Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1417

ตอนที่ 1417

รู้ได้อย่างไร?

ในช่วงเวลาเดียวกับที่ลำแสงพุ่งออกไปจากดวงดาว เข้าไปสู่ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต มีสถานที่อยู่สามแห่งบนดาวชางหมางเอง ที่เสียงเต้นรัวของหัวใจผู้คนกำลังดังก้องออกมา

สถานที่แห่งแรกเป็นสวนที่งดงามจนคล้ายกับเป็นแดนเซียน ตรงทะเลสาบในหุบเขาแห่งหนึ่ง มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างทะเลสาบ สวมใส่ชุดยาวสีทอง เงยหน้ามองขึ้นไป และขณะที่ทำเช่นนั้น ม่านตาปกติธรรมดาก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็บิดเบี้ยวไปมาจนกลายเป็นรูปวงรี

“มีใครบางคนลงมาอีกแล้ว เป็นเรื่องง่ายสำหรับกลุ่มคนรุ่นหลังที่จะค้นพบสุสานของท่านปรมาจารย์จริงๆ?!”

“ถ้าวิธีการอยู่ในจุดสูงสุดง่ายดายเช่นนั้น หลังจากที่ผ่านไปนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน คนที่ประสบความสำเร็จต้องมีไม่เพียงแค่สามหรือห้าคนเท่านั้น?”

สถานที่แห่งที่สองอยู่ห่างไกลจากสถานที่แห่งแรกเป็นอย่างมาก เป็นถ้ำน้ำแข็งซึ่งเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะที่ลอยพลิ้วไปมา หญิงสาวนางหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น มองขึ้นไปในท้องฟ้าและลำแสงนั้น ดวงตาดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยการหวนรำลึก รวมทั้งอารมณ์อันซับซ้อนอื่นๆ หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ ทั้งหมดนั้นก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

“ข้าไม่ต้องการค้นหาสุสานของท่านปรมาจารย์ หรือว่าอยู่ในจุดสูงสุด ข้าต้องการเพียงแค่…กลับบ้านไปเท่านั้น”

หญิงสาวค่อยๆ กลืนหายเข้าไปในเกล็ดหิมะที่ตกลงมาอย่างแน่นหนาตรงด้านหลังอย่างช้าๆ

บังเอิญว่าตรงสถานที่แห่งที่สามแทบจะตรงกันข้ามกับแห่งที่สองโดยสิ้นเชิง เป็นทะเลทรายอันร้อนแรง พายุทรายโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ถ้ามองดูให้ละเอียด ก็พอจะมองเห็นภาพอันเลือนรางของคนผู้หนึ่ง กำลังเดินผ่านพายุทรายนั้น

เมื่อลำแสงพุ่งขึ้นมา คนผู้นั้นก็แหงนหน้ามองขึ้นไป และจากนั้นก็เริ่มกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงแหลมเล็ก

“มาอีกหนึ่งคนแล้ว ครั้งนี้จะเป็นใคร?”

พื้นดินแห่งดาวชางหมางสั่นสะเทือน ขณะที่ลำแสงกระจายเป็นระลอกคลื่นออกไปในท้องฟ้า ยากที่จะกล่าวได้ว่าเป็นเพราะร่างเต๋าไร้สิ้นสุดของเมิ่งฮ่าวหรือไม่ แต่สิ่งมีชีวิตมากมายที่อยู่ภายในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตในตอนนี้ กำลังให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้

ในตอนนี้เองที่เงาร่างๆ หนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอยู่ภายในลำแสงอย่างฉับพลัน เป็นวิญญาณไร้ร่างที่กายเนื้อแหลกเละอยู่รอบๆ บริเวณนั้น เห็นได้ชัดว่าวิญญาณนี้กำลังดิ้นรนที่จะลงไปยังด้านล่าง

เห็นได้ชัดว่ามีเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นกำลังปิดกั้นเส้นทางของมันไว้ และขณะที่วิญญาณนั้นเริ่มแตกกระจายออกไป ตรงจุดศูนย์กลางของวิญญาณเป็นดวงตาสีม่วงหนึ่งดวง ที่กระจายเป็นบรรยากาศอันคลุ้มคลั่งออกมา และพุ่งลงไปยังลำแสงที่อยู่บนดาวชางหมางอย่างต่อเนื่อง!

ตลอดช่วงขั้นตอนนั้น วิญญาณก็กระจัดกระจายออกไปมากขึ้น แต่เวลาเดียวกันนั้น มันก็เพิ่มความรวดเร็วมากขึ้น เสียงระเบิดราวฟ้าคำรามค่อยๆ ดังก้องออกมาจากภายในลำแสงอย่างช้าๆ

ในที่สุดวิญญาณก็เข้าไปใกล้ดาวชางหมาง แต่ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะพบเจอกับพลังขัดขวางอันน่าเหลือเชื่อบางอย่าง

และวิญญาณก็เริ่มกระจายหายไปโดยสิ้นเชิง เสียงแผดร้องด้วยความไม่ยินยอมดังก้องออกมา และจากนั้นเงาร่างแปดสายก็ปรากฏขึ้นมาอยู่รอบๆ วิญญาณดวงนั้น

ถ้าสังเกตดูให้ละเอียดก็จะเห็นว่าแปดเงาร่างเหล่านั้นก็คือเจ้าสำนักและผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้อีกเจ็ดคน พวกมันปลดปล่อยพลังอันมหาศาลออกมาเพื่อทำลายเกราะป้องกันให้พังทลายลงไป ทำให้ดวงตาสีม่วงสาดประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ขณะที่คนทั้งแปดพามันลงไปยังดาวชางหมาง

พวกมันเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ทำลายสิ่งกีดขวางทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นมา เมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นเข้าไปใกล้ดาวชางหมางอย่างแท้จริง วิญญาณก็กระจัดกระจายหายไป เหลือทิ้งไว้แต่ดวงตาข้างนั้น

ดวงตากระจายเป็นความบ้าคลั่งออกมา แต่ก็มีความเจ็บปวดอยู่ด้วยเช่นกัน ปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วน จนแทบจะพังทลายลงไป เห็นได้ชัดว่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดไม่อาจจะทำอะไรได้ นอกจากเพิ่มความรวดเร็วและชักนำดวงตาให้ตรงไปยังร่างกายที่พวกมันจัดเตรียมไว้

เวลาเดียวกันนั้นผู้ฝึกตนที่อยู่บนดาวชางหมางก็มองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ และจิตใจก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด

เสียงสวดมนต์ท่องคัมภีร์จากผู้ฝึกตนแห่งชางหมางพ่าย ดูเหมือนว่าจะประกอบไปด้วยพลังที่แปลกประหลาดดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณนั้น และหลอมรวมเข้าไปในลำแสงเพื่อช่วยไม่ให้ดวงตาพังทลายลงไป

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไป ขณะที่ดวงตาสีม่วงบรรลุถึงดาวชางหมาง พุ่งผ่านพื้นดินเข้าไปสู่ด้านในของดวงดาว และจากนั้นก็ไปปรากฏขึ้นในอากาศเหนือแท่นบูชาที่เก้า ซึ่งมีร่างเมิ่งฮ่าวนอนแน่นิ่งอยู่

ในตอนนี้ดวงตาแทบจะเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวโดยสิ้นเชิง และดูเหมือนว่ามันจะพังทลายลงไปได้ทุกเมื่อ

แต่ในตอนนี้เองที่มันกระแทกลงไปบนหน้าผากของเมิ่งฮ่าว และเริ่มเจาะไชเข้าไป

ในที่สุดดวงตาก็หลอมรวมเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว ผู้ยิ่งใหญ่อีกแปดคนบนแท่นบูชา ต่างก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน

“สำเร็จแล้ว!!” พวกมันร้องตะโกน ลืมตาขึ้นมาและหัวเราะด้วยเสียงที่เย็นชา

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ซึ่งก็คือเจ้าสำนัก มันแค่นเสียงเย็นชาขณะที่ลืมตาขึ้นมา

“สหายเต๋า ก่อตั้งค่ายกลผนึกวิญญาณ ช่วยตี้จิ่วจื้อจุนสะกดข่มวิญญาณไร้ร่างภายในร่างนั้น!” มันกล่าวเสียงราบเรียบ โบกสะบัดมือออกไป และจากนั้นก็ชี้นิ้วตรงไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนแท่นบูชาที่เก้า

ผู้ยิ่งใหญ่อีกเจ็ดคนดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยต่อคำสั่งของเจ้าสำนัก ราวกับว่าพวกมันได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว พวกมันหัวเราะหึๆ ด้วยเสียงเย็นชา เวลาเดียวกันนั้นก็ปลดปล่อยพลังการฝึกตนออกมา ส่งผลให้ระลอกคลื่นพุ่งออกไปในทั่วทุกทิศทาง ด้วยการมีเจ้าสำนักเป็นผู้นำ พวกมันรวมพลังกันเพื่อก่อตัวเป็นเครื่องหมายผนึก ให้ตกลงไปบนร่างเมิ่งฮ่าว

ภายในตะเกียงสัมฤทธิ์ วิญญาณของเมิ่งฮ่าวกำลังเตรียมพร้อมที่จะโจมตีไปยังดวงตาสีม่วง ในทันทีที่มันผ่านเข้ามา แต่จากนั้นสีหน้าก็ต้องสลดลง เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าวิญญาณของตนเองติดกับอยู่ในเกราะป้องกัน ไม่สามารถจะโผล่ออกไปได้

ในตอนนี้เองที่เจ้าสำนักเริ่มกล่าวขึ้น

“สหายเต๋า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่กลับทำตัวราวกับเป็นเมิ่งฮ่าวจากอาณาจักรขุนเขาทะเล ถึงแม้เหล่าฟูไม่รู้ว่าวิญญาณไร้ร่างของเจ้าหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และไม่อาจจะพิสูจน์ได้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่…”

“แต่ก็ยังคงเชื่อว่า เจ้าไม่ได้มาโดยบังเอิญอย่างแน่นอน!”

“ในตอนที่พวกเราต้องการซากศพ เจ้าก็มาพอดี”

“บางทีมันอาจจะเป็นความบังเอิญจริงๆ บางทีก็เป็นความบังเอิญที่เจ้ากลืนกินวัตถุดิบอันล้ำค่าของชางหมางพ่ายไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ทำให้เหล่าฟูต้องฉุกคิดขึ้นว่าวิญญาณของเจ้ายังคงหลงเหลืออยู่ และพยายามดิ้นรนต่อสู้ แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นความบังเอิญอันเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บอย่างสาหัสที่เจ้าได้รับมา ทำให้ต้องอ่อนแอลงไปเช่นนั้น”

“เป็นไปได้ว่าเจ้าได้ยินเหล่าฟูพูดคุยกับสหายร่วมสำนักในที่แห่งนี้ และทำให้เจ้าไม่ยอมเปิดเผยร่องรอยออกมา แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อื่นอีก และนั่นก็คือว่าวิญญาณของเจ้าจะต้องกระจายหายไปจนหมดสิ้นอย่างแท้จริง”

“แต่ความบังเอิญมากมายในเวลาเดียวกันนั้นก็น่าสงสัยมากเกินไป บางทีเหล่าฟูอาจจะหวาดระแวงไปเอง แต่ก็เชื่อว่ายังมีความเป็นไปได้อย่างมากที่วิญญาณของเจ้าจะยังไม่กระจายหายไปอย่างแท้จริง!”

“เจ้ากำลังเฝ้ารอคอยช่วงเวลานี้ ที่จะกำจัดตี้จิ่วจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า) แห่งชางหมางพ่ายไป และสวมรอยกลายเป็นมัน!”

“ดังนั้นพวกเราจึงได้เตรียมพร้อม แท่นบูชาที่เก้าซึ่งเจ้าอยู่บนนั้น สามารถจะต่อต้านวิญญาณได้เช่นกัน และมีประสิทธิภาพต่อวิญญาณใดๆ ก็ตามที่ไม่ได้ฝึกฝนเวทแห่งชางหมางพ่าย!”

“ไม่ว่าเจ้าจะยังคงอยู่ภายในร่างกายนั้นหรือไม่ และไม่ว่าเหล่าฟูจะหวาดระแวงไปเองหรือไม่ ตอนนี้เมื่อผนึกถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา เหล่าฟูก็พอจะวางใจได้แล้ว” เมื่อคำพูดของเจ้าสำนักดังก้องออกไป ความพยายามร่วมมือกันของแปดผู้ยิ่งใหญ่ก็ทำให้พลังของค่ายกลผนึกวิญญาณบดขยี้ลงไป ช่วยให้ดวงตาสีม่วงหยั่งรากฝังลึกเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว กระจายเส้นใยวิญญาณที่คล้ายหนวดออกไปทั่วทั้งร่าง

เวลาเดียวกันนั้น ก็มองเห็นเครื่องหมายสีม่วงอยู่บนหน้าผากของเมิ่งฮ่าว มันเริ่มเปิดกว้างขึ้น ทำการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ เผยให้เห็นเป็น…ดวงตาสีม่วงหนึ่งดวง!

แทบจะในทันทีที่มันปรากฏขึ้น แสงอันดุร้ายก็มองเห็นได้ภายในดวงตา จากนั้นก็หลับตาลง เส้นใยวิญญาณพุ่งเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าวมากขึ้น เต็มไปทั่วทั้งเส้นลมปราณ, หัวใจ, จิตใจ และทุกสิ่งทุกอย่าง

ภายในตะเกียงสัมฤทธิ์ วิญญาณเมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว มองไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยความเย็นชา และรับรู้ได้ถึงผลกระทบของการผนึกวิญญาณ ที่เจ้าสำนักและคนอื่นๆ ใช้ออกมา

“พวกมันเตรียมพร้อมไว้แล้วจริงๆ” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกายขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย นอกจากนี้คนที่ฝึกฝนมาจนอยู่ในระดับเก้าแก่นแท้ ก็ต้องมีสติปัญญาและสายตาที่กว้างไกลเป็นพิเศษอยู่แล้ว

“ถ้าเช่นนั้น…ข้าก็จะใช้แผนสำรอง ถ้าข้าไม่สามารถกำจัดวิญญาณของคนผู้นี้ ข้าก็จะ…กลืนกินมันลงไป!”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ขณะที่จู่ๆ ตะเกียงสัมฤทธิ์ก็ลุกไหม้ขึ้นมา และจากนั้น…รอยแตกร้าวก็เกิดขึ้นบนพื้นผิวของมัน ในทันทีที่รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นมา เส้นใยวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุนก็พยายามจะพุ่งเข้าไป เวลาเดียวกันนั้นสีหน้าของเจ้าสำนักและผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไป

ถึงแม้พวกมันจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่กล้าที่จะระบุลงไปได้อย่างแน่ชัดว่า วิญญาณเมิ่งฮ่าวยังคงอยู่ภายในร่างจริงหรือไม่ นอกจากนั้นการตรวจสอบอย่างเข้มงวดส่วนใหญ่แล้วก็ไม่แสดงให้เห็นถึงร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย

แต่ตอนนี้ตะเกียงสัมฤทธิ์ได้เปิดออกเล็กน้อย และเส้นใยวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุนก็พุ่งตรงไป ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดสามารถจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้

“มันยังอยู่ด้านในจริงๆ!” ใบหน้าพวกมันเคร่งขรึมเย็นชา และส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้ไหลเข้าไปภายในร่างเมิ่งฮ่าว เพื่อช่วยตี้จิ่วจื้อจุนสะกดข่มวิญญาณของเขาไว้

อย่างไรก็ตามก่อนที่กระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกมัน จะทันได้ผ่านเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว ตะเกียงสัมฤทธิ์ก็แวบประกายขึ้น และพลังแห่งการระเบิดก็ปะทุออกไป ปิดกั้นกระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดไว้ที่ด้านนอกร่างกาย!

สีหน้าพวกมันสลดลง ตอนนี้เมิ่งฮ่าวมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย วิญญาณของเขารีบพุ่งตรงไปยังเส้นใยวิญญาณที่เป็นของตี้จิ่วจื้อจุนโดยไม่ลังเลใดๆ ทันใดนั้นวิญญาณทั้งสองก็พัวพันกันไปมา และพยายามจะกลืนกินซึ่งกันและกัน

เวลาเดียวกันนั้น ปราณอสูรของเมิ่งฮ่าวก็ปะทุออกไป และวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงไป อารมณ์ที่หลากหลายของอสูร ทำให้วิญญาณของเมิ่งฮ่าวหลอมรวมเข้ากับเส้นใยวิญญาณนั้นอย่างที่ไม่อาจจะแยกแยะออกมาได้ ทำให้ความสามารถในการกลืนกินของเมิ่งฮ่าวเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว!

เส้นใยวิญญาณรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ และพยายามจะต่อสู้กลับไป แต่ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าวิญญาณไหนเป็นของตนเอง วิญญาณไหนเป็นของฝ่ายตรงข้าม!

เจ้าสำนักและผู้ยิ่งใหญ่อีกแปดคน มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขณะที่เฝ้ามองไป พวกมันรับรู้ได้ว่าวิญญาณของเมิ่งฮ่าว และวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุนผสมรวมกัน แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อไปขัดขวางได้

“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร!?!?”

“บัดซบ!!” แสงแห่งโทสะสาดประกายขึ้นในดวงตาพวกมัน เจ้าสำนักมองไปด้วยสีหน้าที่บูดบึ้งอย่างถึงที่สุด แต่ก็ต้องถอนหายใจด้วยความชื่นชมออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมิ่งฮ่าวผู้นี้สามารถจะต่อสู้กับอาณาจักรเทพและอาณาจักรมารได้…มันใช้ร่างกายตนเองเป็นเหยื่อล่อชางหมางพ่าย วางแผนอันชั่วร้ายนี้ขึ้นมา และยังได้คาดการณ์ว่าพวกเราจะค้นพบมันอีกด้วย เหล่าฟูมั่นใจในตนเองมากเกินไป”

“การต่อสู้ระหว่างวิญญาณนี้ จะจบลงด้วยการที่วิญญาณหนึ่งจะถูกอีกวิญญาณหนึ่งกลืนกินลงไป พวกเราไม่อาจจะสอดมือเข้าไปได้ ผลแพ้ชนะจะถูกตัดสินด้วยการที่วิญญาณของใครจะแข็งแกร่งมากกว่ากัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!