ตอนที่ 1418
ตี้จิ่วจื้อจุน
เจ้าสำนักแห่งชางหมางพ่าย พร้อมทั้งผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ อีกเจ็ดคน กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชา ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าพวกมันไม่อาจจะช่วยเหลือตี้จิ่วจื้อจุนได้โดยตรง แต่ค่ายกลผนึกวิญญาณก็ยังคงทำงานอยู่ กระจายเป็นแรงกดดันลงไปยังวิญญาณของเมิ่งฮ่าว
เพราะว่าค่ายกลนี้มีเป้าหมายอยู่ที่ผู้ฝึกตน ซึ่งไม่ได้ฝึกฝนเวทแห่งชางหมางพ่าย จึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่พวกมันจะสามารถใช้ออกมาได้ แต่น่าเสียดายเมื่อพวกมันพยายามจะส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว พลังอันแข็งแกร่งก็พุ่งออกมาต่อต้านพวกมันไว้ ทำให้ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวจะมีความลี้ลับมากขึ้นกว่าเดิม
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากตะเกียงสัมฤทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นก็บังคับให้พวกมันต้องพึ่งพาแค่ความรู้สึกทั่วไปเท่านั้น เพื่อทำความเข้าใจต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ พวกมันไม่อาจจะสังเกตดูได้โดยตรง เมื่อรวมเข้ากับปราณอสูรที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายของเมิ่งฮ่าวแล้ว ก็หมายความว่าสิ่งที่พวกมันรู้สึกได้มักจะไม่ถูกต้อง
รวมกับความจริงที่ว่าพวกมันไม่รู้ว่าวิญญาณของเมิ่งฮ่าวหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ทำให้ยากที่จะตัดสินได้ว่าค่ายกลผนึกวิญญาณจะมีประสิทธิภาพมากเพียงใด
ดังเช่นคำกล่าวของเจ้าสำนักที่ว่า ‘ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกตัดสินจากการที่ใครเป็นผู้แข็งแกร่งกว่า’ เมิ่งฮ่าวหรือตี้จิ่วจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า)
หนึ่งในคนทั้งสองมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจ และพึ่งพาพื้นฐานฝึกตนของตัวเองจนกลายเป็นตี้จิ่วจื้อจุนแห่งชางหมางเต้า และยังได้ครอบครองดวงตาเต๋าอีกด้วย ทำให้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจขึ้น อีกคนถูกผลักดันด้วยมรดกจนอยู่ในระดับเก้าแก่นแท้ แต่ในแง่ของศักดิ์ฐานะหรือว่าพื้นเพเบื้องหลังแล้ว
เขาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดในอาณาจักรของตนเอง เคยพบเจอกับอันตรายมานับไม่ถ้วน เคยเห็นโลกของตัวเองถูกทำลายไป และเคยต่อสู้กับทั้งอาณาจักรเทพและอาณาจักรมารมาแล้ว
สำหรับวิญญาณทั้งสอง ใครจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่า…เจ้าสำนักและผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ไม่อาจจะพูดออกมาได้อย่างมั่นใจนัก
พวกมันได้แต่เฝ้ารอคอยเท่านั้น
เวลาเลื่อนผ่านไปทีละวัน ในที่สุดก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ถ้ามองมาจากด้านนอก ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับร่างของเมิ่งฮ่าว แต่ภายในการต่อสู้อย่างดุร้ายกำลังเกิดขึ้นกับวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุน ตะเกียงสัมฤทธิ์ทำการขัดขวางค่ายกลผนึกวิญญาณไว้ ปล่อยให้เมิ่งฮ่าวต่อสู้ด้วยความดุร้าย เป็นความดุร้ายที่ตี้จิ่วจื้อจุนไม่อาจจะเทียบได้โดยสิ้นเชิง
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือว่า วิญญาณของเมิ่งฮ่าวได้รับการเกื้อหนุนจากปราณอสูร ด้วยธรรมชาติที่มีอารมณ์หลากหลายและบ้าคลั่ง ทำให้ดูน่ากลัวไปโดยสิ้นเชิง และตี้จิ่วจื้อจุนก็ถูกสะกดข่มไว้ในทันที
“บัดซบ บัดซบ!!” ตี้จิ่วจื้อจุนแผดร้องออกมา ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะถูกกักไว้อยู่ภายในร่าง แต่มันจะคาดคิดได้อย่างไรว่าจะมีสิ่งเช่นนี้เกิดขึ้นในทันทีที่มาถึง?
จากแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่, ความทะเยอทะเยาน, แผนการอันซับซ้อน หรือแม้แต่ความฝันที่จะอยู่ในจุดสูงสุดของมัน ตอนนี้กำลังสั่นสะเทือนอย่างถึงที่สุด อันที่จริงมันยังรู้สึกด้วยอีกว่าสติของตนเองเริ่มจางหายไปแล้ว
มันค่อยๆ ยอมรับว่าเมื่อต้องมาต่อสู้เพื่อกลืนกินซึ่งกันและกันแล้ว…ก็ไม่อาจจะเทียบกับเมิ่งฮ่าวได้!
มันรู้สึกขุ่นเคืองในความขมขื่นของตนเองขณะที่เวลาเลื่อนผ่านไป ตอนนี้วิญญาณของเมิ่งฮ่าวควบคุมวิญญาณมันไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว แต่กลับกันตี้จิ่วจื้อจุนกำลังอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็บรรลุถึงจุดที่มันแทบจะถูกกลืนกินไปโดยสิ้นเชิง
“ปล่อยให้ข้ารอดชีวิตด้วย! พวกเราไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน!!” มันร้องไห้คร่ำครวญด้วยความสั่นสะท้าน ไม่ต้องการจะตายไปเช่นนี้
แทบจะในทันทีที่คำพูดของมันดังก้องออกมา วิญญาณของเมิ่งฮ่าวก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็กลืนกินวิญญาณส่วนที่เหลืออยู่ของตี้จิ่วจื้อจุน ทิ้งไว้เพียงแค่เส้นใยเล็กๆ เท่านั้น คล้ายกับเป็นประกายไฟที่สั่นไหวไปมา
“ไม่มีความเป็นศัตรูระหว่างพวกเราจริงๆ เมิ่งโหม่วจะไม่สังหารเจ้า จะปล่อยให้เมล็ดวิญญาณเล็กๆ ของเจ้าคงอยู่ หลังจากนี้อีกหลายปี ข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ!” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ขณะที่เสียงนั้นดังก้องออกไป ความทรงจำและเวทแห่งเต๋าที่เป็นของตี้จิ่วจื้อจุนก็ระเบิดขึ้นมาภายในวิญญาณของเมิ่งฮ่าว
พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วดุจคลุ้มคลั่ง ในชั่วพริบตาก็ทะลวงผ่านขีดจำกัดก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นการกลืนกินวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุน ก็ถือได้ว่าเป็นโชควาสนาที่น่าเหลือเชื่อ ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสุ่ยตงหลิว แต่ก็ใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง!!
สามารถจะคาดคิดได้ว่าเมื่อไหร่ที่เมิ่งฮ่าวได้สติฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ด้วยร่างเต๋าไร้สิ้นสุดและพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมานี้ พลังการต่อสู้ของเขาก็จะสูงเกินไปกว่าผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ทั่วไป ถึงจะไม่ได้อยู่ที่ขั้นสูงสุด แต่ก็อยู่ในขั้นกลางของระดับเก้าแก่นแท้อย่างแน่นอน!
เวลาเดียวกันนั้นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดก็ยังคงอยู่บนแท่นบูชา จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าระแวงและลังเล
หลังจากการเฝ้าสังเกตดูผ่านไปครึ่งเดือน พวกมันก็สามารถจะบอกได้ว่าไม่มีความปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าวอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในวิญญาณทั้งสองต้องถูกอีกฝ่ายกลืนกินลงไปแล้ว!
นอกจากนั้นวิญญาณที่กลายเป็นผู้ชนะ ก็จะต้องมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากในตอนนี้!
“ระหว่างคนทั้งสอง ใครจะเป็นผู้ชนะ?” ชายชราในชุดสีม่วงทองกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา คนอื่นๆ ไม่ยินดีที่จะเสนอความคิดเห็น
“ตอนนี้ค่ายกลผนึกวิญญาณไม่ได้ทำอะไรแล้ว ตี้จิ่วจื้อจุนต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน…”
“ถ้าเป็นมัน ค่ายกลผนึกวิญญาณก็จะหยุดการเคลื่อนไหวไปเอง แต่ถ้าเมิ่งฮ่าวดูดกลืนวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุนได้สำเร็จ มันก็จะมีวิชาเวทของชางหมางพ่ายด้วยเช่นกัน และผลลัพธ์ที่ได้ก็คงจะเหมือนกัน”
ขณะที่คนทั้งหมดกำลังลังเลอยู่นั้น ดวงตาของเจ้าสำนักก็สาดประกายขึ้นมา “พวกเราจะรู้คำตอบในไม่ช้านี้แล้ว!”
รังสีสังหารแวบประกายขึ้นมาในดวงตาของมัน และแอบถอนหายใจออกมา ในทันทีที่มองไปยังเมิ่งฮ่าวในตอนแรก มันก็เกิดเป็นความคิดขึ้นมาว่าจะใช้ซากศพนี้แทนที่ซากศพผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้คนอื่นๆ ที่พวกมันจัดเตรียมไว้ นอกจากนั้นซากศพเก้าแก่นแท้ก็จะทำให้ดวงตาเต๋าของตี้จิ่วจื้อจุนสามารถจะรักษาพลังหลักของมันไว้ได้
จากนั้นร่างเต๋าไร้สิ้นสุดก็ปรากฏขึ้น ทำให้มันยิ่งมีความเชื่อมั่นที่จะดำเนินไปตามแผนการนี้ ถึงแม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสงสัยเกี่ยวกับซากศพนี้ แต่ก็ยังคงเชื่อมั่นว่าจะสามารถจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้ได้
อันที่จริงถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าตะเกียงสัมฤทธิ์แล้วละก็ ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมันโดยสมบูรณ์
รังสีสังหารหมุนวนไปมาอยู่ในท่ามกลางผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ถ้ากลายเป็นว่าวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุนถูกกลืนกินไปต่อหน้าต่อตาพวกมัน การถูกดูหมิ่นเช่นนี้ก็จะทำให้พวกมันมีความต้องการสังหารเมิ่งฮ่าวอย่างรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ความคิดเช่นเดียวกันนี้ กำลังวิ่งไปทั่วทั้งจิตใจพวกมัน “หวังว่าตี้จิ่วจื้อจุนจะได้รับชัยชนะ!”
ขณะที่แปดผู้ยิ่งใหญ่มองไปอย่างเงียบๆ เมิ่งฮ่าวก็ทำการดูดกลืนวิญญาณไปอย่างต่อเนื่องสมบูรณ์ มองเห็นชีวิตของตี้จิ่วจื้อจุน, วิชาเวทของมัน, ดวงตาเต๋าของมัน และความทรงจำของมัน แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับโลกที่นอกเหนือไปจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต แทบจะราวกับว่าข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอกถูกผนึกไว้ ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะสามารถรับรู้ได้ว่ามันมีอยู่ แต่ก็ไม่มีทางที่จะปลดผนึกนั้นและมองเห็นมันได้
อย่างไรก็ตาม เขาก็ตระหนักได้ถึงแผนการที่เกี่ยวข้องกับสุสานของชางหมางพ่าย ไม่มีข้อมูลที่ถูกปกปิดไว้แม้แต่น้อยนิด
เวลาเลื่อนผ่านไป ขั้นตอนการกลืนกินและดูดซับใช้เวลาตลอดทั้งเดือน หลังจากนี้เมื่อเมิ่งฮ่าวหลอมรวมเข้ากับวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะปลดปล่อยวิญญาณของตนเองให้กระจายเต็มไปทั่วร่างโดยสิ้นเชิง
เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้นเขาก็จะท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่จะสามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้อีกครั้ง จังหวะการเต้นของหัวใจก็จะไม่เชื่องช้าและน่าเบื่อหน่ายอีกต่อไป แต่จะเต้นรัวด้วยพลังและมีชีวิตชีวา ปราณและโลหิตจะไหลเวียนอย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายก็หยุดการกระจายออกไป แต่จะถูกกักเก็บไว้อยู่ภายในร่าง
อย่าไรก็ตามนี่เป็นการบ่งชี้ว่าพลังการต่อสู้ของเมิ่งฮ่าวจะแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง และแรงกดดันที่ผู้ยิ่งใหญ่อีกแปดคนพบเจอมา ก็จะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นในตอนนี้
เจ้าสำนักและผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ต่างก็จ้องนิ่งไปยังร่างเมิ่งฮ่าวกันทั้งหมด พวกมันรู้ว่าคำถามของตนเองจะได้รับคำตอบในไม่ช้านี้แล้ว
หนึ่งลมหายใจผ่านไป จากนั้นก็อีกหนึ่งอึดใจ และหนึ่งอึดใจ…
นิ้วของเมิ่งฮ่าวกระตุกขึ้นมา และเปลือกตาก็สั่นระรัว หลังจากที่ผ่านไปสิบอึดใจ เขาก็รวบรวมความแข็งแกร่งได้เพียงพอเพื่อ…ลืมตาขึ้นมา!
เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้ แปดผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็ปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมด ลมพายุที่ไร้รูปร่างพุ่งขึ้นมา จนกลายเป็นพลังแห่งการทำลายล้าง ที่สามารถจะบดขยี้เมิ่งฮ่าวได้แทบจะในทันที
แต่สีหน้าของเมิ่งฮ่าวก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ลืมตาขึ้นมาและมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตอนแรกเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความงุนงง แต่จากนั้นก็เริ่มมีประกายเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
จิตใจเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความทรงจำนับไม่ถ้วนของอาณาจักรขุนเขาทะเล จบลงด้วยการที่อาณาจักรทำลายตัวเองไป เขาจำได้ถึงผีเสื้อขุนเขาทะเลที่กำลังกระพือปีกตรงไปยังโลงศพสีเขียว จำได้ว่านกแก้วกวาดล้างความทรงจำของมันไป
เมิ่งฮ่าวมองเห็นสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด และจากนั้นก็ฝังไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ใบหน้าของเขาในตอนนี้ดูแตกต่างเป็นอย่างมากจากก่อนหน้านี้ ไม่มีรอยยิ้ม ไร้ความอบอุ่น มีแต่…ความเย็นเยียบราวน้ำแข็งเท่านั้น
ทั่วทั้งร่างของเมิ่งฮ่าวคล้ายกับเป็นก้อนน้ำแข็ง!
ดูเหมือนว่าเขาจะตรงกันข้ามกับลมพายุแห่งรังสีสังหารที่อยู่รอบๆ ตัวโดยสิ้นเชิง ขณะที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ มองไปยังผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา
ผู้ยิ่งใหญ่กำลังให้ความสนใจต่อสิ่งทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งฮ่าวอย่างละเอียด พวกมันสังเกตเห็นความงุนงงในดวงตาของเขา และจากนั้นก็มองเห็นความงุนงงนั้นกลายเป็นประกายอันเจิดจ้า พวกมันสามารถจะบอกได้ว่าเขากำลังระลึกถึงเรื่องราวเมื่อในอดีต และมองเห็นได้ว่าเขากลายเป็นคนที่เย็นชามากแค่ไหน
อย่างไรก็ตามไม่มีสิ่งใดที่จะบอกพวกมันได้มากนัก ถ้าวิญญาณที่ตื่นขึ้นมานั้นคือเมิ่งฮ่าว ก็จะสมเหตุสมผลที่เขาดูว่างเปล่าจากนั้นก็สาดประกายขึ้น ต่อมาก็รำลึกถึงความทรงจำ และจากนั้นก็กลายเป็นความเย็นชาราวน้ำแข็ง
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นตี้จิ่วจื้อจุนก็จะเป็นเช่นเดียวกัน มันจะต้องมองไปรอบๆ ยังโลกใหม่ด้วยความงุนงง จากนั้นก็สาดประกายขึ้นเมื่อตระหนักว่าตนเองอยู่ในที่แห่งใด และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องรำลึกถึงความทรงจำในช่วงเวลาที่อยู่ตรงด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต รวมทั้งการต่อสู้ระหว่างตนเองและเมิ่งฮ่าว ในที่สุดมันก็จะมองไปรอบๆ ยังผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้ที่ลากมันเข้ามาในสถานการณ์อันร้ายแรงจนแทบจะตกตายไป และแน่นอนว่าสีหน้าของมันจะต้องเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง!
“เจ้าเป็นใคร?!” เจ้าสำนักเอ่ยถามขึ้น นอกจากรังสีสังหารแล้ว ก็สามารถจะมองเห็นความรู้สึกอันซับซ้อนอื่นๆ ในดวงตาของมัน แม้แต่ในตอนที่เมิ่งฮ่าวตื่นขึ้นมานี้…มันก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาคือใคร
เมิ่งฮ่าวหันหน้าไป ดวงตาเย็นชาขณะที่จ้องมองไปยังเจ้าสำนัก “ท่านคิดว่าข้าคือใคร?”
สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน และดวงตาของเจ้าสำนักก็เริ่มสาดประกายขึ้น ขณะที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของมันปะทุขึ้นมาด้วยพลังบดขยี้อันแข็งแกร่ง
“เจ้าคือเมิ่งฮ่าว!!” ด้วยการตอบรับคำพูดของมัน ทำให้สีหน้าของผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ เปลี่ยนไป และรังสีสังหารของพวกมันก็ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง กลายเป็นมีตัวตนขึ้นมา ขณะที่กดทับลงไปบนร่างเมิ่งฮ่าวด้วยพลังทำลายล้าง
เมิ่งฮ่าวยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่เผชิญหน้ากับรังสีสังหารที่รวมพลังกันของแปดผู้ยิ่งใหญ่ ทันใดนั้นก็มองเห็นประกายแสงแวบขึ้นมาบนหน้าผาก ริ้วสีม่วงเปิดออกเผยให้เห็นถึงดวงตาข้างหนึ่ง!
นี่ก็คือดวงตาเต๋าของตี้จิ่วจื้อจุน!
เมื่อดวงตาเต๋าลืมขึ้นมา ทุกสรรพสิ่งในโลกแห่งนี้ก็หยุดชะงักนิ่ง แรงกดดันที่สมบูรณ์แบบแผ่กระจายออกไป ช่วยให้เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืนอยู่ภายใต้รังสีสังหารที่รวมพลังกันของคู่ต่อสู้ทั้งหมด
จากนั้นสีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไป เวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืน สีสันก็แวบขึ้นไปในท้องฟ้า และสายลมขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมา
ราวกับว่าห้วงบรรพกาลและยุคสมัยโบราณกำลังตื่นขึ้นมาแล้ว!
“ข้าคือตี้จิ่วจื้อจุน! (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า)” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้องราวกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำราม
ดวงตาของเจ้าสำนักสาดประกายขึ้น ขณะที่ตรวจสอบดูดวงตาเต๋า แอบถอนหายใจออกมา และฝังความสงสัยไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
“เจ้าคือตี้จิ่วจื้อจุนแห่งชางหมางพ่ายจริงๆ!”
ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ มองมาอย่างเงียบๆ มองเห็นความรู้สึกอันซับซ้อนอยู่ในแววตาพวกมัน ขณะที่มองไปยังดวงตาเต๋า แต่หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ พวกมันก็เริ่มหัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“ยินดีต้อนรับตี้จิ่วจื้อจุน ผู้มาจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต!”
เจ้าจะเป็นใครต่างก็ไม่สำคัญ ตราบเท่าที่เจ้ามีดวงตาเต๋า และสามารถใช้พลังของมันออกมาได้…ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คือตี้จิ่วจื้อจุน!