ตอนที่ 1364
อสูรและเซียน
สงครามแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง แต่ดวงตะวันก็ขาดเมิ่งฮ่าวไป ดังนั้นไห่เมิ่งจื้อจุนจึงเตรียมการให้ราชันแห่งขุนเขาทะเลที่แปด ซึ่งเป็นไว่กงเมิ่งฮ่าวไปดูแลเป็นการชั่วคราว ผู้ฝึกตนหนึ่งแสนคนถูกเสริมเข้ามาจนเต็ม ภายใต้การควบคุมของไว่กงเมิ่งฮ่าว ดวงตะวันเริ่มกลายเป็นภัยคุกคามและอาวุธที่ทรงพลังขึ้นมาอีกครั้ง
กองกำลังของกลุ่มคนนอกคอกไม่ได้เข้ามาต่อสู้ในทะเลแรกพร้อมกันทั้งหมด พวกมันแบ่งออกเป็นห้ากลุ่ม แต่ละกลุ่มต่างก็มีราชันจักรพรรดิเป็นผู้นำ นอกจากนั้นในแต่ละกองกำลังเหล่านั้นก็มีผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าต่างๆ อยู่ด้วยเช่นกัน ตอนนี้กลุ่มคนที่กำลังต่อสู้อยู่กับผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลในทะเลแรก ประกอบด้วยกองกำลังแรกซึ่งมีกลุ่มคนนอกคอกอยู่นับล้าน
ทะเลแรกแทบจะเหือดแห้งหายไปโดยสิ้นเชิง แปดเปื้อนไปด้วยโลหิตสีแดงเข้มที่ไม่มีทางจะลบเลือนไปได้ กลิ่นคาวโลหิตลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ และการต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมดุร้ายก็ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเริ่มมืดสลัวลงไป
แม้แต่แสงระยิบระยับที่เกิดมาจากการปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวท ต่างก็หมองมัวไปด้วยทะเลแห่งโลหิต มีแต่เสียงแผดร้องแหบแห้งและเสียงกรีดร้องแหลมเล็กดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่องกระจายไปทั่วทั้งสนามรบ
เหตุผลเดียวเท่านั้นที่ด่านต่อต้านแรกยังไม่พังทลายลงไป ก็เป็นเพราะว่าผู้ยิ่งใหญ่นอกคอกซึ่งถูกปกคลุมด้วยความมืดเป็นบุคคลที่รอบคอบมากเกินไป และสัญชาตญาณในส่วนลึกของมันก็มีแนวโน้มที่จะถ่วงเวลาไว้ก่อน
ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นมันก็คงจะใช้ดินแดนอันกว้างใหญ่โจมตีมายังอาณาจักรขุนเขาทะเลไปแล้ว อันที่จริงถ้าเสวียนฟางจื้อจุนไม่ถูกผนึกไว้ การต่อสู้ในสนามรบตอนนี้คงจะโหดร้ายมากกว่านับร้อยเท่า
จริงๆ แล้วก็เนื่องมาจากการตัดสินใจด้วยความระมัดระวังตัวของผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ทำให้ไห่เมิ่งเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากแผนการเฉพาะหน้านี้ ก่อนที่กองกำลังที่สองของกลุ่มคนนอกคอกจะบุกรุกเข้ามา…
ผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลที่อยู่ในด่านต่อต้านแรก ถึงแม้ว่าจะมีการเสริมกำลังใหม่เข้ามาเพื่อช่วยเหลือ แต่ก็เริ่มเหนื่อยล้าลงไปอย่างช้าๆ
ยิ่งไปกว่านั้นทะเลแรกก็แทบจะเหือดแห้งไปโดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลถูกผลักดันไปทางด้านหลังอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดกองกำลังที่สองของกลุ่มคนนอกคอกก็เริ่มก้าวเข้ามาในการต่อสู้นี้
เมื่อกองกำลังที่สองก้าวเข้าไปในทะเลแรก ดวงตาของไห่เมิ่งจื้อจุนก็สาดประกายขึ้น โดยไม่ลังเลใดๆ รีบขยับมือร่ายเวทเพื่อส่งคำสั่งออกไปยังสวี่ชิง ในทางกลับกันสวี่ชิงก็สะกดข่มความห่วงใยที่มีต่อเมิ่งฮ่าวไว้ และส่งต่อคำสั่งเหล่านั้นไปยังกองกำลังด้วยความตื่นเต้น
ในที่สุดสัญลักษณ์เวทก็เริ่มเปล่งแสงระยิบระยับไปทั่วทั้งทะเลแห่งโลหิตซึ่งก็คือทะเลแรก เกิดเป็นระลอกคลื่นม้วนกวาดออกไป และจากนั้นก็คาดไม่ถึงว่าทะเลแรก…จะทำการระเบิดตัวเอง!
ถึงแม้ว่าน้ำทะเลจะมีเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่มันก็ยังคงเป็นทะเล ที่สำคัญมากที่สุดก็คือว่าทะเลแรกมีเจตจำนงของมันเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเจตจำนงแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลอย่างแท้จริง ดังนั้นการระเบิดตัวเองของทะเลแรก ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องก็ถือว่าเป็นการระเบิดของเจตจำนงแห่งทะเลแรก
เสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นขณะที่น้ำในทะเลแรกเริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วน จากนั้นพลังทำลายล้างก็ระเบิดออกมาจากหยดน้ำทั้งหมด จากคลื่นทุกลูก จากทุกๆ ส่วนของทะเลทั้งหมด!
ตูมมมมมมม!
ผลของการระเบิดนั้นทำให้อาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งปวง รวมทั้งดวงดาวต่างๆ ต้องสั่นสะท้าน หลังจากที่ตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ผู้ยิ่งใหญ่จากสวรรค์ชั้นหกก็ก้าวตรงไปข้างหน้า จากนั้นก็มองไปยังทิศทางของทะเลด้วยด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
ระลอกคลื่นอันน่ากลัวกำลังกระจายออกไป เริ่มจากจุดศูนย์กลางของทะเลแรก ในที่แห่งนั้นมีหลุมดำปรากฏขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นแรงดึงดูดอันน่ากลัว คล้ายกับว่าพลังแห่งฟ้าดินเองกำลังดูดทะเลแห่งโลหิต รวมทั้งกลุ่มคนนอกคอกจำนวนมากเข้าไป
กลุ่มคนนอกคอกตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายไปโดยสิ้นเชิง กองกำลังกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองกำลังแผดร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่เริ่มลอยหมุนวนตรงไปยังหลุมดำนั้น สำหรับผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล ขณะที่แรงดึงดูดปรากฏขึ้น ก็มีพลังอันแรงกล้าบางอย่างมาคว้าจับพวกมันไว้ และฉุดลากให้ออกไปจากทะเลแรก
แทบจะดูเหมือนว่าหลุมดำกำลังหายใจอยู่ ทุกลมหายใจของมันก็จะดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป และจากนั้น…พลังที่แท้จริงของการระเบิดตัวเองก็ปรากฏขึ้น เสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ได้ยินมา ขณะที่ระเบิดอันทรงพลังม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ที่ใดก็ตามที่แรงระเบิดนั้นพุ่งผ่านไป กลุ่มคนนอกคอกก็จะแผดร้องออกมา ในตอนแรกผิวกายของพวกมันจะถูกถลกออกมา จากนั้นกระดูกก็จะถูกบดขยี้ไป และในที่สุดแรกก่อตั้งศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีไปจนหมดสิ้น
พลังแห่งการระเบิดตัวเองพุ่งกระจายออกไปอย่างรุนแรง ในชั่วพริบตาก็ปกคลุมไปทั่วทั้งทะเลแรก ห่อหุ้มกองกำลังแรกและกองกำลังที่สองของกลุ่มคนนอกคอกไว้โดยสิ้นเชิง
มีน้อยคนมากที่จะสามารถหลบหนีไปได้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าทั่วไปหรือว่าราชันเต๋าก็ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ มีแต่คนเพียงส่วนน้อยที่อยู่ในระดับสี่แก่นแท้ขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะหลีกเลี่ยงจากการปกคลุมด้วยแรงระเบิดอย่างเข้มข้นนั้นได้
สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็สั่นไหวไปมา ตรงด้านนอกของอาณาจักรขุนเขาทะเล กองกำลังที่เหลืออยู่ต่างก็สั่นไปทั้งร่าง และจ้องมองไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก แม้แต่ราชันจักรพรรดิทั้งหกต่างก็หอบหายใจออกมา
พลังของการระเบิดตนเองนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงสามวันเต็ม ตลอดช่วงเวลานั้นผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลยืนอยู่ตรงด้านข้างของทะเลอย่างเงียบๆ และกลุ่มคนนอกคอกก็ยืนอยู่อีกด้านด้วยความตกตะลึง
หลังจากผ่านไปสามวัน เสียงกึกก้องของการระเบิดก็หยุดลง ไม่อาจจะมองเห็น…ทะเลแรกได้อีกตลอดกาล อาณาจักรขุนเขาทะเลสูญเสียทะเลของตนเองไปหนึ่งแห่งแล้ว พร้อมกับกลุ่มคนนอกคอกที่ถูกดูดเข้าไปตรงด้านในทั้งหมด
กลุ่มคนนอกคอกที่เหลือยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนขุนเขาทะเล ทะเลแรก…หายไปแล้ว เป็นครั้งแรกในสงครามครั้งนี้ ที่กลุ่มผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลต่างก็รู้สึกคล้ายกับว่าได้สูญเสียหนึ่งในขุนเขาหรือทะเลไปแล้ว
เป็นความรู้สึกที่…ทำให้พวกมันตกอยู่ในความสับสนเล็กน้อย
แต่ในที่สุดการต่อสู้ก็ดำเนินต่อไป กองกำลังที่สามของกลุ่มคนนอกคอกถูกสั่งให้ลงมือโดยผู้ยิ่งใหญ่ของพวกมัน ครั้งนี้สองราชันจักรพรรดิได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย รวมทั้งผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดนั้นเริ่มมุ่งหน้าตรงไปยังขุนเขาแรก
ด่านต่อต้านแรกของอาณาจักรขุนเขาทะเลเหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ขุนเขาแรกกลายเป็นสนามรบไปทั้งหมด และในทันทีที่มีการต่อสู้กันอย่างดุร้าย ก็ทำให้ขุนเขาแรกแปดเปื้อนไปด้วยสีแดงของโลหิต
แม้ในขณะที่เสียงกระหึ่มของการต่อสู้ดังก้องขึ้น เมิ่งฮ่าวก็ยังคงสลบอยู่ ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัว คล้ายกับเป็นวิญญาณที่ลอยละล่องอยู่ในโลกที่แปลกๆ ออกไป
โลกแห่งนั้นไม่มีท้องฟ้า ไม่มีพื้นดิน ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ไม่มีภูเขาและแม่น้ำ มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…กลุ่มหมอกอันบางเบา และภายในนั้นก็สามารถจะมองเห็น…รูปปั้นขนาดใหญ่สองรูป
ใบหน้าของรูปปั้นทั้งสองถูกปิดบังไว้ด้วยกลุ่มหมอก แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะรู้สึกได้ก็คือว่า รูปปั้นด้านซ้ายมือกระจายเป็นระลอกคลื่นของปราณอสูรที่ฟ้าสะท้านดินสะเทือนออกมา!
ในฐานะที่เป็นผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า เมิ่งฮ่าวสามารถจะรับรู้ได้ว่าปราณอสูรนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นก็เห็นได้ชัดว่าประกอบไปด้วยกลิ่นอายแห่งขุนเขาทะเล มีบางสิ่งที่แปลกๆ เกี่ยวกับกลิ่นอายนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความต้องการสังหารเป็นอย่างยิ่งจนคาดไม่ถึง ไม่ใช่ความบ้าคลั่ง แต่เป็นความเย็นชาและโหดเหี้ยม
กลิ่นอายที่ปกคลุมอยู่รอบๆ รูปปั้นทำให้เกิดเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมองไม่เห็นใบหน้าของมัน ก็มั่นใจได้ว่าต้องมีสีหน้าที่ทั้งดุร้ายและมีเมตตา เป็นลักษณะของใบหน้าที่ดูเหมือนว่ากำลังร้องไห้อยู่ แต่ก็หัวเราะไปด้วยในเวลาเดียวกัน ราวกับว่ารูปปั้นนี้จริงๆ แล้วก็มีสีหน้านับร้อยนับพัน ทำให้ยากที่จะบอกได้ถึงอารมณ์ที่แท้จริงของมัน
มันคือ…อสูร เนื่องจากอารมณ์ที่หลากหลายของมัน ทำให้ต้องกลายเป็นอสูรไป และรูปปั้นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของอสูรแต่เพียงผู้เดียวในโลกแห่งนี้
สำหรับรูปปั้นที่อยู่ทางขวามือ เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไป ก็รับรู้ได้ถึงปราณเซียนอันเข้มข้น จนทำให้ทุกสรรพสิ่งในบริเวณนั้นต้องสั่นสะท้าน ราวกับว่านี่คือการแสดงออกที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดของเซียน ราวกับว่ามีเพียงเซียนเท่านั้นที่คงอยู่ในโลกแห่งนี้!
เมิ่งฮ่าวมองไปยังรูปปั้นทั้งสองอย่างเงียบๆ และจากนั้นก็มองไปยังโลกที่อยู่รอบๆ ตัวด้วยความสับสน ไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ในที่แห่งใด และงุนงงว่ารูปปั้นทั้งสองนี้ต้องการแสดงให้เห็นถึงอะไรกันแน่
ในขณะที่เมิ่งฮ่าวเริ่มตั้งคำถามต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ เสียงเก่าแก่โบราณก็กล่าวขึ้นมา เป็นเสียงที่ดูเหมือนว่าจะดังก้องออกมาจากห้วงบรรพกาล กระจายเต็มอยู่ในโลกที่เขายืนอยู่นี้
“สถานที่แห่งนี้…คงอยู่ภายในทะเลแห่งจิตของเจ้า”
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และมองขึ้นไป แต่ก็ไม่อาจจะเห็นเจ้าของเสียง ราวกับว่าเสียงนั้นคงอยู่ในทั่วทุกที่ แต่ก็ไม่มีในทุกแห่งหน
“ลองดูรูปปั้นทั้งสองนี้ หนึ่งคืออสูร และอีกหนึ่งก็คือเซียน…ในอาณาจักรขุนเขาทะเล คนผู้หนึ่งถูกลิขิตมาให้เกิดเป็น…เซียนอันไร้ขอบเขตเท่านั้น…”
“และทำให้สายโลหิตทุกชั้นฟ้าปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน…”
“แต่ก็มีบางคนไม่ปรารถนาจะเกิดเป็นเซียน พวกมันต้องการควบคุมตำแหน่งนั้น นั่นเป็นเพราะถึงแม้ว่าเซียนและเทพจะเติมเต็มซึ่งกันและกัน…แต่เซียนก็อยู่เหนือเทพ และสามารถสะกดข่มมารด้วยเช่นกัน!”
“ถึงเทพและมารจะไม่ใส่ใจ แต่ลูกหลานของพวกมันกลับให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ ดังนั้นสวรรค์จึงพลิกกลับตาลปัตร กรรมถูกเปลี่ยนแปลง และเวลาก็ได้รับผลกระทบ พวกมันยินดีที่จะจ่ายค่าตอบแทนทุกอย่างออกมา…และทำได้สำเร็จในที่สุด! แต่ก็ล้มเหลวด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังไม่ตระหนักด้วยว่า…เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ถูกกระทำโดยทั้งความสำเร็จและล้มเหลว ทำให้มีบางสิ่งที่ไม่ควรจะมีเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เซียน…กลายเป็นอสูร…”
“นั่นเป็นเพราะว่าโลกที่ถูกลิขิตให้กลายเป็นเซียน เป็นโลกที่เกิดขึ้นก่อนสายโลหิตทุกชั้นฟ้าจะปรากฏขึ้น โลกนั้น…คือโลกที่สะกดข่มอสูรอันยิ่งใหญ่ทั้งสามพันแห่งไว้ มันคือ…อาณาจักรอสูรผู้ยิ่งใหญ่!”
“อสูรมีอยู่มากมายและแปลกประหลาด มีอารมณ์ไม่แน่นอน…ไม่ได้สัตย์ซื่อเที่ยงธรรมและสูงส่งเหมือนกับเซียน ไม่สามารถสะกดข่มมาร และไม่อาจจะทำให้เทพต้องสั่นสะท้าน…แต่สิ่งที่มันสามารถจะทำได้ก็คือ…ล้มล้างความกว้างใหญ่อันไร้ขอบเขต!”
“และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องถามตัวเองแล้ว ถ้าเลือกได้เจ้าจะกลายเป็น…เซียนที่แข็งแกร่งและทรงพลัง หรือจะกลายเป็น…อสูรที่สามารถจะล้มล้างความกว้างใหญ่อันไร้ขอบเขต?”
ขณะที่เสียงเก่าแก่โบราณนั้นดังก้องออกมา ก็พอจะบอกได้ว่าไม่มีน้ำเสียงที่ข่มขู่บังคับอยู่ในนั้น แค่ต้องการจะได้ยินคำตอบเท่านั้น
เมิ่งฮ่าวรักษาความเงียบสงบไว้ มองไปยังรูปปั้นด้านซ้ายมือซึ่งเป็นตัวแทนของอสูร ก่อนหน้านี้ไม่อาจจะมองเห็นใบหน้าของมันได้ แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมิ่งฮ่าวพบว่ากำลังมองไปยัง…ใบหน้าของตัวเอง!
รูปปั้นนั้นมีปราณอสูรอยู่เป็นจำนวนมาก และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงสีแดงที่ไม่มีวันดับลงไป ไม่มีความเย่อหยิ่งยโส ไร้บรรยากาศที่สะกดข่ม ไม่มีความสูงส่งเที่ยงธรรม ไร้เกียรติศักดิ์ใดๆ มีแต่อารมณ์อันซับซ้อน ที่เปลี่ยนแปลงไปมาไม่แน่นอน เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด
นอกจากนี้ภายในดวงตาสีแดงคู่นั้นมีความรู้สึก…แห่งความเกลียดชัง คล้ายกับเป็นทะเลแห่งโลหิตที่ยากจะเข้าใจ ปรารถนาต้องการจะทำลายโลกทั้งหมดไป
แต่ลึกลงไปภายในดวงตา ได้ปิดซ่อนไว้ด้วยความรู้สึกนับร้อยพัน ใบหน้าที่เปลี่ยนไปไม่แน่นอนนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำอันขมขื่นและอารมณ์อันซับซ้อน…ซึ่งยากจะพบเห็น และคนอื่นๆ ก็ไม่อาจจะรับรู้ได้…
เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปยังรูปปั้นอสูรที่มีใบหน้าของตนเอง จิตใจก็สั่นสะท้าน รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าเสียใจ รวมทั้งจิตใจที่ไม่ยอมจำนน ความบ้าคลั่งและเกลียดชังที่อยู่ภายในอสูรตนนี้ด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวหันหน้ามองไปยังรูปปั้นเซียนอย่างเงียบๆ…
รูปปั้นนั้นมีใบหน้าเหมือนกับตนเองด้วยเช่นกัน มีสีหน้าที่สงบนิ่ง เยือกเย็น ดวงตาดูเหมือนว่าจะอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วก็ดูเย็นชาและไม่แยแสต่อสิ่งใดๆ ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งในโลกแห่งนี้ที่รูปปั้นนั้นมองไป สามารถจะแสดงออกมาในแง่ของกฎธรรมชาติ ราวกับว่าเซียนจะอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างและคนทั้งปวง มีแต่เซียนเท่านั้นในโลกแห่งนี้
ความทรงจำทั้งหมด ทุกสรรพสิ่งเมื่อในอดีต คล้ายกับเป็นความมัวหมองจากชีวิตก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนที่เดินไปในวิถีทางแห่งเซียน จะถูกทิ้งไว้ยังเบื้องหลัง ถูกตัดขาดออกไป ไม่ยอมให้มีอุปสรรคใดๆ มาคอยหน่วงเหนี่ยวจิตใจ
เซียนนี้ทั้งไม่ดุร้ายและไร้อารมณ์ที่อ่อนไหว ทั้งไม่เห็นแก่ตัวและยอมเสียสละใดๆ มีแต่การแยกตัวออกมาจากในอดีตเท่านั้น ราวกับว่าเมื่อมองย้อนกลับไปและรำลึกถึงความทรงจำเก่าๆ ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อจิตใจ และอาจจะแค่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาเท่านั้น
อีกครั้งที่เสียงเก่าแก่โบราณดังก้องออกมา “เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบออกมา ตราบเท่าที่มันคงอยู่ในจิตใจ ก็เพียงพอแล้ว…”