ่งถอยไปทางด้านหลัง จุดที่ตันหลางแตะสัมผัสโดนเมื่อครู่นี้เริ่มเน่าเปื่อยลงไป กระจายกลิ่นอายแห่งความตายอย่างรุนแรงออกมา แต่ขณะที่การเน่าเปื่อยนั้นแพร่กระจายออกไป กลิ่นอายแห่งความตายก็เพิ่มมากขึ้น และพลังชีวิตของมันก็พุ่งขึ้นมาด้วยเช่นกัน

“แก่นแท้แห่งชีวิตและความตาย!!” เสวียนเต้าจื่อแผดร้องขึ้นด้วยความตกใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!