ตอนที่ 1324
คำสัญญาแห่งดาวหู่เหลา
ย้อนกลับไปในขุนเขาทะเลที่เจ็ด แววตาที่ทอดอาลัยตายอยากของกลุ่มผู้ฝึกตนก่อนหน้านี้เริ่มสาดประกายขึ้น ขณะที่ความมุ่งมั่นเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาในจิตใจ
ทันใดนั้นพวกมันก็นึกย้อนไปถึงภาพที่เมิ่งฮ่าวสังหารคนนอกคอกด้วยการโจมตีไปแค่ครั้งเดียว รวมทั้งภาพที่เขาเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้ ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนทั้งหมดต้องสั่นสะท้านขึ้นมากกว่าเดิม
จักรพรรดิเต๋า!!
สิ่งที่เมิ่งฮ่าวกระทำ และสิ่งที่เขาพูดออกมา ทำให้ผู้ฝึกตนเหล่านี้รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหน เป็นพลังการต่อสู้ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อสงครามอาณาจักรขุนเขาทะเลในครั้งนี้
มีเรื่องราวอยู่มากมายที่ผู้ฝึกตนเหล่านี้ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก และพลังอันน่ากลัวของสามสิบสามสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่พวกมันไม่ต้องการแม้แต่จะคิด พวกมันตกอยู่ในห้วงความสิ้นหวัง จนแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความหวังเพียงเล็กน้อย ก็ยังไม่อาจจะยึดจับเอาไว้ได้
แต่ในตอนนี้ความหวังกำลังลุกโชนขึ้นมาในแววตาคนทั้งหมด สำหรับพวกมันแล้ว ผู้ฝึกตนเช่นเมิ่งฮ่าวเป็นตัวแทนอันสูงสุดแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล ถ้าเขากล่าวว่าอย่าได้สูญเสียความหวังหรือความศรัทธาใดๆ คนทั้งปวงก็เชื่อถือ!
“เป็นอาณาจักรขุนเขาทะเลของพวกเราเองที่เรียกร้องสงครามนี้ ดังนั้น…นี่ไม่ใช่สามสิบสามสวรรค์มาทำสงครามกับพวกเรา แต่พวกเรากำลังทำสงครามกับ…สามสิบสามสวรรค์!”
“พวกเราจะทำลายสามสิบสามสวรรค์เหล่านั้น เพื่อให้ผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล มองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเหนือศีรษะพวกเราได้อย่างแท้จริง!”
ขณะที่เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น ประกายแสงในแววตาของผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นเริ่มเจิดจ้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่คำพูดยังคงไม่เพียงพอ ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังกลุ่มฝูงชนรอบๆ ตัว ความคิดอันบ้าคลั่งจู่ๆ ก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ
เมิ่งฮ่าวรู้ว่าสิ่งที่ตนเองเห็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในที่แห่งนี้ เมื่อขุนเขาทะเลแห่งหนึ่งเป็นเช่นนี้ ก็มั่นใจได้ว่าความสิ้นหวังเช่นเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจของผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งปวง
บางทีระดับความสิ้นหวังอาจจะแตกต่างกันออกไปจากสถานที่ที่ไม่เหมือนกัน และบางทีอาจจะมีใครบางคนสามารถสะกดข่มความสิ้นหวัง และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความต้องการสังหาร แต่บางคนก็คงจะสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว สูญเสียความต้องการต่อสู้ไป ถ้าเกิดขึ้นเช่นนั้น สงครามนี้…ก็คงจะสิ้นหวังอย่างแท้จริง
ขณะที่เมิ่งฮ่าวตระหนักว่าสงครามในครั้งนี้ยุ่งยากมากเพียงใด จู่ๆ เขาก็เข้าใจถึงความจริงที่เรียบง่ายอย่างหนึ่ง สงคราม…ต้องการผู้กล้า แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ไม่จำเป็น!
เหตุผลที่จำเป็นต้องมีผู้กล้า ก็เพราะว่าจะช่วยสร้างความฮึกเหิมให้กับคนทั้งหมด!
เช่นเดียวกับที่ไม่จำเป็นต้องมีผู้กล้าก็เนื่องมาจากว่า…เพียงแค่คนเดียวไม่อาจจะช่วยให้ชนะในสงครามได้ แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจิ่วเฟิงจื้อจุนก็จะกลายเป็น…อาณาจักรคงอยู่แต่ขุนเขาและสายน้ำมอดมลาย
สงครามต้องการความสามัคคีกลมเกลียว ผู้คนต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน!
ความหมายเพียงอย่างเดียวของการเป็นหนึ่งเดียวกันก็คือ ผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลต้องลุกฮือขึ้นมา ด้วยจิตวิญญาณที่ฮึกเหิมเท่านั้น…ถึงจะต่อสู้กลับไปด้วยความได้เปรียบ ยินยอมที่จะต่อสู้จนตัวตายกับสามสิบสามสวรรค์
“ยังมีบางสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำ…” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา ปกติแล้วเขาจะไม่คิดว่าตนเองคือราชันแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล นั่นเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่ตอนนี้
“บางทีนั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ถ้าไม่มีอนาคต…ก็จะไม่มีราชันแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเปล่งประกายขณะที่มองผ่านท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นแรก ความคิดบ้าคลั่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้กำลังเริ่มรุนแรงมากขึ้น เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจที่จะให้ความคิดนั้นแทรกซึมเข้ามาอยู่ชั่วขณะ
ด้วยเช่นนั้น เขาจึงหมุนตัวและมุ่งหน้าข้ามดาวหู่เหลาไปพร้อมกับอวี่เหวินเจียน
ที่ด้านหลังดูเหมือนว่าจิตวิญญาณของเหล่าผู้ฝึกตนจะฮึกเหิมขึ้นมา ขณะที่พวกมันมองดูเมิ่งฮ่าวพุ่งจากไป เปลวไฟเริ่มลุกโชนขึ้นมาในจิตใจและเผาไหม้ขึ้นอย่างมั่นคง
พอจะคาดคิดได้ว่าเมื่อเปลวไฟเหล่านั้นแพร่กระจายออกไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล เปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมาในจิตใจของผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะส่องสว่างจ้าไปทั่วทั้งอาณาจักรขุนเขาทะเล จนในที่สุดก็สามารถจะเผาไหม้ไปได้ทั้งตนเองและศัตรู!
รอยแตกร้าวปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นผิวของดาวหู่เหลา…พื้นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยรอยแตกแยก ซึ่งมีแต่จะกว้างมากขึ้นตามช่วงเวลาที่ผ่านไป ในตอนนี้ดูเหมือนว่าดาวดวงนี้แทบจะพังทลายลงไปได้ทุกเมื่อ
เห็นได้ชัดว่าสงครามในอาณาจักรขุนเขาทะเล ได้มุ่งเน้นมายังขุนเขาทะเลที่หกและเจ็ด เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ดาวหู่เหลา ดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร
นอกจากนี้โทสะที่เขามีต่อไป๋จู่ก็ยังคงไม่จางหายไป ถึงแม้ว่าจะสังหารมันไปแล้วก็ตามที
“ตอนนี้เมื่อคิดไปแล้ว ก็น่าจะมีผู้ทรยศอีกหนึ่งคนอยู่ในท่ามกลางราชันขุนเขาทะเล” เมิ่งฮ่าวคิด จิตใจเต็มไปด้วยความเย็นชาราวน้ำแข็ง มองออกไปยังที่ห่างไกลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็หันหน้าไปยังอวี่เหวินเจียน
“พี่อวี่เหวิน ตอนที่อยู่ในอาณาจักรสายลม ท่านเคยพูดว่าขุนเขาทะเลที่เจ็ดมี…โลหิตเทพ?” ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะคิดว่าแค่ผ่านทางมาเท่านั้น แต่ก็ยังมีสิ่งที่สำคัญสำหรับตนเองอยู่ในที่แห่งนี้
โลหิตเทพคือสิ่งสำคัญที่ใช้สำหรับการทะลวงผ่านของกายเนื้อ หลังจากที่ทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้กายเนื้อของเมิ่งฮ่าวกลายเป็นเครื่องถ่วงไปอย่างแท้จริง ถ้าเขาสามารถจะทำให้มันทะลวงผ่านไปได้ จากพื้นฐานที่ตนเองสร้างขึ้นมา ก็จะพบเจอกับการพุ่งขึ้นไปอย่างน่าเหลือเชื่อ และกายเนื้อก็จะบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเต๋าได้ในทันที
เมื่อถึงตอนนั้น จากระดับพื้นฐานฝึกตนและสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันน่ากลัวของตนเอง เขาก็จะมีพลังของ…จักรพรรดิเต๋าได้อย่างแท้จริง!
หลังจากที่ได้ครอบครองเวทตราบนิรันดร์ชิงตี้จากไป๋จู่
อาณาจักรความเป็นนิรันดร์ของเมิ่งฮ่าวก็ก้าวหน้าขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็สามารถจะบอกได้ว่ากายเนื้อของตนเอง จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้ ก่อนที่จะมีความเชื่อมั่นในการไปเผชิญหน้ากับความทุกข์จากเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสองในเจ็ดอารมณ์ของการดับตะเกียงวิญญาณแห่งอาณาจักรโบราณ
ความคิดบ้าคลั่งนั้นจะทำให้เมิ่งฮ่าวได้ครอบครองพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับระดับจักรพรรดิเต๋าได้อย่างแท้จริง ซึ่งตนเองมีความเชื่อมั่นว่าสามารถจะทำให้ความคิดนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้
“มีแน่นอน!”
“อยู่ในหุบเขาสุสานเทพ แต่ตอนนี้มันถูกครอบครองโดยกลุ่มคนนอกคอก…” อวี่เหวินเจียนมองไปยังเมิ่งฮ่าว กล่าวตอบขึ้นมาในทันที
“พี่เมิ่ง ถ้าท่านต้องการไป ข้าก็ยินดีจะนำทาง!” ดวงตาอวี่เหวินเจียนสาดประกายเจิดจ้าขึ้น
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสางอยู่บนดาวดวงนี้ พี่อวี่เหวิน เมิ่งโหม่วขอล่วงหน้าไปก่อน” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยน จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและหายตัวไปในทันที
อวี่เหวินเจียนลอยตัวอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ ดวงตาลุกโชนขึ้นด้วยความต้องการต่อสู้
“พวกเราต่างก็อยู่ในลำดับขั้น แต่เมิ่งฮ่าวก็บรรลุถึงจุดที่คนทั้งหมดต้องมองขึ้นไป และข้า…ก็ยังไม่ผ่านเข้าไปในอาณาจักรโบราณ ไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้จะเกิดขึ้นนานแค่ไหน ข้าต้องก้าวเข้าไปในอาณาจักรเต๋าให้จงได้!” ดวงตาอวี่เหวินเจียนสาดประกายขึ้นด้วยแสงแห่งความมุ่งมั่น
ขณะที่เมิ่งฮ่าวบินอยู่เหนือดินแดนแห่งดาวหู่เหลา ก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายกำลังแผ่กระจายออกมาจากภายในร่าง มาจากซอกหลืบที่ลึกล้ำของพื้นฐานฝึกตน ซึ่งมีสิ่งที่เป็นเหมือนกับไข่มุกสีขาวตั้งอยู่!
“ดาวหู่เหลา โฉ่วเหมินไถ…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ
เขาไม่เคยลืมเรื่องของซากศพเซียนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า
ตอนที่ตนเองยังอยู่บนดาวหนานเทียน เซียนผู้นั้นก็คือโฉ่วเหมินไถ และคนทั้งสองก็มีข้อตกลงร่วมกันว่า เมิ่งฮ่าวจะนำมรดกของมันมายังดาวหู่เหลา
ในตอนนั้นสิ่งที่โฉ่วเหมินไถมอบให้กับเมิ่งฮ่าว เป็นเหมือนกับของวิเศษอันล้ำค่า แต่ตอนนี้มันค่อนข้างจะไร้ความหมายใดๆ แต่โฉ่วเหมินไถก็เคยบอกว่า ถ้าเมิ่งฮ่าวนำมรดกมายังบ้านของมันบนดาวหู่เหลา เขาก็จะได้ครอบครองโชควาสนาบางอย่าง
แน่นอนว่าเมิ่งฮ่าวไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนัก นอกจากนั้นก็ยังมีโชควาสนาน้อยมากที่จะช่วยเขาได้ในตอนนี้ จากระดับพื้นฐานฝึกตนของโฉ่วเหมินไถในตอนนั้น ก็ไม่มีอะไรที่มันจะมอบให้กับเมิ่งฮ่าว แล้วเขาสามารถนำไปใช้ได้ในตอนนี้
ที่เมิ่งฮ่าวมา ไม่ใช่เนื่องจากโชควาสนาใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ต้องการรักษาสัญญาเท่านั้น
เมิ่งฮ่าวเดินทางไปอย่างเงียบๆ รู้สึกได้ว่าไข่มุกสีขาวกำลังหมุนวนไปมาอยู่ภายในร่าง ไม่นานนักก็ปรากฏเป็นภูเขาลูกหนึ่งขึ้นที่เบื้องหน้า…
เป็นภูเขาที่แตกร้าวและพังทลายลงไป แต่ก็ยังไม่แตกกระจายไปจนหมดสิ้น เมื่อเมิ่งฮ่าวใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนกวาดออกไป ก็พบกับถ้ำแห่งเซียนที่ถูกทิ้งให้รกร้างมานานแล้ว ภายในถ้ำแห่งนั้นเต็มไปด้วยชั้นฝุ่นที่เกาะตัวกันอย่างหนาแน่น แต่ลึกเข้าไปในซอกหลืบของมันเป็นค่ายกลเวทแห่งหนึ่ง ตรงจุดศูนย์กลางของค่ายกลเวทมีแท่งหยกสีดำขนาดเล็กเท่าฝ่ามืออยู่ชิ้นหนึ่ง ตรงด้านบนของแท่งหยกมีหลุมเท่าไข่มุกอยู่หลุมหนึ่ง
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ ตรงหน้าอกก็เปล่งประกายแสงขึ้น ขณะที่มรดกรูปร่างไข่มุกซึ่งโฉ่วเหมินไถมอบให้เขามาเมื่อปีนั้น จู่ๆ ก็ลอยออกมา
มันเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ลอยผ่านรอยแตกของภูเขาไป ผ่านเข้าไปในถ้ำแห่งเซียน ลอยต่ำลงไปยังค่ายกลเวท และไปตั้งอยู่บนแท่นหยกสีดำนั้น
เมิ่งฮ่าวไม่ได้ติดตามไข่มุกสีขาวเข้าไป แต่ลอยตัวอยู่ด้านนอกภูเขา เฝ้ามองเข้าไป ไม่นานต่อมาก็ต้องอ้าปากค้างขึ้น
“นี่…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ขณะที่เดินตรงไปข้างหน้า และจากนั้นก็ไปปรากฏกายขึ้นที่ด้านในภูเขาอย่างฉับพลัน ตอนที่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนกวาดออกไป เขามั่นใจว่าไม่มีอะไรที่ผิดปกติใดๆ จากระดับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีอะไรที่จะปกปิดตนเองได้ ก่อนหน้านี้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้เปิดเผยให้เห็นว่าค่ายกลเวทกำลังกระจายคลื่นความผันผวนออกมา ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่ากำลังค้นหาทายาทที่เหมาะสมสำหรับส่งมอบมรดกออกไป
แต่ตอนนี้หลังจากไข่มุกจมลงไปยังหลุมนั้น ค่ายกลเวทก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที แทนที่จะเตรียมการส่งมอบมรดก มันกลับกำลัง…เรียกหาบางสิ่งบางอย่างอยู่!?
เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ที่ด้านนอกของค่ายกลเวท ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง ขณะที่ศึกษาค่ายกลเวทนี้ ก็รู้สึกได้ถึงพลังแห่งการร้องเรียก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สนใจสามสิบสามสวรรค์ตรงด้านบนโดยสิ้นเชิง แต่กลับยืดยาวออกไปยังสถานที่บางแห่ง
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวพบเห็นค่ายกลเวทเช่นนี้ และเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกันที่เขามองเห็นสิ่งที่สามารถจะพุ่งทะลวงผ่านผนึกของสามสิบสามสวรรค์ออกไปได้
เพราะว่ามรดกรูปร่างไข่มุกนี้เคยส่งมอบพลังให้กับเมิ่งฮ่าวมานานหลายปี มันจึงประกอบไปด้วยกลิ่นอายของเขาบ้างเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายเล็กน้อยนั้นก็กลายเป็นพลังร้องเรียกที่แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่อาจจะเข้าใจได้
“นี่ไม่ใช่มรดก…โฉ่วเหมินไถ เจ้าเป็นใครกันแน่?!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายขึ้น และแค่นเสียงเย็นชาออกไป ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น แต่จากระดับพื้นฐานฝึกตนของเขาแล้ว ก็สามารถจะทำลายค่ายกลเวทนี้ได้อย่างง่ายดาย มันอาจจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคำสาบานก่อนหน้านี้ของตนเอง แต่จากสถานการณ์ของอาณาจักรขุนเขาทะเลในตอนนี้ เขาจะไม่ยอมให้เกิดอันตรายที่ไม่คาดคิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
เมิ่งฮ่าวมายังที่แห่งนี้ก็เนื่องมาจากคำสัญญา เพื่อตอบแทนโชควาสนาที่โฉ่วเหมินไถเคยมอบให้ แต่ตอนนี้ใบหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้น เขายอมที่จะผิดคำสาบานและก่อกรรมขึ้นมา ดีกว่าที่จะยอมให้ค่ายกลเวทนี้ สร้างความเสียหายใดๆ แก่อาณาจักรขุนเขาทะเล!
เมิ่งฮ่าวยกมือขึ้นมา ทำให้พลังอันมหาศาลก่อตัวขึ้น กำลังจะฟาดลงไปบนค่ายกลเวทนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงพูดขึ้นมาอยู่ในจิตใจ
เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนขอร้อง มันคือ…โฉ่วเหมินไถ
“ขอให้ข้ามีความหวังบ้างเล็กน้อย…ข้าไม่มีเจตนาจะทำร้ายท่านหรืออาณาจักรขุนเขาทะเล ได้โปรด…ให้ข้ามีความหวังเหลืออยู่บ้าง…”
“บุคคลที่ข้าต้องการชุบชีวิต…คือจู่เหริน (เจ้านาย) ของข้าเอง…”
“ในตอนนั้น ท่านส่งข้าให้เข้าไปสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ข้าได้พบเจอกับเรื่องราวมากมายหลายอย่าง ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาและจำได้ว่าบ้านเกิดอยู่ที่ไหน ตนเองเป็นใคร รู้ว่าจู่เหริน…ดับวิญญาณเปลวไฟของตนเองไปแล้ว”
“ข้าต้องการฟื้นคืนชีพจู่เหริน นั่นคือเป้าหมายเพียงอย่างเดียวในชีวิตนี้ ได้โปรดช่วยข้าด้วย…ถ้าท่านยอมช่วย…ข้าก็จะช่วยท่านในสงครามขุนเขาทะเลนี้!!”
คำพูดของโฉ่วเหมินไถไม่ได้ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกสงสารแม้แต่น้อย เขาส่งพลังจากพื้นฐานฝึกตนออกไป และค่ายกลเวทก็เริ่มเกิดเป็นเสียงแตกร้าวออกมา ขณะที่เสียงร้องเรียกนั้นหยุดชะงักไป อย่างไรก็ตามในตอนนี้เองที่โฉ่วเหมินไถพูดขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องหยุดชะงักนิ่งไปในทันที
“ข้า, โฉ่วเหมินไถขอรับรองด้วยชีวิตของตนเองว่า ถ้าท่านรักษาค่ายกลเวทนี้ไว้ ข้าจะอุทิศชีวิตให้กับสงครามขุนเขาทะเล!”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง ถามขึ้นว่า “เจ้าจะช่วยอย่างไร?”
เมื่อโฉ่วเหมินไถกล่าวตอบ เสียงของมันก็พลุ่งพล่านขึ้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างบ้าคลั่ง “ข้าสามารถช่วยท่าน…ผนึกผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ และทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดของท่านได้!”