ตอนที่ 1328
หุบเขาสุสานเทพ
อวี่เหวินเจียนมองไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยความงุนงง จ้องมองไปยังจุดที่คนนอกคอกทั้งสามเพิ่งจะตกตายไป มองไปยังกลุ่มคนนอกคอกอื่นๆ ซึ่งกำลังหลบหนีจากไปในทั่วทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็มองกลับไปยังเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าบึ้งตึง ขณะที่มองดูกลุ่มคนนอกคอกกำลังหลบหนีออกไป จากนั้นก็เดินตรงไปยังแท่นบูชา
อวี่เหวินเจียนลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวว่า “อันที่จริงถ้าพวกเรายอมเสียเวลาสักเล็กน้อย ก็สามารถจะสังหารกลุ่มคนนอกคอกที่กำลังหลบหนีจากไปได้อย่างน้อยก็สามในสิบส่วน”
เมิ่งฮ่าวหันหน้ามาและตอบว่า “สังหารผู้คนไม่มีประสิทธิภาพเท่าสังหารจิตใจ! จุดสำคัญของการทำสงคราม ไม่ใช่แค่ได้รับชัยชนะในสนามรบเท่านั้น แต่อยู่ภายในจิตวิญญาณ…”
“พวกมันสูญเสียความกล้าหาญไปแล้ว เพราะว่าข้าบดขยี้จิตใจพวกมันไป ถ้าไร้ความฮึกเหิม กลุ่มคนนอกคอกเหล่านี้ก็จะกลายเป็นหินรองรับเท้า เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเล”
อวี่เหวินเจียนรู้สึกนับถือเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงแสดงความคิดเห็นออกมา “ชัยชนะแค่ครั้งเดียว หรือการแสดงออกที่น่าประทับใจของผู้แข็งแกร่งเพียงคนเดียว…อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้”
“ท่านพูดถูกแล้ว และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมข้าถึงต้องเข้าไปในหุบเขาสุสานเทพให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อครอบครองโลหิตเทพ” เมิ่งฮ่าวเหยียบลงไปบนแท่นบูชา มองขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และดินแดนอันกว้างใหญ่ที่อยู่ด้านบนซึ่งก็คือสวรรค์ชั้นแรก
ในตอนนั้นเอง ที่ประกายแสงแห่งความบ้าคลั่งก็แวบขึ้นมาในแววตาเมิ่งฮ่าว
“ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ากลุ่มคนนอกคอกจากสวรรค์ชั้นแรกมองขึ้นไป และเห็นว่าดินแดนอันกว้างใหญ่ของพวกมันแตกกระจายกลายเป็นเสี่ยงๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า ท่านคิดว่าจิตใจอันฮึกเหิม และความกล้าหาญของพวกมัน…จะยังคงมีอยู่อย่างครบถ้วนหรือไม่?” คำพูดของเมิ่งฮ่าวกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ความหมายที่แอบซ่อนอยู่นั้นก็น่าประหลาดใจจนทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือน!
อวี่เหวินเจียนอ้าปากค้าง “ท่าน…” รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกฟาดด้วยสายฟ้า จนยากที่จะพูดจาออกมาได้
เมิ่งฮ่าวหลับตาลง “จุดสำคัญของการทำสงครามก็คือ…ทำลายความฮึกเหิมของศัตรู! สำหรับกลุ่มคนนอกคอกเหล่านั้น สวรรค์ชั้นแรกคือบ้านและจิตวิญญาณของพวกมัน…” ด้วยเช่นนั้นเขาก็หายตัวเข้าไปในแท่นบูชา
อวี่เหวินเจียนกำลังสั่นสะท้าน ไม่ใช่มาจากความหวาดกลัว แต่มาจากความตื่นเต้นและมุ่งหวัง คำพูดของเมิ่งฮ่าวดังก้องอยู่ในจิตใจ และสามารถจะคาดคิดได้ว่าถ้าตนเองกำลังต่อสู้กับกลุ่มคนนอกคอกจะเป็นอย่างไร เมื่อมองขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นแรก ที่จู่ๆ ก็แตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ล่วงตกลงมาจากท้องฟ้า สำหรับมันแล้ว ต้องเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
แต่ในทางกลับกัน กลุ่มคนนอกคอกคงจะรู้สึกว่ามันคือ…มหันตภัยอันร้ายแรง!
หุบเขาสุสานเทพ!
จริงๆ แล้วก็คือเศษชิ้นส่วนที่แตกกระจายไปของสนามรบโบราณ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ในที่แห่งนี้ แม้แต่เจตจำนงแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลก็ยังไม่อาจจะตรวจจับมันได้ ราวกับว่าสิ่งเดียวที่คงอยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็คือ เจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่กระจายออกไปทั่ว
แทบจะในทันทีที่เมิ่งฮ่าวผ่านเข้ามาในโลกแห่งนี้ ก็ได้ยินเสียงนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ในหูราวกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำราม
“สู้!!”
มันเป็นเสียงที่ไม่ใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเสียงของโลกแห่งนี้เอง และเจตจำนงแห่งการต่อสู้อันทรงพลังก็ยังคงอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน
คล้ายกับเป็นวิญญาณอมตะที่แหงนหน้าขึ้นและกู่ร้องออกมา เต็มไปด้วยความต้องการสังหารไปตลอดทางจนถึงสวรรค์ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และดินแดนทั้งปวง
ถ้าเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวไม่แข็งแกร่งเหมือนเช่นตอนนี้ ซึ่งเทียบเท่ากับแปดในสิบส่วนของผู้ยิ่งใหญ่ เจตจำนงแห่งการต่อสู้นั้นคงกระตุ้นให้เขาโจมตีออกไปในทันที แต่ตอนนี้มันแค่มีผลกระทบกับเมิ่งฮ่าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในทันทีที่อวี่เหวินเจียนปรากฏกายขึ้น ก็เริ่มสั่นสะท้านและใบหน้าก็ซีดขาวจนไร้สีเลือด เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดมือออกไป และอวี่เหวินเจียนก็กลับคืนเป็นปกติเหมือนเดิม หลังจากที่มองไปรอบๆ มันก็หันหน้าไปยังเมิ่งฮ่าว
“พี่เมิ่ง ข้าจะจัดการด้วยตนเอง!” จากนั้นก็ประสานมือและพุ่งห่างออกไปไกล ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่นและความคาดหวัง เมิ่งฮ่าวมองดูอวี่เหวินเจียนออกไปจากบริเวณที่ตนเองสร้างเป็นเกราะป้องกันขึ้นมา รับรู้ได้ถึงความยากลำบากที่มันต้องพบเจอ และความปรารถนาอย่างบ้าคลั่งภายในจิตวิญญาณของมันด้วยเช่นกัน จนทำให้มันพุ่งห่างออกไปไกลได้เช่นนั้น เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ
อวี่เหวินเจียนต้องเดินไปตามวิถีทางของมัน เมิ่งฮ่าวเข้าใจดี และจะไม่สอดมือเข้าไปก้าวก่าย เขาหันหน้ามองออกไปยังที่ห่างไกล
พื้นดินในที่แห่งนี้เป็นสีดำ ระเกะระกะไปด้วยซากศพนับไม่ถ้วน
บ้างก็กลายเป็นหินไปแล้ว บ้างก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการเน่าเปื่อย อันที่จริงยิ่งเข้าไปลึกในหุบเขามากเท่าใด ก็ดูเหมือนว่าการเน่าเปื่อยจะเกิดขึ้นช้าลงมากเท่านั้น หุบเขาสุสานเทพเป็นรูปวงแหวน โดยที่อาณาเขตทางด้านนอกจะมีความปลอดภัยมากกว่า และจะยิ่งอันตรายมากขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางของมัน
ถ้าเป็นเช่นนั้นทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่เสียงฟ้าร้องคำรามก็ดังก้องอยู่ในอากาศตรงด้านบน และสายฟ้านับไม่ถ้วนก็ฟาดลงมา คล้ายกับเป็นพิรุณแห่งสายฟ้า แต่สิ่งที่ดังก้องมากที่สุดอยู่ในหูของเมิ่งฮ่าวไม่ใช่เสียงฟ้าร้องคำราม แต่เป็นเสียงร้องตะโกนต่อสู้อยู่ในสนามรบ!
สถานที่แห่งนี้คล้ายกับเป็นทะเลแห่งสายฟ้าที่ทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องแตกกระจายไป ภายในนั้นมองเห็นเงาร่างมากมายกำลังต่อสู้กันอยู่ โดยปกติแล้วพิรุณสายฟ้าที่ฟาดลงมา มักจะทำลายทุกสรรพสิ่งที่อยู่ด้านล่าง แต่ในกรณีนี้สายฟ้าไม่มีผลกระทบต่อการต่อสู้เหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่ความรุนแรงของการต่อสู้กลับก่อให้เกิดเป็นหายนะต่อสวรรค์และปฐพีทั้งปวง
ตรงที่แห่งหนึ่งเมิ่งฮ่าวมองเห็นยักษ์ขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสายฟ้า ร่างกายเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าที่เต้นไปมานับไม่ถ้วน ก้าวเดินตรงไปต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น
ที่ห่างไกลออกไป เขามองเห็นรถศึกลอยไปมา ขณะที่สายฟ้าฟาดลงมา ก็ทะลุผ่านรถศึกไป รถศึกเหล่านั้นพุ่งผ่านแผ่นผืนของสายฟ้าไปราวกับว่าพวกมันไม่ได้คงอยู่ที่นั่น
มีผู้ฝึกตนด้วยเช่นกัน กำลังต่อสู้กันไปมาด้วยวิชาเวท เกิดเป็นเสียงที่กลายเป็นเสียงร้องตะโกนให้ต่อสู้ จนทำให้ทุกสรรพสิ่งต้องสั่นสะเทือนไปมา
บนพื้นดินมองเห็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่ยาวนับพันจ้าง รวมทั้งผู้ฝึกตนที่สวมใส่ชุดโบราณที่หยาบกระด้าง ยังมีภูเขาและแม่น้ำด้วยเช่นกัน
ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พุ่งขึ้นมา พังทลายลงไป และเปลี่ยนเส้นทางการไหลในทุกช่วงเวลาที่ผ่านไป
ที่น่าวิตกมากที่สุดก็คือภาพลวงตาของเมืองมากมาย ที่โผล่ขึ้นมาและหายไป ช่างเป็นภาพที่ทำให้จิตใจต้องตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดก็คือ ตรงจุดศูนย์กลางของหุบเขา หลังจากที่เมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้แล้ว ก็มองเห็นว่าในที่แห่งนั้น…มีภูเขาอยู่สองลูก!
ในความเป็นจริงแล้วพวกมันไม่ใช่ภูเขาที่แท้จริง แต่เป็นยักษ์! ซึ่งมีความสูงถึงหนึ่งแสนจ้าง มีผิวหนังที่หยาบหนาปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์เวทอันซับซ้อน ที่เด่นชัดมากที่สุดก็คือดวงดาวที่มองเห็นได้บนหน้าผากของพวกมัน
ดวงดาวเหล่านั้นเป็นสีเทา ราวกับว่าพวกมันสูญเสียพลังชีวิตไปจนหมดสิ้นแล้ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ยักษ์ทั้งสองตนนี้ก็ยังไม่เน่าเปื่อยสลายไป กลับกลายเป็นภูเขาแทน
เห็นได้ชัดว่ามีการใช้วิชาเวทบางอย่างไปบนร่างพวกมัน ทำให้จมลงไปในพื้นดินจนเหลือเพียงแค่บางส่วนของขนาดที่แท้จริงเท่านั้น
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นยักษ์ทั้งสอง และส่วนที่เหลือของโลกแห่งนี้ เขาก็ย้อนคิดกลับไปยังเศษซากเซียนซึ่งอยู่ในขุนเขาที่เก้าในทันที คิดไปถึงต้นไม้ยักษ์ที่เคยเห็น…และดินแดนอันกว้างใหญ่ตรงด้านล่างต้นไม้นั้น…ซึ่งก็คือซากศพของยักษ์!
ความรู้สึกที่เมิ่งฮ่าวได้รับมาจากกลิ่นอายของซากศพนั้น เหมือนกับความรู้สึกที่ได้รับมาจากยักษ์ทั้งสองนี้ สิ่งที่แตกต่างกันมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือขนาดของพวกมัน
“นี่คือ…เทพ?” เมิ่งฮ่าวขยับร่างเคลื่อนไหว ผ่านเข้าไปในโลกแห่งสายฟ้า เดินไปตามปกติด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทุกย่างก้าวที่เดินไป สายฟ้านับไม่ถ้วนกระแทกลงมา แต่ก็ไม่อาจจะสัมผัสโดนตัวได้แม้แต่น้อย
ภาพลวงตาของรถศึกพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความต้องการต่อสู้อย่างรุนแรง แต่เขาก็ไม่หลบเลี่ยง ปล่อยให้พวกมันเข้ามา และจากนั้นก็พุ่งผ่านร่างเขาไป
ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ ก็มองเห็นสัตว์อสูรอันน่าตกใจกำลังแผดร้องคำราม ยักษ์ต่อยหมัดออกมา รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
เมิ่งฮ่าวมองเห็นซากศพอยู่ใต้เท้า ตอนแรกซากศพส่วนใหญ่กลายเป็นก้อนศิลาไปแล้ว แต่จากนั้นซากศพที่กำลังเน่าเปื่อยก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นร่างกายที่มีโลหิตหลั่งใหลอยู่เต็มไปหมด
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เดินผ่านออกไปจากเขตด้านนอกของหุบเขาสุสานเทพ เดินเข้าไปสู่จุดศูนย์กลาง ภาพลวงตาในที่แห่งนั้นไม่มีผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย
แม้แต่แรงกดดันที่ระเบิดออกมา ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกแค่ว่า เป็นสายลมที่เย็นสบายพัดผ่านมาเท่านั้น
เขามักจะหยุดเป็นระยะ เพื่อสังเกตดูภาพลวงตาที่กำลังต่อสู้กันอยู่รอบๆ ตัว แววตาเมิ่งฮ่าวมักจะแวบประกายขึ้นตลอดเวลา ราวกับว่าได้รับความรู้แจ้งใหม่ๆ ขึ้นมา หลังจากที่ผ่านไปสองสามวัน เมิ่งฮ่าวก็ไปอยู่ตรงอาณาเขตจุดศูนย์กลางของหุบเขาสุสานเทพ ที่ซึ่งเขามองเห็นซากศพขนาดใหญ่โตนั้น
ถึงแม้ว่าร่างพวกมันจะถูกฝังอยู่ในพื้นดินใต้เท้าเมิ่งฮ่าว แต่ทั่วทั้งบริเวณนั้นก็มีสายฟ้าฟาดลงมาเป็นจำนวนมาก จนทำให้มองเห็นผิวกายบางส่วนของมันได้ มันเป็นยักษ์ที่มีความสูงอย่างน้อยก็หนึ่งหมื่นจ้าง
เมิ่งฮ่าวคุกเข่าลง ใช้ฝ่ามือกระแทกลงไปบนพื้น เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น ทำให้ดินในบริเวณนั้นแตกกระจายออกไป เผยให้เห็นถึงซากศพขนาดใหญ่มหึมา
เขาวางมือขวาลงไปบนศีรษะยักษ์ ในชั่วพริบตาใบหน้ายักษ์ก็กลายเป็นสีแดงเข้ม ไม่นานต่อมา ก็กลายเป็นสีขาวซีด ขณะที่หยดโลหิตไหลออกมาจากหน้าผากของมัน เข้าไปสู่มือของเมิ่งฮ่าว
เขามองไปยังหยดโลหิตสีทองอย่างครุ่นคิด
ในที่สุดก็ส่ายหน้าและกล่าวว่า “มีสิ่งเจือปนมากไป ไม่ใช่โลหิตบริสุทธิ์” ด้วยเช่นนั้นเมิ่งฮ่าวก็เก็บหยดโลหิตสีทองไว้ และเดินต่อไป ในที่สุดก็บรรลุถึงจุดศูนย์กลางของหุบเขาสุสานเทพ สถานที่แห่งนี้ถูกถือว่าเป็นเขตหวงห้ามสำหรับผู้ฝึกตน เป็นสถานที่ซึ่งน้อยคนนักจะสามารถผ่านเข้าไปได้
ผ่านไปเจ็ดวัน ตลอดช่วงเวลานั้นเมิ่งฮ่าวเดินทางไปมากมายหลายแห่งอยู่ภายในหุบเขาสุสานเทพ ค้นหาทั้งที่สูงและที่ต่ำจนกระทั่งรวบรวมหยดโลหิตที่ไม่บริสุทธิ์ได้ครบหนึ่งร้อยหยด
เขายังได้ตรวจสอบหยดโลหิตที่มีคุณภาพสูง ซึ่งได้มาจากซากศพยักษ์ขนาดใหญ่ทั้งสองนั้นอีกด้วย แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เมิ่งฮ่าวสามารถทะลวงผ่านไปจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
อีกด้านหนึ่ง อวี่เหวินเจียนได้พบกับโชควาสนาของตัวเอง และกายเนื้อของมันกำลังพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำดินอยู่ในตอนนี้
เมิ่งฮ่าวทำการค้นหานานขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่พบโลหิตเทพเพิ่มขึ้นอีก ทำให้สีหน้าต้องหมองคล้ำลง และรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แต่เวลาเดียวกันนั้นก็รู้สึกสงสัยอยู่ด้วยเช่นกัน
“ข้าไม่เชื่อว่ากลุ่มคนนอกคอกจะปิดล้อมหุบเขาสุสานเทพไว้อย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่ส่งกองกำลังใดๆ ของพวกมันเข้ามาด้านใน ต้องมีคนนอกคอกในที่แห่งนี้ โดยมีกลุ่มคนอยู่ด้านนอกคอยทำตัวเป็นผู้พิทักษ์เต๋า”
“ถ้าเช่นนั้น พวกมันไปอยู่ที่ไหนกัน?” เมิ่งฮ่าวขยับตัวเคลื่อนไหว บินขึ้นไปในอากาศจนกระทั่งบรรลุถึงระดับความสูงที่สามารถจะมองลงไปเห็นพื้นดินทั้งหมดที่อยู่ด้านล่าง
สิ่งที่มองเห็นนั้นทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องสั่นสะท้าน และแสงแปลกๆ ก็สาดประกายขึ้นในแววตา สิ่งที่เขาเห็นก็คือว่าดินแดนที่ประกอบเป็นหุบเขาสุสานเทพนี้ จริงๆ แล้วก็มีขนาดเท่ากับยักษ์ที่ส่วนหลังของมันมีต้นไม้ขนาดใหญ่เติบโตขึ้นมา ในเศษซากเซียนที่อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า
อันที่จริงหุบเขาสุสานเทพยังกว้างใหญ่กว่านั้นอีกเล็กน้อย…
แต่สิ่งที่ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกตกตะลึงมากที่สุดก็คือ รูปร่างของดินแดนแห่งนี้…ดูเหมือนกับใบหน้าของมนุษย์!
ภูเขาที่สูงมากที่สุดนั้นคือส่วนจมูกของใบหน้านั้น และตรงส่วนของหุบเขาที่ลึกมากที่สุดก็ก่อตัวขึ้นมาจากปาก!
ยิ่งไปกว่านั้นตรงตำแหน่งหน้าผากของมัน มองเห็นดวงดาวอยู่แปดดวงที่กำลังเรืองแสงอย่างเลือนลางเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงส่องประกายขึ้นมา! ดาวแต่ละดวงเหล่านั้นกำลังกระจายเป็นความผันผวนออกมา ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสั่นสะท้าน
“พบแล้ว!” เมิ่งฮ่าวร้องอุทานขึ้นด้วยแววตาที่สาดประกายเจิดจ้า