ตอนที่ 1247
พบกับเมิ่งเฉินอีกครั้ง
เมิ่งฮ่าวจากไป พร้อมกับผลประโยชน์อันหวานชื่นจากวิหารกลาง ดวงตาสาดประกายขึ้น เพ่งมองไปยังห้องที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ผีโต้งและนกแก้วพุ่งติดตามไปด้วย เดิมทีทั้งสองไม่สนใจเรื่องความร่ำรวยแม้แต่น้อย นกแก้วชอบสัตว์ที่มีขน ในขณะที่ผีโต้งชอบคนพาล
แต่หลังจากที่ติดตามเมิ่งฮ่าวเป็นเวลานาน พวกมันก็เริ่มติดนิสัยของเขามา ตอนนี้พวกมันให้ความสนใจเรื่องเงินทองมากขึ้น ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากพวกมัน การปล้นชิงก็ยิ่งมีความราบรื่นมากขึ้น
ทั้งสามคล้ายกับเป็นตั๊กแตนขณะที่พุ่งตรงไปยังห้องต่อไป เนื่องจากทั้งสามไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเวทผนึกเหมือนที่อยู่ในวิหารหลัก ทำให้สามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย
นกแก้วบินขึ้นไปยังเพดาน ผีโต้งจัดการสิ่งของจิปาถะต่างๆ สำหรับเมิ่งฮ่าว เขาคิดว่าการขุดพื้นกระเบื้องและรื้อการตกแต่งของผนังกำแพงคือความเชี่ยวชาญของตนเอง…
ในที่สุดก็ใช้เวลาเพียงแค่สิบกว่าอึดใจเท่านั้น ก่อนที่ทั้งสามจะจากไป ห้องนั้น…ว่างเปล่าไปโดยสิ้นเชิง ยังว่างเปล่ายิ่งกว่าห้องโถงหลักซะอีก
ถ้าตันหลางมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ความหวาดกลัวในตัวเมิ่งฮ่าวของมันจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
“รวย! ข้ารวยแล้วจริงๆ!” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกายขึ้น ขณะที่ไปจัดการเก็บกวาดห้องอื่นอย่างบ้าคลั่งต่อไป ไม่นานนักก่อนที่ทั้งสามจะเก็บกวาดห้องทั้งหมดไปอย่างเกลี้ยงเกลา นกแก้วและผีโต้งเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า
ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจึงให้พวกมันกลับเข้าไปในถุงสมบัติ พร้อมกับตบลงไปเบาๆ และเริ่มหัวเราะเป็นเสียงดังออกมา
จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็เตรียมตัวจะบินตรงไปค้นหาปากทางออก เวลาเดียวกันนั้นหานชิงเหลยเพิ่งจะมายังเส้นทางแถบนี้พอดี มันเพิ่งจะผ่านเข้ามาด้วยความระมัดระวังตัว ตอนแรกมันคิดว่าตนเองมาผิดที่ ซึ่งดูแตกต่างไปจากสิ่งที่มันคาดคิดไว้ แต่ขณะที่มันกำลังจะหมุนตัวเพื่อจากไป ทันใดนั้นก็ต้องอ้าปากค้างขึ้นด้วยความตกใจ ยังความว่างเปล่าที่อยู่รอบๆ ตัว และตรวจสอบดูบริเวณนั้นด้วยความละเอียดมากขึ้น
มันมองลงไปยังพื้นดิน ไม่เห็นพื้นกระเบื้องใดๆ เช่นเดียวกับภาพเขียนต่างๆ บนฝาผนัง ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะคาดคิดได้ถูกเก็บกวาดไปจนหมดสิ้น แม้แต่ไข่มุกเรืองแสงที่ด้านบนก็ถูกเก็บไป หานชิงเหลยหอบหายใจออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เกิด…เกิดอะไรขึ้น?!?! ใครทำเช่นนี้?” จริงๆ แล้วหานชิงเหลยก็ไม่ได้คุ้นเคยกับเมิ่งฮ่าวมากนัก มันรู้แต่การกระทำของเมิ่งฮ่าวตอนที่อยู่ในอาณาจักรสายลมเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมันมองไปยังภาพอันน่าตกใจที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ก็ไม่คิดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมิ่งฮ่าว
มันสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบเร่งไปยังห้องต่อไป จากนั้นสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากที่ไปอีกหลายห้อง ก็ต้องตระหนักว่าห้องทั้งหมดต่างก็ว่างเปล่า ยุ่งเหยิงไปโดยสิ้นเชิง
ที่ห่างไกลออกไปไม่มากนัก ในอีกห้องหนึ่ง เมิ่งฮ่าวสะกดข่มความตื่นเต้นที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไว้ และเตรียมจะเริ่มค้นหาทางออก เวลาเดียวกันนั้นก็คิดว่าจะหลบหนีออกไปจากพันธมิตรเทพสวรรค์ได้อย่างไร
“อย่างมากที่สุด ข้าคงจะใช้เวลาอีกไม่กี่เดือนก่อนที่จะทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรโบราณ อาณาจักรนี้เป็นแค่หินรองรับเท้าสำหรับข้าเท่านั้น มันน่าจะเป็นทางผ่านให้ข้าทะลวงเข้าไปในอาณาจักรเต๋าได้อย่างรวดเร็ว!”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งหวัง เขาใช้เวลาอยู่ในอาณาจักรเซียนนานมาก และมีความสำเร็จไกลเกินกว่าคนทั้งหมดเท่าที่เคยมีมา
เมิ่งฮ่าวได้เตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว และเชื่อมั่นว่าสามารถจุดตะเกียงวิญญาณได้มากตามที่ต้องการได้ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาไม่มั่นใจก็คือ จะมีตะเกียงวิญญาณได้มากมายเท่าใด
“อาณาจักรเต๋าคือกุญแจสำคัญของทุกสิ่งทุกอย่าง!” เมิ่งฮ่าวหายใจเข้าลึกๆ และฝังความมุ่งหวังไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
“ถ้าจำไม่ผิด หานชิงเหลยก็อยู่ในสุสานนี้ด้วย” เมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป และค้นพบหานชิงเหลยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขากำลังจะมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางนั้น ก็ต้องหยุดชะงักนิ่ง เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าตรงทางเดินที่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก มีคนผู้หนึ่งกำลังจะกลายเป็นซากศพไป
ซึ่งก็คือเมิ่งเฉิน!
“ใครบางคนจากตระกูลเมิ่ง…” เมิ่งฮ่าวกวาดผ่านใบหน้าของมันด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่ากลิ่นอายแห่งความตายจะบิดเบี้ยวไปมาอย่างน่าประหลาดใจ แต่เมิ่งฮ่าวก็บอกได้ว่าคนผู้นั้นคือบุรุษหนุ่มที่เขาเคยเห็นบนเรือของตระกูลเมิ่ง
เมิ่งฮ่าวจำได้ว่าเมื่อปรมาจารย์เฮยหุนบอกว่าเขามาจากขุนเขาทะเลที่เก้า ก็ทำให้ตนเองต้องคิดไปถึงตระกูลเมิ่ง จากนั้นก็มองไปยังสีหน้าของกลุ่มคนที่อยู่บนเรือลำนั้น
น้อยคนนักในกลุ่มพวกมันที่จะมีปฏิกิริยาใดๆ เมื่อเอ่ยถึงขุนเขาทะเลที่เก้า แต่บุรุษหนุ่มผู้นี้, เมิ่งเฉิน มีท่าทางตกตะลึง สีหน้ามันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน รวมทั้งความมุ่งหวังและวิตกกังวล ทำให้เมิ่งฮ่าวสังเกตเห็นได้ แต่ในตอนนั้นเขาถูกตามล่าอย่างดุร้าย จึงไม่มีเวลาที่จะพิจารณาถึงเรื่องนี้
แต่ตอนนี้เมื่อครุ่นคิดย้อนกลับไปแล้ว เขาก็รับรู้ได้ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเมิ่ง และตระกูลฟางแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าอย่างแน่นอน
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเลิกให้ความสนใจหานชิงเหลย แต่พุ่งตรงไปยังเมิ่งเฉินแทน เขายังใช้กระถางสายฟ้าพุ่งผ่านกำแพงบางส่วนไปอีกด้วย ไม่นานต่อมาก็ไปปรากฏกายขึ้นที่ด้านข้างเมิ่งเฉิน
แทบจะทันใดนั้น เขาก็ปะทะกับกลิ่นอายแห่งความตายที่กำลังกระจายออกมาจากร่างเมิ่งเฉินอย่างเข้มข้น พื้นดินบริเวณนั้นดูดกลืนแขนขาของมันไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังย่อยสลายร่างกายส่วนที่เหลือของมันไปอย่างช้าๆ จนถึงจุดที่เหลือแต่ใบหน้าของมันโผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น ผิวกายของมันบวมฉุและเป็นสีดำ ปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดเขียว
แต่มันก็ยังไม่ตายไป! ยังคงเหลือลมหายใจสุดท้ายอยู่!
เมิ่งฮ่าวคุกเข่าลงไปที่ด้านข้าง และวางมือลงไปบนหน้าผากของเมิ่งเฉิน หลังจากผ่านไปชั่วขณะ ใบหน้ามันก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งเฉินอยู่ในอาณาจักรเซียนเท่านั้น สุสานแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าก็ยังต้องรู้สึกหวาดกลัว และเมิ่งเฉินก็ได้รับผลกระทบมาโดยสิ้นเชิง ทำให้มันน่าจะตายไปในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ตาม มันยังคงมีกลิ่นอายของตนเองหลงเหลืออยู่เล็กน้อย เป็นพลังที่ช่วยผลักดันเจตจำนงและความไม่ยินยอมตายไปของมัน พลังนั้นได้กลายเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับเป็นพลังจากกลุ่มควันเปลวธูป ทำให้เมิ่งเฉินสามารถอยู่ได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย
แต่จากการที่มันตกอยู่ในสภาวะความเป็นตายนี้ ทำให้วิญญาณของมันยังคงกระจัดกระจายออกไป และร่างกายกำลังละลายไป
มันไม่สามารถจะผ่านเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ได้ และถ้าเมิ่งฮ่าวไม่มาในตอนนี้ มันคงจะมีเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก่อนที่กลิ่นอายสุดท้ายซึ่งมีอยู่เพียงเล็กน้อยของมันเองจะหายไปโดยสิ้นเชิง
“ความมุ่งมั่นเช่นใด ถึงทำให้คนผู้หนึ่งปฏิเสธที่จะยอมแพ้ได้เช่นนี้…?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ถอนหายใจ ปรารถนาที่จะทำบางอย่างเพื่อช่วยเหลือมัน แต่ก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วด้วยความเสียใจ ยื่นมือออกไปแตะที่หน้าผากของเมิ่งเฉิน ส่งพลังชีวิตเข้าไปเล็กน้อย ซึ่งไม่อาจจะช่วยชีวิตมันได้ แต่ช่วยให้มันแจ่มใสขึ้นเล็กน้อยเพื่อพูดถึงความปราถนาก่อนตายออกมา
เมิ่งเฉินสั่นสะท้าน และดวงตาที่ปูดโปนของมันก็ลืมขึ้นมา ไม่ได้ดูหล่อเหลาเหมือนเช่นเคย แต่พลังชีวิตของเมิ่งฮ่าวก็ประกอบไปด้วยพลังแก่นแท้ ทำให้วิญญาณที่กำลังกระจัดกระจายออกไปของเมิ่งเฉินรวมตัวกันชั่วคราว และสายตาที่เลือนรางไปก่อนหน้านี้ก็เริ่มมองเห็นได้ชัดขึ้น
โชคร้ายที่เมิ่งฮ่าวรู้ดีว่าความเจิดจ้าในดวงตาของมัน…คือประกายความแจ่มใสก่อนที่จะตกตายไป
“ถ้ามีสิ่งใดที่ต้องการจะพูด ก็บอกข้ามาได้” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
เมิ่งเฉินมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความงุนงงอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ตระหนักว่าเขาคือใคร ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งหวัง กล่าวว่า “เมิ่ง…ฮ่าว…” เป็นเรื่องยากสำหรับมันที่จะกล่าวขึ้น เมื่อทำเช่นนี้มันก็ต้องหอบหายใจออกมา “ข้า…มี…กูกู (ท่านป้า) นามว่า…เมิ่งลี่ อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า…”
คำพูดของมันกระแทกลงไปในจิตใจเมิ่งฮ่าวคล้ายกับถูกสายฟ้าฟาด และเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เขามองไปยังเมิ่งเฉินด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ถึงแม้ว่าเขาจะคาดเดาได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่เมื่อได้ยินเมิ่งเฉินกล่าวออกมาด้วยตนเอง ก็ทำให้คลื่นแห่งความตกใจกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรง
แทนที่จะบอกว่าเมิ่งฮ่าวมีความรู้สึกอย่างลึกล้ำกับตระกูลเมิ่ง น่าจะถูกต้องกว่าถ้าจะกล่าวว่า…เขารู้สึกลึกล้ำต่อสายโลหิตของท่านตา ในความคิดของตนเอง เหตุผลที่เขาต้องการไปยังตระกูลเมิ่งเป็นสถานที่แห่งแรก ก็เนื่องมาจากสายโลหิตนี้!
ญาติที่แท้จริงของเขาคือกลุ่มคนจากสายโลหิตเหล่านั้น ไม่ใช่ตระกูลเมิ่งทั่วไป!
เมิ่งฮ่าวเริ่มหอบหายใจออกมาเมื่อตระหนักว่า ผู้ฝึกตนตระกูลเมิ่งผู้นี้คือหนึ่งในญาติสายตรงกับเขาอย่างแท้จริง อีกครั้งที่เขาแตะมือไปบนหน้าผากของเมิ่งเฉิน มอบพลังแก่นแท้ให้มันมากขึ้น ครั้งนี้เมื่อรู้ว่าเมิ่งเฉินไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดาทั่วไปแห่งตระกูลเมิ่ง เขาก็ส่งพลังเข้าไปมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยชีวิตมันไว้ได้ แค่ทำให้ดวงตามันเปล่งประกายขึ้นเท่านั้น
“ท่าน…รู้จัก…กูกูข้า…?” เมิ่งเฉินถาม มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความมุ่งหวังอย่างเข้มข้น
“นางเป็นมารดาข้า” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบเสียงแผ่วเบา “ข้ามีนามว่าเมิ่งฮ่าว แต่ก็เรียกว่า ฟางเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน”
เมื่อเมิ่งเฉินได้ยินเช่นนั้น ร่างก็สั่นสะท้านขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มันรู้ว่าท่านป้าไปวิวาห์ยังขุนเขาทะเลที่เก้า และสามีของนางก็แซ่ฟาง…
“เป็นท่าน…จริงๆ…” เมิ่งเฉินยังไม่ยอมปล่อยลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา แต่ดวงตาเริ่มมืดสลัวลงไป และกลิ่นอายแห่งความตายก็ปกคลุมไปทั่วร่างมัน ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะกำลังช่วยเหลืออยู่ แต่มันก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
“ช่วยตระกูลเมิ่ง…และช่วยสายโลหิตของพวกเรา…ให้โดดเด่นขึ้น!”
“ข้าคือ…เมิ่งเฉิน และข้าก็เป็น…ผู้ฝึกตนอาณาจักรเซียนเพียงคนเดียวในสายโลหิตของพวกเรา…ช่วยพวกเรา…ให้…โดดเด่นขึ้น!” เมิ่งเฉินสั่นสะท้าน ใช้พลังทั้งหมดที่เหลืออยู่กล่าวคำว่า ‘โดดเด่นขึ้น’ หลังจากที่พูดจบ โลหิตสีดำก็ไหลซึมออกมาจากมุมปาก และดวงตาก็มืดสลัวลงไป แต่ก็ยังคงไม่ตายไป มันพยายามอดทนไว้ มองไปยังเมิ่งฮ่าว รอคอยให้เขาตอบกลับมา
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ขณะที่มองไปยังเมิ่งเฉินซึ่งเป็นญาติของตนเอง หลังจากผ่านไปชั่วขณะ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และพยักหน้าให้
เมื่อเมิ่งเฉินมองเห็นความมุ่งมั่นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว มันก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นอยู่ชั่วขณะ แต่จากแววตานั้น เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงความคิดที่แน่วแน่ของมัน ประกายตามันจางหายไป จากนั้นก็เริ่มแข็งทื่อ ดวงตาหยุดการเคลื่อนไหว เปลวไฟแห่งพลังชีวิตของมันมอดดับลง
ร่างกายของมันในตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งความตายโดยสิ้นเชิง
เมิ่งเฉินตกตายไป
ที่ด้านข้างมีถุงสมบัติวางอยู่ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ของมัน
เมิ่งฮ่าวเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็ถอนหายใจ เขาตระหนักดีว่าสายโลหิตของท่านตาอยู่ในช่วงตกต่ำ และหนึ่งในเหตุผลหลักเหล่านั้นก็คือตนเอง เช่นเดียวกับตระกูลฟาง ถ้าท่านปู่ท่านตาทั้งสองไม่ได้หายตัวไป ในขณะที่พยายามจะช่วยเหลือตนเอง สายโลหิตของท่านปู่ท่านตาก็คงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้อย่างแน่นอน
“ผู้ฝึกตนอาณาจักรเซียนเพียงคนเดียวในสายโลหิต…?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ กระทืบเท้าลงไป ทำให้กลิ่นอายแห่งความตาย และดินทรายกระจัดกระจายออกไป เผยให้เห็นซากศพของเมิ่งเฉิน และเขาก็ยกมันขึ้นมาด้วยความสุขุมรอบคอบ
“ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านเอง” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ วางร่างเมิ่งเฉินเข้าไปในถุงสมบัติด้วยความระมัดระวัง หันหลังเดินจากไปอย่างช้าๆ ขณะที่ทำเช่นนั้น รูปร่างหน้าตาของเขาก็กลายเป็น…เมิ่งเฉิน!
“ข้าจะเติมเต็มความต้องการของเจ้า ข้าจะนำกลุ่มสายโลหิต…ให้โดดเด่นขึ้นมาในตระกูลเมิ่ง!” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ค่อยๆ เดินห่างออกไปไกล