ตอนที่ 138
เครื่องรางนำโชค
เมื่อเมิ่งฮ่าวเปล่งคำพูดออกมา มือซ้ายก็ขยับเป็นรูปแบบการสร้างเวทอาคม เขากดนิ้วลงไปบนหน้าอก และโลหิตบางส่วนจากพื้นฐานฝึกตนของเขา ก็ไหลซึมออกมาจากปาก นี่เป็นโลหิตที่ล้ำค่ามาก ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยทำเช่นนี้ แต่เมิ่งฮ่าวไม่ลังเล เขาเช็ดโลหิตจากพลังฝึกตนของเขาที่อยู่บนริมฝีปากด้วยนิ้ว จากนั้นก็กดนิ้วนั้นลงไปบนหน้ากาก
จากการที่มีคัมภีร์กลืนวิญญาณประทับลงไปในจิตใจของเขา ทำให้ง่ายต่อการควบคุมหน้ากากนี้
นิ้วของเขาจมลงไปข้างใน ลึกเข้าไปในซอกหลืบของหน้ากาก กดลงไปในช่องมุมที่ไกลออกไป ที่นั่น มีใบหน้าที่เศร้าหมองและไม่ยินยอมอยู่ ก็คือ ปรมาจารย์ตระกูลหลี่ นั่นเอง
“เจตจำนงของเจ้าอ่อนแอ!” ปรมาจารย์ตระกูลหลี่ร้องเสียงแหลมเล็กออกมา “ดังนั้น หน้ากากจึงพยายามที่จะครอบงำเจ้า!”
นิ้วของเมิ่งฮ่าวหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าปรมาจารย์ตระกูลหลี่ ดวงตาของเขาเย็นเยียบ ไม่พูดอะไรออกมา หลังจากนั้นสักพัก เขาก็กดลงไป ทำให้ปรมาจารย์ตระกูลหลี่ส่งเสียงร้องอย่างหดหู่แหลมสูงออกมา ร่างของมันเริ่มสลัวลง ขณะที่มันถูกกดลงไป ดูเหมือนมันจะจางหายไป
“ในโลกด้านนอก ข้าสามารถทำลายเจ้าด้วยนิ้วเดียว ได้นับครั้งไม่ถ้วน!” ปรมาจารย์ตระกูลหลี่แผดเสียงร้องออกมาด้วยโทสะ เต็มไปด้วยความดื้อรั้น มันจ้องออกมาด้วยดวงตาที่เริ่มจางๆ ไป นิ้วของเมิ่งฮ่าวหยุดชะงัก จากนั้นก็เคลื่อนไปด้านหลังช้าๆ แต่หลังจากที่ปรมาจารย์ตระกูลหลี่ เริ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา นิ้วก็กดลงไปบนร่างมันอีกครั้ง
เสียงร้องอย่างน่าอนาถใจก็ดังออกมาอีก ไม่ได้น่าหดหู่แต่เป็นการกดขี่ข่มเหง ร่างของปรมาจารย์ตระกูลหลี่ไม่เพียงแค่สลัวเลือนลางไป ตอนนี้ปราณโลหิตของมันกำลังไหลออกมาอย่างรวดเร็ว มันดูท่าทางห่อเหี่ยวอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังคงเงยหน้าขึ้นจ้องไปยังนิ้วของเมิ่งฮ่าว
“ข้าจะถูกครอบงำโดยหน้ากาก หรือเจ้าจะบอกความลับของมันมา?” เมิ่งฮ่าวถามเสียงเย็นชา
“พวกเราต่างก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การโจมตีของนิ้วสองครั้งนี้เป็นการลงโทษ และผลสะท้อนของมันก็ยังไม่หายไป ถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง ข้า, เมิ่งฮ่าว ก็จะถูกบังคับให้ต้องทำลายข้อตกลง และกำจัดเจ้าไป”
เขาดึงนิ้วกลับไปด้านหลัง ปรมาจารย์ตระกูลหลี่อาจจะมีสีหน้าเข้มแข็ง แต่จริงๆ แล้วก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ข้างใน ความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของมัน เนื่องจากวิธีอันโหดร้ายของเมิ่งฮ่าว
เมื่อครู่นี้ จริงๆ แล้ว มันได้ใช้ประโยชน์จากการรู้แจ้งของเมิ่งฮ่าวเกี่ยวกับคัมภีร์กลืนวิญญาณ มันได้ใช้วิธีพิเศษอย่างลับๆ เพื่อควบคุมหน้ากาก และพยายามที่จะทำให้เมิ่งฮ่าวสวมลงไป ในขณะที่มันคิดว่ามันทำได้สำเร็จ เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกตัว
“เจ้าวิญญาณไร้ร่างนี้ช่างแปลกนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าว จ้องไปที่หน้ากาก “ไม่ใช่เพราะโลหิตศักดิ์สิทธิ์ มันต้องมีเหตุผลอย่างอื่นเป็นแน่” เขาดึงนิ้วออกมา บีบโลหิตบางส่วนให้หยดไปบนวิญญาณของปรมาจารย์ตระกูลหลี่
เมื่อโลหิตหยดลงไป มันก็กลายเป็นหมอกโลหิต ซึ่งจากนั้นก็ห่อหุ้มปรมาจารย์ตระกูลหลี่ไว้ภายใน เสียงร้องอย่างโหยหวนดังออกมา สีหน้าเมิ่งฮ่าวปกติเหมือนเดิม เขาดึงจิตสัมผัสกลับมา ปล่อยให้ปรมาจารย์ตระกูลหลี่ร้องไห้ครวญครางอยู่ด้านในของหน้ากาก
ส่วนหนึ่งของขุมทรัพย์ที่เมิ่งฮ่าวได้ครอบครอง เป็นคำเตือนจากเซียนโลหิต ตอนนี้เขารู้ว่าเขาไม่ควรสวมหน้ากากอย่างไร้จุดหมาย ถ้าทำเช่นนั้น เขาก็อาจจะสูญเสียตัวตนไป เซียนโลหิตไม่แม้แต่จะอธิบายถึงความเป็นมาของหน้ากากนี้ และดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างนับไม่ถ้วนอยู่ภายใน
อย่างไรก็ตาม การสวมใส่มันก็มีประโยชน์อย่างมากมาย วิชาและเวทอาคมของเซียนโลหิตหลายอย่าง สามารถใช้ได้ตอนที่สวมหน้ากากนี้เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น วิชาเวทที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่
แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ ก็ไม่ควรจะสวมหน้ากากนี้ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม
จากที่เคยกล่าวไว้ วิชาที่ถูกคิดค้นโดยเซียนโลหิต หลังจากที่พ่ายแพ้มาสามครั้ง ทั้งดรรชนี, ฝ่ามือ และสังหาร ไม่จำเป็นต้องใช้หน้ากาก ซึ่งพวกมันก็ได้ประทับลงไปในจิตใจของเมิ่งฮ่าวแล้ว
“ถึงข้าจะเป็นผู้ชนะของการแข่งขันล่าขุมทรัพย์ แต่ข้าก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังของหน้ากากได้ในตอนนี้ และก็ใช่, ที่เจ้าวิญญาณไร้ร่างนั้นทำได้…เห็นได้ชัดว่าอ๋าวเฉี่ยนควบคุมหน้ากากนี้ได้ และกลายเป็นอาวุธวิญญาณ แล้วเจ้าวิญญาณไร้ร่างนี้ทำได้อย่างไร?”
สีหน้าเมิ่งฮ่าวไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เรื่องนี้ก็กดดันจิตใจของเขา มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมเขาถึงไม่ได้สังหารปรมาจารย์ตระกูลหลี่อย่างง่ายดาย
เอาหน้ากากเก็บเข้าไปในถุงแห่งจักรวาล เมิ่งฮ่าวนั่งคิดอย่างเงียบๆ เขามองไปรอบๆ ตัว ด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบเอากระจกทองแดงออกมา ถือไว้ในมือ ตรวจสอบมันอย่างละเอียด
ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงจากกระจกเมื่อครู่นี้ เมิ่งฮ่าวก็เกือบจะสวมหน้ากากไปแล้วอย่างแน่นอน เขาไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อคิดไปถึงคำเตือนของเซียนโลหิต เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“เสียงเมื่อครู่นี้คล้ายกับเสียงร้องของนก…” เขามองไปที่กระจกทองแดงสักพัก และส่งจิตสัมผัสเข้าไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นหลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็เอามันเก็บกลับไป จากนั้นก็หยิบเอาเครื่องรางนำโชคที่ได้มาจากปรมาจารย์เอกะเทวะออกมา
เขาเคยศึกษามันในอดีตและคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ แต่ครั้งนี้ ขณะที่เขาถือมันอยู่ในมือ เขาโคจรพลังฝึกตน และส่งพลังลมปราณบางส่วนเข้าไป ทันใดนั้น ดวงตาก็ส่องประกาย
“มันทำงานได้บางอย่าง…ข้าอยากรู้ว่าทุกวันนี้ศิษย์พี่หญิงฉื่อเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ได้เห็นนางมาหลายปีแล้ว นางยังคงจำข้าได้หรือไม่?” ภาพท่าทางเย็นชาของศิษย์พี่หญิงฉื่อ ขณะที่นางพูดเกี่ยวกับเม็ดยาคงโฉม รวมตัวกันในจิตใจเมิ่งฮ่าว ความอบอุ่นปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา
“หลายปีมาแล้ว…” เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้นช้าๆ และมองออกไปยังที่ห่างไกล เวลานานผ่านไป ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืน และบินออกไปจากภูเขาที่แห้งแล้งนี้ มุ่งหน้าตรงไปยังที่ห่างไกล
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น กำแพงเมืองภายในอาณาเขตของสำนักชิงหลัว เมืองที่คึกคักจอแจของผู้ฝึกตน บุรุษหนุ่มนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยม สวมใส่ชุดนักศึกษายาวสีดำ จิบสุราจากถ้วยในมือ เงยหน้ามองผ่านหน้าต่างออกไปยังจุดศูนย์กลางของเมือง และเจดีย์สีดำซึ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้าเป็นครั้งคราว
ผิวของบุรุษหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างคล้ำ แต่กิริยาท่าทางเหมือนนักศึกษาและดูสุภาพเรียบร้อย ด้วยรูปลักษณ์ที่เหมือนกับรูปแกะสลักอย่างปราณีตเช่นนั้น รวมกับเสื้อผ้าในชุดนักศึกษา ทำให้เขาเหมือนกับผู้ทรงภูมิความรู้เช่นมนุษย์ธรรมดาอย่างแท้จริง
เขามีท่าทางเรียบง่าย แต่ก็มีท่าเดินที่สง่างาม ด้วยดวงตาที่สุกใสซึ่งฉายแววฉลาดออกมา ริมฝีปากที่เม้มจนดูเหมือนเป็นคนที่เข้าหาได้ยาก
นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเมิ่งฮ่าว เขามาถึงสถานที่นี้เมื่อหลายวันก่อน เพื่อยืนยันข่าวลือที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างเกี่ยวกับสำนักชิงหลัว
เขาต้องการพบฉื่อชิง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถตรงไปค้นหานางได้ เขาคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากการที่สำนักชิงหลัว ต้องการรวบรวมผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณเร่ร่อน เขาไม่แน่ใจว่าจะมีการรวบรวมเมื่อไหร่ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้าเพื่อรวบรวมข้อมูล ก่อนที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย
“จริงๆ แล้ว ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีเจดีย์แห่งถังอยู่ที่นี่…” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตากวาดมองไปยังเจดีย์สีดำที่อยู่ห่างไกลออกไป
ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าเจดีย์แห่งถัง มีอยู่แค่ในเมืองของมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น แต่ที่นี่ก็มีอยู่ ในเมืองของผู้ฝึกตน
เขามองไปอย่างเงียบๆ ที่เจดีย์แห่งถังสักพัก จากนั้นก็วางจอกสุราลง ในมือปรากฎเป็นแผ่นหยกโบราณที่เต็มไปด้วยรอยร้าว มันไม่ได้เป็นแผ่นหยกผนึกอสูร แต่เป็นเครื่องรางนำโชค ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้มาจากปรมาจารย์เอกะเทวะ
เขาได้ศึกษามันมาหลายครั้งในอดีต แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้มันทำอะไรได้บ้าง หลังจากบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ เขาก็ได้ข้อสรุปจากเบาะแสต่างๆ
“เครื่องรางนำโชคนี้จริงๆ แล้ว สามารถเคลื่อนย้ายสถานที่ของคนที่ถืออยู่ได้…มันเหมือนกับการเคลื่อนย้ายทางไกลแบบสุ่ม โชคร้ายที่มันเต็มไปด้วยรอยร้าว จึงทำให้ใช้ได้เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง” เขาพลิกเครื่องรางนำโชคนั้นไปมาอยู่ในมือ ด้วยการส่งจิตสัมผัสเข้าไป ทำให้รู้สึกว่ามันมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายทางไกลจริงๆ
“ไม่มีการกำหนดจุดหมายปลายทางในการเคลื่อนย้าย พูดอีกอย่างก็คือ ในการใช้หนึ่งครั้ง เครื่องรางนำโชคนี้ก็จะส่งข้าไปที่ไหนสักแห่ง ข้าคงไม่อาจทดสอบมันแบบสุ่มๆ ได้”
เขาชำเลืองมองไปที่เครื่องรางนำโชคอีกครั้ง จากนั้นก็เก็บมันกลับเข้าไป เมื่อพิจารณาถึงประประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากลมพายุของคุนเผิง เขาไม่ต้องการที่จะไปที่อื่นๆ ที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ ใครจะไปรู้ว่าถ้าใช้แล้ว เขาจะไปเจอสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน?
ขณะที่เขานั่งคิดอยู่นั้น ผู้ฝึกตนก็เริ่มเข้ามาในโรงเตี๊ยมนี้มากขึ้นเรื่อยๆ สถานที่นี้เพียงขายสุราชนิดเดียว เป็นสุราที่ถูกบ่มขึ้นมาจากไม้ไผ่ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกถูกเผาไหม้ในปาก แต่เมื่อไหลผ่านลำคอลงไป มันค่อยปลดปล่อยความร้อนออกมา เมื่ออยู่ในกระเพาะ มันก็ยิ่งรู้สึกร้อนมากขึ้น ทำให้รู้สึกร้อนไปทั่วทั้งร่าง เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ถ้าใครที่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ ก็อาจจะจบลงด้วยการรักมัน ถ้าไม่ชอบ ก็คงไม่ต้องการที่จะดื่มมันลงไป
ไม่ไกลจากเมิ่งฮ่าว กลุ่มของผู้ฝึกตนกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา
“ทุกคนรู้สึกระมัดระวังตัวกว่าที่เคย ในเร็วๆ นี้ มีผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณแปลกหน้ามากมายมาอยู่ในรอบๆ บริเวณนี้…”
“ใช่แล้ว พวกมันต่างก็เป็นผู้ฝึกตนเร่ร่อน ดีชั่วปะปนกันไป จริงๆ แล้ว ข้าเห็นคนผู้หนึ่งที่มีรังสีสังหารเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าคิดว่ามันต้องเป็นผู้ฝึกตนที่อำมหิตจากโม่ถู่ (ดินแดนสีดำ)”
“พวกมันทั้งหมดมาที่นี่เพื่อหวังผลตอบแทนจากสำนักชิงหลัว ซึ่งยอมทุ่มเทอย่างเต็มที่ พวกมันเสนอเม็ดยาหลัวตี้ (ตะกร้าดิน) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเม็ดยาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สำหรับขั้นพื้นฐานลมปราณ กล่าวกันว่าเจ้าโอสถจอมปีศาจแห่งสำนักจื่อยิ่นเป็นผู้ปรุงขึ้นมา ในสำนักชิงหลัวไม่มีใครสามารถปรุงมันขึ้นมาได้”
“ไม่ใช่ว่าพวกมันทำไม่ได้ เป็นเพราะพวกมันไม่สามารถต่างหาก เม็ดยาหลัวตี้แต่ละเม็ดจะถูกผนึกด้วยอาคมไว้ ไม่ว่าใครหรือสำนักไหน ถ้าพยายามที่จะปรุงมันขึ้นมา พวกมันก็จะต้องเผชิญกับอันตรายที่ถึงแก่ความตายโดยสำนักชิงหลัว”
จากน้ำเสียงของพวกมัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันอยากได้เม็ดยาหลัวตี้ ในท่ามกลางการพูดจาของพวกมัน มีบางคนเดินเข้ามาจากด้านนอก เป็นบุรุษหนุ่มที่สวมใส่ชุดยาวสีดำ สีหน้าของมันเย็นชาราวน้ำแข็ง และเมื่อมันย่างเท้าเข้ามาในโรงเตี๊ยม มันก็จ้องกวาดไปที่กลุ่มคนก่อนที่จะไปนั่งที่มุมห้อง หยิบชิ้นโลหะที่มีขนาดเท่าเล็บนิ้วพลิกเล่นไปมา ขณะที่มันนั่งครุ่นคิดอยู่ มองไปรอบๆ ห้องเป็นครั้งคราว
สีหน้าเมิ่งฮ่าวเรียบเฉยเหมือนเช่นเคย เขายกจอกสุราขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากและดื่มลงไป
เขานั่งอยู่ที่นั่นตลอดทั้งวัน ด้านนอก ดวงตะวันสาดส่องแสงอยู่ในท้องฟ้า เขาได้ยินเสียงพูดคุยเกี่ยวกับสำนักชิงหลัว กำลังรวบรวมผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณอีกเล็กน้อย
ใครก็ตามที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ก็สามารถเข้าร่วม และได้รับเม็ดยาหลัวตี้ โดยไม่สนใจความเป็นมา หรือเรื่องราวใดๆ
“อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกย้อนกลับไป สิ่งที่สำนักชิงหลัวต้องการคืออะไรกันแน่? พวกมันเป็นหนึ่งในห้าของสำนักอันยิ่งใหญ่ในดินแดนด้านใต้ ทำไมพวกมันถึงต้องรวบรวมผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณมากมายขนาดนี้? คงต้องมีอะไรแปลกๆ แอบแฝงอยู่ การที่เสนอเม็ดยาหลัวตี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร มันต้องมีอันตรายอย่างที่สุดอยู่เป็นแน่!”
“น้องซุน, ข้อมูลของเจ้าเก่าไปแล้ว จากข่าวลือที่ข้าได้ยินมา สำนักชิงหลัวได้ค้นพบแหล่งที่ตั้งของสนามรบโบราณ พวกมันพยายามที่จะค้นหามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกต่อต้านโดยเวทโบราณ ถ้าพวกมันมีผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณเพียงพอที่จะแทนที่ดวงตาของเวทอาคมนั้น พวกมันก็สามารถผ่านเข้าไปได้ เห็นได้ชัดว่า มันช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง”
“ข่าวลือทั้งหมดต่างก็บอกว่า สนามรบโบราณนั้นมีแต่สิ่งอัปมงคลอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมสำนักชิงหลัวถึงได้เสนอเม็ดยาหลัวตี้!”
ถึงแม้เสียงของพวกมันแผ่วเบา และฟังไม่ค่อยชัดเจน แต่จากที่เมิ่งฮ่าวมีเสาแห่งเต๋าที่สมบูรณ์สามต้น และสามารถที่จะรับมือพื้นฐานลมปราณระดับสุดท้ายได้ การได้ยินเสียงพูดคุยขอแต่ละคนนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา
พื้นฐานสมบูรณ์เป็นตำนานที่ไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน ตลอดหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา เมื่อไหร่ที่เขาบรรลุถึงระดับกลางขั้นพื้นฐานลมปราณ เขาก็จะเทียบเท่ากับเต้าจื่อของสำนักและตระกูลต่างๆ
ซึ่งกล่าวได้ว่า การมีพื้นฐานสมบูรณ์เป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก อันตรายนี้เกิดจากเมื่อเวลาที่จะผ่านเข้าไปยังสร้างแกนลมปราณ ตลอดช่วงเวลานั้น ทัณฑ์แห่งสวรรค์ก็จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น แข็งแกร่งยิ่งกว่าขั้นพื้นฐานลมปราณมากนัก เมิ่งฮ่าวไม่มั่นใจว่าเขาจะผ่านมันไปได้หรือไม่ ในความเป็นจริง ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเซียนโลหิต และวัดโบราณไท่เอ้อแล้ว เขาก็คงต้องตายภายใต้ทัณฑ์สายฟ้าอย่างแน่นอน
“อืม, สร้างแกนลมปราณเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก ข้าคิดเกี่ยวกับมันได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่ควรที่จะกังวลมากเกินไป” เมิ่งฮ่าวดื่มสุราลงไปอีก ความรู้สึกอบอุ่น ถูกเผาไหม้ กระจายไปทั่วร่าง เขาคิดไปถึงข้อมูลจากกระดองเต่าที่ได้มาจากซ่างกวนซิว ซึ่งอธิบายถึงพื้นฐานสมบูรณ์ และแกนสีทองที่สมบูรณ์
“ข้าสงสัยนักว่า เมื่อข้าบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณ ข้าจะสามารถสร้างแกนสีทองที่สมบูรณ์ได้หรือไม่? มันจะเหมือนกับอะไร?” เขาลังเลสักพัก จากนั้นก็ปล่อยวางเรื่องเหล่านี้ลง เขาตัดสินใจที่จะเริ่มรวบรวมส่วนผสม ที่จำเป็นสำหรับการกลั่นสกัดแกนสีทองที่สมบูรณ์”
เวลาโพล้เพล้ใกล้เข้ามา มีผู้ฝึกตนเหลืออยู่ในโรงเตี๊ยมไม่มากนัก เมิ่งฮ่าวกำลังจะลุกขึ้นและจากไป ทันใดนั้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขาหันหน้าไป มองออกไปที่มุมด้านหลังโรงเตี๊ยม ซึ่งมีบุรุษหนุ่มชุดยาวสีดำนั่งอยู่ มันไม่ได้ขมวดคิ้วอีกต่อไป แต่จ้องอย่างเย็นชามายังเมิ่งฮ่าว
รังสีสังหารเริ่มกระจายออกมาจากตัวมันอย่างช้าๆ ล้อมรอบตัวมัน และกลายเป็นสิ่งที่คล้ายภูเขาซากศพและทะเลโลหิต
“เจ้ามีบางสิ่งที่ข้าต้องการ” มันพูดเสียงเย็นชา จ้องนิ่งมายังเมิ่งฮ่าว