Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 137

ตอนที่ 137

ปรมาจารย์รุ่นที่สิบของตระกูลหวัง

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้…

ดินแดนด้านใต้ แคว้นหยุนเทียน (เมฆาสวรรค์)

แคว้นนี้ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของดินแดนด้านใต้ ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล กว้างใหญ่กว่าแคว้นจ้าวอย่างมากมาย แม้แต่ในดินแดนด้านใต้ แคว้นเช่นนี้มีอยู่ไม่มากนัก

ภายในแคว้นหยุนเทียน ไม่มีสำนักใดๆ ตั้งอยู่ มันเป็นหนึ่งในแคว้นที่ไม่ธรรมดา ซึ่งไม่มีสำนักตั้งอยู่เลย แต่ในแคว้นนี้มีตระกูล ตระกูลนี้แซ่หวัง และแคว้นนี้…ก็แซ่หวังด้วยเช่นกัน!

สมาชิกบุรุษของตระกูลหวัง ซึ่งเป็นมุนษย์ธรรมดา และไม่สามารถฝึกวิชาเซียน ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ในแคว้นหยุนเทียน ใครที่สามารถฝึกวิถีเซียน ก็จะเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหวัง

สำหรับผู้ฝึกตนที่ไม่ได้แซ่หวัง พวกมันก็ไปก่อตั้งสาขาเป็นผู้ช่วยของตระกูลหวัง สืบทอดแนวทางเช่นนี้จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งไปเรื่อยๆ

หลังจากที่เมิ่งฮ่าวกลืนเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์ลงไป และโผล่ออกมาจากเขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต เสียงก็ได้ยินออกมา เสียงนี้มาจากภูเขาลูกที่สิบ ท่ามกลางภูเขาต้องห้ามสามพันแห่ง ภายในแคว้นหยุนเทียน มันเป็นเสียงของการหายใจ

ภูเขาต้องห้ามสามพันแห่งของตระกูลหวังไม่ได้เชื่อมต่อกัน พวกมันกระจัดกระจายอยู่ทั่วในแคว้นหยุนเทียน ภายใต้ของภูเขาแต่ละลูกเป็นโลงไม้ มีเพียงสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหวังเท่านั้น ที่หลังจากตายไปแล้ว จะถูกฝังอยู่ภายใต้หนึ่งในภูเขาต้องห้ามเหล่านี้

จากตำนานที่เล่าต่อๆ กันมา หนึ่งในปรมาจารย์ของตระกูลหวังเมื่อหนึ่งหมื่นปีมาแล้ว ถูกฝังอยู่ในหนึ่งของภูเขาต้องห้าม แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าภูเขาลูกไหน

มีความลับอยู่มากมายภายในตระกูลหวัง ซึ่งห้าสำนักใหญ่ส่วนมากก็มีเพียงข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับมัน ที่สามารถค้นหาร่องรอยเบาะแสได้ในบันทึกโบราณ แต่ความลับของตระกูลหวังไม่มีที่สิ้นสุด และประวัติศาสตร์ของพวกมันก็ลึกล้ำยิ่ง จากตำนานที่เล่าต่อๆ กัน พวกมันมาจากดวงดาว…

ตอนนี้, ภายในภูเขาลูกที่สิบ ซึ่งมีแต่แสงสีแดงเข้ม เป็นแสงของโลหิตและอัคคี ที่นี่เป็นทะเลลาวาที่กำลังเดือดพล่าน ซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยดับมาเลยตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ลึกลงไปภายในซอกหลืบของปล่องภูเขาไฟนี้เป็นโลงสีแดง

โลงศพนี้ไม่มีฝาปิด ที่นอนอยู่ด้านในเป็นชายชรา ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น และร่างกายของมันก็ซูบผอมและแห้งเหี่ยว ราวกับว่ามันได้ตายมานานมากแล้ว และไม่มีกลิ่นอายความตายกระจายออกมาจากซากศพนี้

จริงๆ แล้ว ดวงตาของมันกำลังเปิดขึ้นอย่างช้าๆ และเมื่อมันลืมตาขึ้น ทะเลลาวาที่กำลังเรียบสงบ…ทันใดนั้นก็เริ่มขยับไปมา มันไม่ได้ลุกไหม้มากขึ้น แต่ความร้อนของมันดูเหมือนจะลดลงเล็กน้อย

“ข้ารู้สึกถึง…กลิ่นอายของความสมบูรณ์พร้อม…” ชายชราพึมพำ เสียงของมันแหบแห้งเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามันไม่ได้พูดจาเป็นเวลานานมากแล้ว เมื่อมันพูดขึ้นมา ทั่วทั้งภูเขาลูกที่สิบนี้ก็เริ่มส่งเสียงกึกก้องออกมา

เสียงกึกก้องนี้ทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลหวังรับรู้ได้ในทันที เงาร่างมากมาย ทันใดนั้น ก็โผล่ออกมาจากด้านในของคฤหาสน์ตระกูลหวัง

ใบหน้าของสมาชิกชราของตระกูล ต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จากความเข้าใจของพวกมัน ภายในภูเขาลูกที่สิบนี้ เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ของพวกมัน!

“สมบูรณ์พร้อม…” บุคคลที่อยู่ด้านในของโลงศพกล่าว ดวงตาของมันสาดประกายด้วยแสงอันลึกลับ

เมื่อดวงตาของมันแวบแสงขึ้น เสียงกึกก้องของภูเขาลูกที่สิบก็ดังรุนแรงมากยิ่งขึ้น กลุ่มคนที่มาจากคฤหาสน์ตระกูลหวังทั้งหมดต่างก็คารวะมันด้วยความเคารพ

“จัดเตรียมศิลากำเนิดใหม่สามพันก้อน!” ชายชราในโลงศพพูด เสียงของมันดังก้องออกมาจากภูเขาลูกที่สิบ “ถึงเวลาที่ข้าจะกลับมาเกิดใหม่แล้ว!” เมื่อพวกมันได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของกลุ่มชายชราที่เป็นสมาชิกตระกูลหวัง ต่างก็มีความตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้น

“ข้าผนึกพื้นฐานฝึกตนของข้าไว้ที่จุดสูงสุดของขั้นค้นหาเต๋า เดิมที ข้าก็คิดเหมือนกับคนรุ่นเก่าๆ ว่าข้าทำได้เพียงแค่ดิ้นรนอยู่ที่หน้าประตูแห่งความตาย ได้แต่จ้องไปยังดินแดนแห่งเซียนและถอนหายใจ โดยไม่รู้และไม่สามารถก้าวไปถึงขั้นสุดท้าย ข้าไม่อาจก้าวเข้าไปในดวงดาว และได้แต่กลับมายังกลุ่มสมาชิกของตระกูล…”

รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าที่แห้งเหี่ยวของชายชราในโลงศพ เป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความน่ากลัวที่แปลกๆ อย่างรุนแรง

“แต่ตอนนี้…ข้ามีความหวังแล้ว…” รอยยิ้มของมันกว้างมากขึ้น และดวงตาก็ส่องประกายความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น

“ตำนานท่านผู้ก่อตั้งของตระกูลหวัง ที่ได้ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ท่านกำเนิดมาจากคนธรรมดา แต่ในปีหนึ่ง ท่านสามารถแย่งชิงพื้นฐานลมปราณได้จากใครบางคน และจากนั้นก็เดินไปบนวิถีทางแห่งความแข็งแกร่ง…และท่านก็กลายเป็นตำนาน”

“ตอนนี้, พื้นฐานสมบูรณ์ได้ปรากฎขึ้น ข้าก็ควรจะเดินตามวิถีทางของตำนานท่านผู้ก่อตั้งด้วยเช่นกัน ข้าจะแย่งชิงความสมบูรณ์พร้อม และจากนั้นก็ก้าวไปอีกขั้น, เซียนอมตะ!”

“เว้นแต่ว่า…พื้นฐานฝึกตนของคนผู้นี้อ่อนแอมากเกินไป จนไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ข้าเป็นเซียนอมตะได้ ข้าจำเป็นต้องรออีกสักนิด, แค่คอยอีกไม่นาน, รอคอย…” ภายในโลงศพ รอยยิ้มของชายชราเริ่มฮีกเหิมมากขึ้น จากนั้นผ่านไปสักพัก มันก็ปิดตาลง ลาวาอัคคีภายในภูเขาลูกที่สิบก็เริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้งพร้อมเปลวไฟที่ยากจะดับลง

หลายวันหลังจากนั้น ภายใต้ท้องฟ้าที่ไร้กลุ่มก้อนเมฆจนดูเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด

ลำแสงสีเขียวเข้มเจิดจ้า พุ่งฝ่าอากาศไป นี่คือเมิ่งฮ่าว ที่กำลังพุ่งผ่านท้องฟ้าไป สำหรับโจวต้าหยา เมิ่งฮ่าวรู้มานานแล้ว ตั้งแต่ที่คนผู้นี้ติดตามเขามา แต่เขาก็ยังปล่อยมันไป แน่นอนว่า ยังมีบางอย่างที่มันไม่อาจได้ยิน เนื่องจากเมิ่งฮ่าวป้องกันไว้ แต่เมื่อมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าอ้วน ดังนั้นเขาจึงได้ปล่อยมันไป

“ต้องใช้หินลมปราณมากมาย เพื่อที่จะลอกเลียนแบบเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์ ข้ายังมีเหลืออยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก…” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เมื่อตรวจถุงแห่งจักรวาลดู ก็ต้องถอนหายใจออกมา

“ก่อนที่ข้าจะเข้ามาสู่โลกแห่งผู้ฝึกตน ข้าก็ไม่ค่อยมีเงิน หลังจากที่ข้าเป็นผู้ฝึกต้นขั้นรวบรวมลมปราณ ข้าก็มักจะมีหินลมปราณอยู่น้อยนิด ตอนนี้ข้าบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ แต่…ข้าก็ยังคงมีหินลมปราณอยู่เพียงเล็กน้อย”

เขาขมวดคิ้วเมื่อความต้องการหินลมปราณพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้พลังฝึกตนของเขาบรรลุถึงระดับนี้ ความต้องการหินลมปราณก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

“และยังมีพิษจากดอกปี่อ้านสามสีอีก ถ้าข้าไม่อาจขจัดมันได้ ก็จะกลายเป็นปัญหาอย่างแท้จริง” เขาขมวดคิ้วลึกมากขึ้น

“ยิ่งไปกว่านั้น” เขาพึมพำกับตัวเอง “ถึงแม้ข้าจะแข็งแกร่งมากขึ้นในตอนนี้ จากการที่ข้ามีพื้นฐานสมบูรณ์ แต่ข้าก็ถูกตัดขาดจากสวรรค์และปฐพี ไม่มีทางที่จะดูดซับลมปราณได้…มีทางเดียวที่จะได้ลมปราณมาก็คือการกลืนกินเม็ดยา แต่ข้าคงไม่อาจทำเช่นนี้ได้ตลอดไป…”

เขาก็ได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว สำหรับโอกาสที่สอง เขาก็ต้องเลือกที่จะกินเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์อย่างแน่นอน

“ได้บางอย่าง ก็ต้องเสียบางส่วน มันก็ยุติธรรมดี” เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น ตบไปที่ถุงแห่งจักรวาล หยิบหน้ากากสีโลหิตออกมา ความรู้สึกอบอุ่นเติมเต็มอยู่ในจิตใจ

“สถานการณ์ของข้าในตอนนี้ อย่างน้อยข้าก็ได้ครอบครองขุมทรัพย์เซียนโลหิต ตอนนี้ก็เพียงแค่รอให้อ๋าวเฉี่ยนตื่นขึ้นมา จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็คงดีขึ้น”

ดวงตาของเขาสาดประกายด้วยความมุ่งหวัง เขาส่งจิตสัมผัสลึกลงไปในหน้ากากสีโลหิต สัมผัสได้ถึงอ๋าวเฉี่ยนที่กำลังจำศีลอยู่ เขาไม่รู้ว่ามันจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ สัมผัสได้แต่แรงกดดันอันแข็งแกร่งที่กระจายออกมาจากตัวมัน เป็นแรงกดดันที่มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“แล้วก็ธงนี่อีก” ดวงตาเมิ่งฮ่าวส่องประกาย เมื่อจิตสัมผัสของเขาส่องไปบนธงเก่าๆ ที่มีสามแฉกนี้ ก็พบว่ามันเหมือนกับมหาสมุทร เมื่อเปรียบเทียบกัน จิตสัมผัสของเมิ่งฮ่าวช่างน้อยนิดจนน่าเวทนา เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไรกับมัน

แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงอำนาจอันน่าเหลือเชื่อที่อยู่ภายในของมัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอำนาจที่เพียงพอต่อการสร้างความสั่นสะเทือนให้กับสวรรค์และปฐพี

“พื้นฐานฝึกตนของข้าไม่เพียงพอ…ถึงแม้ของวิเศษชิ้นนี้จะค่อนข้างเก่าคร่ำคร่า มันก็ยังอยู่ในเขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต มันต้องมีคุณค่าเป็นอย่างมาก เมื่อพื้นฐานฝึกตนของข้าแข็งแกร่งเพียงพอ ข้าก็คงจะใช้มันได้ และข้ามั่นใจว่ามันต้องมีพลังเพียงพอ ที่จะสร้างความตื่นตกใจให้กับสวรรค์อย่างแน่นอน”

จิตใจเขาสั่นระรัวด้วยความคาดหวัง ถอนจิตสัมผัสกลับคืนมา จากนั้นก็มองเห็นตัวอักษรที่เขียนอยู่บนแฉกที่สาม, จี้

“ทำไมถึงมีตัวอักษรจี้บนธงผืนนี้? ใช่เป็นแซ่หรือไม่?” เขาคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เพ่งความสนใจไปบนม้วนกระดาษที่อยู่ในหน้ากากสีโลหิตนั้น ทันทีที่เขามองไปที่มัน เขาก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าศีรษะจะแยกออกเป็นสองส่วน

กับบุคคลทั่วไป ความเจ็บปวดนี้ช่างรุนแรงจนยากจะรับได้ แต่สำหรับเมิ่งฮ่าว มันไม่อาจเปรียบเทียบได้ กับความเจ็บปวดที่เข้าต้องทนทุกข์ทรมาน ในช่วงที่พิษกำเริบได้เลย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมา แต่เมื่อเพ่งไปที่ความเจ็บปวดที่คล้ายจะแยกศีรษะออกไปนั้น เขาก็มองเห็นวิชาพิเศษบางอย่าง

“ซื่อหลิงจิง! (คัมภีร์กลืนวิญญาณ)” จิตใจขอเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน เมื่อตัวอักษรสีโลหิตสามตัว ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้า และประทับลงไปในส่วนลึกของจิตใจเขา จนไม่สามารถลบเลือนไปได้

ศีรษะของเมิ่งฮ่าวเริ่มเกิดเสียงหึ่งๆ ขึ้น เมื่อมันเต็มไปด้วยเสียงเก่าแก่โบราณ ยากที่จะบอกว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี “ถ้าเจ้าฝึกฝนตามคัมภีร์นี้ เจ้าก็สามารถควบคุมโลหิตและวิญญาณ พร้อมทั้งหลอมรวมพวกมันเข้าไปในร่างของเจ้าได้ กลั่นสกัดพวกมันเข้าไปในร่างแห่งโลหิต, วิญญาณแห่งโลหิต, เซียนโลหิต, เต๋าโลหิต!”

“มีวิธีการฝึกวิถีแห่งเซียนมากมายนับไม่ถ้วนในสวรรค์และปฐพีนี้ สายเลือดแห่งขุมทรัพย์ของข้า เมื่อย้อนกลับไปยังผู้ก่อตั้งคนแรกที่ทรงพลัง สายเลือดนี้ประกอบไปด้วยความปรารถนาของท่าน และสามารถส่งต่อไปถึงหมื่นรุ่น เมื่อสายเลือดนี้ตื่นขึ้นมาในทายาทรุ่นต่อไป ทายาทรุ่นนั้นก็จะได้ครอบครองพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่!”

“วิชานี้สามารถใช้เพื่อแย่งชิงพรสวรรค์ และจากนั้นก็จะสัมผัสได้ถึงความปราถนาอันยิ่งใหญ่ของผู้ก่อตั้ง กลั่นสกัดร่างกาย สร้างพรสวรรค์ให้เป็นของเจ้า บางคนสามารถที่จะนำวิญญาณของผู้ก่อตั้งมาสู่โลกนี้ เพื่อทำลายเหล่าเซียนและปีศาจทั้งหลาย!”

“การฝึกฝนวิชานี้ของข้าเป็นการเหยียดหยามสวรรค์ และไม่ต้องกลัวภูติผีและเหล่าเทพต่างๆ สามารถทำลายหลุมฝังศพแห่งสวรรค์เพียงแค่พลิกฝ่ามือ การก้มศีรษะของเจ้า จะทำให้สวรรค์และปฐพีเศร้าสลด!” คัมภีร์เริ่มจารึกลงไปในจิตใจเมิ่งฮ่าวอย่างช้าๆ จากนั้นข้อมูลมากมายมหาศาล ที่เกี่ยวกับหน้ากากก็ไหลเข้าไปในจิตใจ

“ข้าคือเซียนโลหิต ข้าได้ทำสงครามกับสวรรค์มาตลอดช่วงชีวิตของข้า ข้าพบกับความพ่ายแพ้เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น! ข้าแย่งชิงวิญญาณมาจากสวรรค์และปฐพี เพราะข้าต้องการแย่งชิงสายเลือดของตระกูลจี้มา สวรรค์จึงได้รังเกียจข้า และทำลายข้ามาอย่างยาวนาน ร่างกายของข้าอาจจะถูกทำลายลง แต่ไม่ใช่ความปรารถนาของข้า!”

“ข้าไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ เนื่องจากความพ่ายแพ้ทั้งสามครั้ง ดังนั้น ข้าจึงได้คิดค้นวิชาขึ้นมาสามชนิด ซึ่งประกอบด้วย ดรรชนีโลหิต, ฝ่ามือโลหิต และสังหารโลหิต!

“ทายาทแห่งเต๋าของข้า อย่าลืมว่าเจ้าต้องแย่งชิงสายเลือดของตระกูลจี้มาให้ได้ เพื่อให้เต๋าแห่งสวรรค์ร้องไห้ และปฐพีเศร้าโศก! จำไว้ว่าวิชาของเซียนโลหิต ก็คือเวทเก้าสังหาร!

“จำไว้ว่า วันที่เจ้าบรรลุเต๋า ให้สวมหน้ากากของข้า และยกธงสามแฉกขึ้น เพื่อต่อต้านความคร่ำครึ, โค่นล้มสวรรค์!”

“ไร้หน้า, หนึ่งคำ, ไฟสงครามรวมเป็นหนึ่ง”

“สะบั้นเมฆา, พิรุณโลหิต, ทะเลเต็มท้องฟ้า”

“จับกุมเหล่าเทพ, เดินทัพรุดหน้า, ไฟกลืนหอคอย”

“แปลงวิญญาณและสายเลือดทั้งหลาย ให้กลายเป็นเก้าพลังสังหาร!”

ร่างของเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และเขาก็ลืมตาขึ้นมา เขายังคงบินอยู่ในท้องฟ้า ด้านบนเป็นความว่างเปล่าขนาดใหญ่ และเทือกเขาที่แห้งแล้ง ดวงตาของเขายังคงเหม่อลอย และจิตใจก็ยังดังก้องด้วยเสียงโบราณนั้น

“แย่งชิงสายเลือด, บรรลุความสำเร็จ ความเข้มแข็งของสายเลือดขึ้นกับความรุ่งโรจน์ของต้นตระกูล…แย่งชิงพรสวรรค์ของสายเลือดนั้น สามารถสกัดกลั่นเป็นร่างของโลหิต…ร่างที่กลั่นมาอยู่ด้านนอกของร่างกาย…”

“ไม่มีใครสามารถยึดพลังของสายเลือดนั้นมาได้ทั้งหมด โลหิตของสามรุ่นใช้เพื่อกลั่นเป็นร่างจำแลงโลหิต, ถ้าได้โลหิตของหกรุ่นมารวมกัน ก็จะสำเร็จเป็นวิญญาณโลหิต, ถ้ามีโลหิตของทั้งเก้ารุ่น ก็จะเสร็จสมบูรณ์เป็นวงจรอันยิ่งใหญ่ของวิญญาณโลหิต!”

“บรรพบุรุษเป็นตัวกำหนดความเข้มแข็งของสายเลือด ยิ่งคนรุ่นเก่าๆ มีความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ วิญญาณโลหิตก็จะยิ่งเข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น!”

“ดังนั้นมันจึงกลายเป็นความตาย… สายเลือดเก้ารุ่น, เก้าผู้แข็งแกร่ง พวกมันกลายเป็นความตายทั้งเก้า, เก้าความตายรวมกันเป็นหนึ่ง นี่คือ…เต๋าโลหิต!”

เมิ่งฮ่าวหอบหายใจ แห้งไปทั้งปาก ในตอนนี้ เขาไม่ได้บินอยู่อีกต่อไป เขาได้ร่อนลงไปบนภูเขาที่แห้งแล้งนั้น นั่งลงขัดสมาธิ รู้สึกถึงคัมภีร์กลืนวิญญาณกำลังปรากฎขึ้นในจิตใจเป็นระยะๆ

นี่เป็นคัมภีร์ที่เป็นขุมทรัพย์อันสมบูรณ์ แต่ภายในขุมทรัพย์นี้มีบางอย่างที่ ปกคลุมเมิ่งฮ่าวให้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของโลหิต เขานั่งคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่ดวงตาจะเริ่มส่องประกาย

“ไร้หน้า, หนึ่งคำ, ไฟสงครามรวมเป็นหนึ่ง”

“สะบั้นเมฆา, พิรุณโลหิต, ทะเลเต็มท้องฟ้า”

“จับกุมเหล่าเทพ, เดินทัพรุดหน้า, ไฟกลืนหอคอย”

“แปลงวิญญาณและสายเลือดทั้งหลาย ให้กลายเป็นเก้าพลังสังหาร!”

“มีเวทอาคมสี่แบบอยู่ภายใน…” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนที่จะมองลงไปยังหน้ากากในมือ หน้ากากนี้ไร้หน้าโดยสิ้นเชิง ไม่มีดวงตา, จมูก, หู หรือปาก เมื่อเขามองไปที่มัน มือของเขาก็เริ่มอบอุ่นขึ้น และดวงตาก็สาดประกาย ดูเหมือนว่าเขากำลังจะสวมหน้ากากลงไปบนใบหน้า

ขณะที่หน้ากากอยู่ใกล้กับใบหน้าเขา มันก็อุ่นมากยิ่งขึ้น และเริ่มดิ้นไปมา กลิ่นอายโลหิตกระจายออกมา ชั่วขณะที่เมิ่งฮ่าวกำลังจะวางลงไปบนใบหน้าของเขา กระจกทองแดงที่อยู่ในถุงสมบัติ ทันใดนั้น ก็ส่งเสียงแหลมเล็กที่คล้ายเสียงร้องของนกออกมา

เสียงนกร้องนั้นดังเข้าไปในจิตใจของเมิ่งฮ่าว และทำให้ใจของเขาสั่นสะท้าน แสงในดวงตาทันใดนั้นก็เริ่มชัดขึ้น และทันใดนั้น เขาก็วางหน้ากากลงไป ดวงตาเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง

“อยากจะตายหรืออย่างไร, เจ้าวิญญาณไร้ร่าง?!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!