ตอนที่ 1370
คันธนูในมือ
แทบจะในเวลาเดียวกับที่สายตาของผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดตกกระทบไปบนร่างของเสวียนฟาง สัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันน่าตกใจอย่างที่ยากจะอธิบายได้ ก็ระเบิดออกไปจากร่างมัน
ไม่ใช่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ยืดหยุ่น แต่แข็งแกร่งและเก่าแก่โบราณอย่างไร้ขอบเขต ทรงพลังจนแม้แต่เสวียนฟางก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากจะเชื่ออย่างช่วยไม่ได้
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น เพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิด เวลาเดียวกันนั้นพลังที่ระเบิดออกมาของดวงตะวันก็เริ่มจางหายไป หลังจากที่ทำลายกลุ่มคนนอกคอกไปเกือบนับล้าน
เพราะว่าเมิ่งฮ่าวอยู่ในท่ามกลางค่ายกลเวท เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก แต่ดวงตากลับสาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร ขณะที่มองขึ้นไปยังทิศทางของสวรรค์ชั้นที่สิบหก จากนั้นก็มองกลับไปยังเสวียนฟางซึ่งมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เมิ่งฮ่าวไม่ได้หลอกลวงผู้คนมานานแล้ว และครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเขาทำตัวลึกลับ แต่เป็นเสวียนฟาง (ความลี้ลับ) ที่วิ่งเข้ามาชนเมิ่งฮ่าวเอง
สำหรับโฉ่วเหมินไถ เมิ่งฮ่าวมักจะคาดเดาเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันอยู่ตลอดเวลา และตอนนี้เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเสวียนฟาง ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวเข้าใจโฉ่วเหมินไถได้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม
“อาณาจักรขุนเขาทะเล…มีเรื่องลี้ลับอยู่มากมาย…โฉ่วเหมินไถ, ชายชราบนเรือลำนั้น และมือสังหารที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาดของเต้าเทียนด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ยังมีสุ่ยตงหลิว…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น มีลางสังหรณ์อย่างเข้มข้นว่า เมื่อสงครามบรรลุถึงจุดสำคัญของมันแล้ว ขณะที่สามสิบสามสวรรค์และอาณาจักรขุนเขาทะเลมุ่งหน้าเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อต่อสู้กันเป็นครั้งสุดท้าย ความลี้ลับทั้งหลายก็จะถูกเปิดเผยออกมา คล้ายกับเป็นม้วนภาพที่ถูกคลี่กางออกไป
“ทั้งหมดนี้…ใครเป็นศัตรู ใครเป็นสหายที่แท้จริง…และใครที่ช่วยข้าไว้ก่อนหน้านี้? ใช่สุ่ยตงหลิวหรือไม่? แผนการที่แท้จริงของท่านในอาณาจักรขุนเขาทะเลนี้คืออะไร?” เมิ่งฮ่าวแอบถอนหายใจ หลังจากที่ฟื้นสติกลับคืนมา ก็ไม่มีเวลาที่จะไปสอบถามไห่เมิ่งจื้อจุนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกว่าความจริงเกี่ยวกับอาณาจักรขุนเขาทะเลถูกปกปิดไว้นานมากแล้ว ทำให้ยากที่จะมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้ชัดเจน แต่ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสงครามครั้งนี้
ตนเองเป็นแค่ตัวเบี้ยในสงครามครั้งนี้เท่านั้น บางทีคนทั้งหมดก็เช่นกัน รวมทั้งกลุ่มคนนอกคอก พวกมันเป็นตัวเบี้ยโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเดินหมาก…มันเป็นความโหดร้าย แต่นี่ก็คือสงคราม
เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีรอยยิ้มเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว เมื่อเขากำลังหลอกลวงใครบางคน สงครามที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ บังคับให้เขาต้องเติบใหญ่ขึ้น ไม่ต้องการคิดไปถึงสิ่งที่เหมือนกับว่า ตนเองต้องมองดูครอบครัวหรือสหายตกตายไปในการต่อสู้ตรงเบื้องหน้า หรือตนเองต้องกลายเป็นอะไรต่อไป
เขาไม่กล้าที่จะครุ่นคิดไปถึงความเจ็บปวดใจเช่นนั้น!
ดังนั้นสิ่งเดียวที่สามารถจะทำได้ก็คือ ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเป็นผลลัพธ์เช่นนั้น…ถูกกำจัดไปโดยสิ้นเชิง!
“ครั้งนี้หนึ่งในสองผู้ยิ่งใหญ่ต้องถูกกำจัดไปอย่างแน่นอน!” ขณะที่กลิ่นอายอันน่ากลัวกระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว จู่ๆ ดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้น และมองลงไปยังค่ายกลเวทที่อยู่ใต้เท้าของตนเอง
ดวงตะวันหายไป แต่…ยังคงมีบางสิ่งบางอย่างเหลืออยู่เบื้องหลัง
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่สายตาของผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดได้จ้องนิ่งไปยังเสวียนฟางจื้อจุน เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของมันดังก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว “เจ้าเป็นคนตัดเส้นใยของข้าใช่หรือไม่?”
จิตใจเสวียนฟางจื้อจุนเริ่มเต้นรัว ขณะที่รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังตรึงร่างมันไว้ ไม่ใช่แต่เพียงร่างมันเท่านั้น แต่เป็นจิตใจและวิญญาณด้วยเช่นกัน
เสียงที่เพิ่งจะพูดขึ้นมานี้เต็มไปด้วยรังสีสังหาร และความต้องการเข่นฆ่า มีแต่ความโหดเหี้ยม จนทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวซึ่งอยู่รอบๆ บริเวณนั้นเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เวลาเดียวกับที่เสียงนั้นดังก้องออกมา ผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดก็หายตัวไป จากนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าของเสวียนฟาง
เสวียนฟางไม่ลังเลที่จะถอยไปทางด้านหลังด้วยความรวดเร็วสูงสุดแม้แต่น้อย จิตใจเต็มไปด้วยความรู้สึกถึงวิกฤตที่จวนตัว
แต่ไม่ว่ามันจะพยายามหลบหนีไปด้วยความรวดเร็วมากเท่าใดก็ตามที ก็ไม่อาจจะเทียบได้กับเศษชิ้นส่วนวิญญาณของโฉ่วเหมินไถ ซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ภายในร่างของผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิด
เสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นเมื่อผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดยกมือขวาขึ้นมาและทำท่าคว้าจับออกไป ในความเป็นจริงแล้วมันกำลังจัดการกับกระแสแห่งกาลเวลา ย้อนกลับไปในช่วงเวลาเมื่อครู่นี้
“กลับมา!” เสียงอันเย็นชาราวน้ำแข็ง ดังก้องออกมาจากปากของผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิด จากนั้นมันก็ดึงมือกลับมาด้านหลัง
ที่ห่างไกลออกไป เสวียนฟางจื้อจุนกำลังหลบหนีจากไป แต่จากนั้นสีหน้ามันก็เปลี่ยนไป ขณะที่รู้สึกได้ว่ามีหัตถ์ยักษ์ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้า กำลังคว้าจับวิญญาณของตนเองไว้ ฉุดลากมันให้พุ่งตรงไปยังผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิด
“เจ้าไม่ใช่อี้กู่ และไม่ใช่เมิ่งฮ่าวด้วย! เจ้า…เจ้าเป็นใคร?!”
สีหน้าของเสวียนฟางจื้อจุนเปลี่ยนไป รีบกัดลงไปยังปลายลิ้นเล็กน้อย พ่นโลหิตแห่งแก่นแท้ชีวิตออกมาหนึ่งคำ
เวลาเดียวกันนั้นก็ใช้สองมือขยับร่ายเวท โลหิตหนึ่งคำนั้นกลายเป็นทะเลที่กระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง และกลายเป็นสัญลักษณ์เวทสีโลหิตหนึ่งชิ้น
“กระจาย!” เป็นช่วงวิกฤตที่ไม่มีเวลาให้ขบคิด เสวียนฟางโจมตีออกไปโดยที่ไม่ครุ่นคิดถึงผลกระทบอันเลวร้ายต่อตนเองแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวมันบิดเบี้ยวไปมา และสัญลักษณ์เวทสีโลหิตก็ระเบิดขึ้น เกิดเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้หัตถ์ยักษ์ที่เดินทางข้ามกาลเวลาของผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดสั่นสะท้าน จากนั้นเสวียนฟางก็พุ่งถอยไปทางด้านหลังด้วยความรวดเร็วสูงสุด จิตใจหมุนคว้างเต้นรัว เมื่อตระหนักว่าผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดแข็งแกร่งมากแค่ไหน
จริงๆ แล้วในตอนนี้ มันได้ข้อสรุปแล้วว่า การไปตัดการเชื่อมต่อระหว่างเมิ่งฮ่าวและหุ่นเชิดนี้อาจจะเป็น…ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงนัก
“บัดซบ นี่ไม่ใช่หุ่นเชิด! มีวิญญาณคอยหนุนหลังมันอยู่จากด้านใน! นี่เป็นการยึดครองของวิญญาณไร้ร่าง!!” เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้ สีหน้าของเสวียนฟางก็ยิ่งดูน่าเกลียดมากขึ้นกว่าเดิม และความรู้สึกถึงวิกฤตอันร้ายแรงก็ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะพยายามหลบหนีจากไปอย่างไร ก็มีแต่จะรู้สึกเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น มันไม่รู้สึกว่ากำลังหลบหนีออกมาจากสิ่งใดๆ แต่กลับกัน กลับรู้สึกว่าถูกตรึงไว้มากขึ้นกว่าเดิม จนไม่อาจจะหลุดรอดออกไปได้
จากนั้นดวงตาของผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดก็แวบประกายขึ้น และกำมือเป็นหมัดก่อนที่จะต่อยออกไป
ตูม!
หมัดนั้นทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องไปทั่วทั้งความว่างเปล่า ขณะที่พลังระเบิดปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเสวียนฟางจื้อจุนในทันที ถึงแม้ว่ามันจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน
แต่โลหิตก็ยังพุ่งกระจายออกมาจากปาก และถอยร่นไปทางด้านหลังด้วยสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็มองไปยังผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิด และทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง และสีหน้าก็สลดลงไป
“เจ้า…เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนจากอาณาจักรเซียนผู้ยิ่งใหญ่ เจ้า…เจ้ามาจากหมานโม๋เจี้ย!! (อาณาจักรปีศาจป่าเถื่อน)”
“หมาน (ป่าเถื่อน)…” แสงแห่งการหวนรำลึกมองเห็นได้ในแววตาของผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิด ก่อนที่จะเดินตรงไปอีกหนึ่งก้าว และต่อยหมัดออกไปยังเสวียนฟางจื้อจุนอีกครั้ง เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น เสวียนฟางถอยไปทางด้านหลัง โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก
เวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปยังตำแหน่งของเมิ่งฮ่าว การระเบิดตัวเองของดวงตะวัน เผยให้เห็นถึงบางสิ่งที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่แห่งนั้นเส้นใยนับไม่ถ้วนของแสง กำลังก่อตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเค้าโครงร่างของค่ายกลเวทชนิดหนึ่ง
ภายในจุดศูนย์กลางของค่ายกลเวทนั้นคือ…คันธนูหนึ่งคัน!!
เป็นธนูสีฟ้า กำลังลอยอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของค่ายกลเวท กระจายเป็นแสงอันไร้ขอบเขตออกมา นี่คือ…ของวิเศษอันล้ำค่าของจิ่วเฟิงจื้อจุน!
นอกจากนั้นในตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังอยู่เหนือค่ายกลเวท…เผชิญหน้ากับธนูนั้นโดยตรง!
ดวงตะวันอาจจะระเบิดออกไป แต่ก็เป็นเพียงแค่เปลือกชั้นนอกเท่านั้น
เมิ่งฮ่าวไม่สนใจการต่อสู้ระหว่างเสวียนฟางและผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดแม้แต่น้อย กลับมองลงไปยังคันธนู ดวงตาสาดประกายขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปคว้าจับมัน!
ในทันทีที่มือของเมิ่งฮ่าวสัมผัสกับคันธนู มันก็สั่นสะท้านไปมา ราวกับว่ามีการตอบรับ เวลาเดียวกันนั้นโลหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ด้านในผลเนี่ยผานก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นคันธนูก็เริ่มลอยตรงขึ้นมายังเมิ่งฮ่าวอย่างช้าๆ
เวลาเดียวกันนั้น ภายในผนึกขุนเขาทะเล ขุนเขาทั้งปวงเริ่มสั่นสะเทือนและเต่าเสวียนอู่ที่อยู่ภายในสระสวรรค์ก็เริ่มกู่ร้องออกมา ราวกับถูกกระตุ้นขึ้นอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นเจตจำนงแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลก็ดูเหมือนว่าจะปะทุระเบิดขึ้นไปด้วยเช่นกัน
ดวงตาปรมาจารย์เอกะเทวะเบิกกว้างขึ้น ราวกับว่ามันสามารถจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ และคาดไม่ถึงว่ามันจะผงกศีรษะขึ้นและแผดร้องคำรามออกมา เวลาเดียวกันนั้นระลอกคลื่นก็กระจายเต็มไปทั่วบริเวณรอบๆ ตัวกู๋อี่ติงซานอวี่ สำหรับภูเขาต้าชิง ถึงแม้จะดูเหมือนว่ามันเป็นแค่ภูเขาธรรมดาทั่วไป แต่ทันใดนั้นเอง…กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาก็เริ่มกระจายออกมาจากภายในโดยสิ้นเชิง
บนหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะมีต๋งหู่อยู่ด้วยเช่นกัน ไข่มุกลูกหนึ่งลอยอยู่เบื้องหน้ามัน กระจายเป็นแสงอันเจิดจ้าออกมา ต๋งหู่มองไปด้วยท่าทางครุ่นคิด และจากนั้นก็มองขึ้นไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
“ชีวิตข้าอุทิศให้กับการเตรียมของวิเศษนี้เพื่อส่งมอบให้ใครบางคนที่ข้าไม่รู้จัก เป็นไปได้หรือไม่ว่า…เจ้าของของวิเศษนี้คือมัน…?”
ขณะที่เหตุการณ์เหล่านี้ปรากฏขึ้น ผู้ฝึกตนที่ใช้ของวิเศษแห่งสามบรรพจารย์ ก็มีความกระตือรือร้นเพิ่มมากขึ้น เข้าร่วมกับผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลเพื่อโจมตีไปยังผนึกที่ปกคลุมอาณาจักรไว้อย่างไม่ลดละ จนผนึกนั้นสั่นสะเทือนไปมา
ในตอนนี้เองที่เสียงกระหึ่มก็ดังก้องขึ้น ขณะที่คันธนูโผล่ออกมาจากค่ายกลเวท…ตกลงไปในมือของเมิ่งฮ่าว
คันธนูเป็นสีฟ้า สายธนูเป็นสีดำ และไม่มีลูกธนู!
อย่างไรก็ตาม มีความเก่าแก่โบราณอย่างไร้จุดสิ้นสุด ปะทุออกมาจากภายใน
ราวกับว่าในตอนที่เมิ่งฮ่าวคว้าจับคันธนูไว้
ปราณและโลหิตทั้งหมดภายในร่างปะทุขึ้นไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสั่นสะเทือน และสีสันก็แวบขึ้นไป เส้นผมเมิ่งฮ่าวพลิ้วไสวไปมา และพลังก็พุ่งทะยานขึ้น
อย่างไรก็ตาม…ร่างกายเมิ่งฮ่าวก็เริ่มแห้งเหี่ยวลงไปในทันที ขณะที่ปราณและโลหิตถูกคันธนูนั้นดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้าขึ้น และสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็มองตรงไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบหก ดวงตาแวบขึ้นด้วยความต้องการสังหาร
“เสวียนฟางถูกผู้ยิ่งใหญ่หุ่นเชิดตรึงไว้ ถ้าข้าไปร่วมด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะสังหารมันได้หรือไม่ แต่น่าจะกำจัดหลีหลงจื้อจุนไปได้ง่ายกว่าในขณะที่มันรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ มีเพียงโอกาสนี้เท่านั้น…”
“สังหารหลีหลง!” เมิ่งฮ่าวตัดสินใจอย่างฉับพลัน จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่ที่เหลืออยู่ด้านบน
ขณะที่บินขึ้นไป ค่ายกลเวทอันน่าเกรงขามที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ตัวก็ติดตามขึ้นไปด้วย เท้าของเมิ่งฮ่าวยังคงยืนอยู่บนค่ายกลเวท และในมือก็ถือคันธนูสีฟ้า ดูคล้ายกับเป็นดวงตะวัน พุ่งขึ้นไปด้วยความสง่างาม ตรงไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่ที่อยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว
กลุ่มคนนอกคอกธรรมดาทั่วไป และราชันจักรพรรดิของพวกมัน
ต่างก็สั่นสะท้านไปตามๆ กัน และรีบบินตรงมาเพื่อพยายามจะขัดขวางเมิ่งฮ่าว ดวงตาเสวียนฟางจื้อจุนเบิกกว้างขึ้น ถึงแม้ว่าจะรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งในทันที แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากมองดูเมิ่งฮ่าวบินขึ้นไปเท่านั้น
ในตอนนี้กลุ่มคนนอกคอกต่างก็ประหลาดใจไปโดยสิ้นเชิง!
ในตอนนี้ผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเล ต่างก็จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวกันทั้งหมด ขณะที่พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าราวกับเป็นดวงตะวัน!
บิดาเมิ่งฮ่าว สวี่ชิง กลุ่มคนร่วมตระกูล สหายของเขา และผู้ฝึกตนอื่นๆ ต่างก็เฝ้ามองไปกันทั้งหมด ไม่ว่าพวกมันจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน ก็สามารถจะมองเห็นเงาร่างที่คล้ายดวงตะวัน กลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนลูกธนูแห่งแสง พุ่งตรงไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่ที่ด้านบน!
“ข้าไม่ใช่ส่วนที่ขาดไม่ได้ของสงครามครั้งนี้ ถ้าปราศจากข้า ก็อาจจะมีใครบางคนมาแทนที่ และเดินไปตามเส้นทางเดียวกับข้า…”
“ข้าอาจจะเป็นตัวเบี้ย อาจจะไม่มีความคิดของตัวเอง สามารถจะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างได้ ข้าแค่หวังว่า…คนในครอบครัวของข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป คนรักของข้าไม่ตกตายไป และสหายของข้าอยู่รอดปลอดภัย…”
เมิ่งฮ่าวพึมพำ ดึงสายธนูไปทางด้านหลัง!