Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1422

ตอนที่ 1422

ทิ้งเครื่องหมายไว้

ในทันทีที่ตี้ลิ่วจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับหก) กล่าวขึ้นมา ความหนาวเย็นก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ไม่ใช่เกล็ดน้ำแข็ง แต่เป็นบางสิ่งที่เหนือกว่าเกราะป้องกัน ซึ่งแยกบริเวณนั้นออกไปจากเขตด้านนอก สองผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของเมิ่งฮ่าวต่างก็ตกตะลึง เมื่อครู่นี้พวกนางรีบพุ่งตรงมา แต่ตอนนี้กำลังถูกผลักออกไปทางด้านหลัง

ราวกับว่ามีพลังขับไล่อันแข็งแกร่งบางอย่างได้คว้าจับร่างพวกนางไว้ และขณะที่พยายามจะพุ่งไปข้างหน้า ก็ถูกฉุดลากไปทางด้านหลัง ผลก็คือคนทั้งสองรู้สึกว่ากำลังจะถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ

วิญญาณและร่างกายของพวกนางดูเหมือนว่าแทบจะแยกออกจากกัน และความว่างเปล่าที่อยู่รอบๆ ตัวก็ราวกับว่ากำลังจะถูกฉีกให้ขาดออกจากกัน เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ และโลหิตก็พุ่งกระจายออกมาจากปาก

ดวงตาซินเยี่ยสาดประกายเย็นชาขึ้นมา สำหรับซูอี้มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ และแผดร้องคำรามออกมา ขณะที่พยายามจะพุ่งตรงไปข้างหน้า

คนทั้งสองเป็นสตรีที่เย่อหยิ่ง การถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีต่อหน้าตี้จิ่วจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า) เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะยอมรับได้ ถ้าเมิ่งฮ่าวกระทำเรื่องนี้กับพวกนางเอง ก็คงจะไม่เป็นไร แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตี้จิ่วจื้อจุนมากระทำต่อพวกนางเยี่ยงนี้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะกล้ำกลืนฝืนทนได้

“พวกเจ้าประเมินตนเองสูงเกินไปแล้ว” ตี้ลิ่วจื้อจุนกล่าวขึ้นพร้อมกับแค่นเสียงเย็นชา ยกมือขวาขึ้นมา แต่ตอนนี้เองที่กลิ่นอายซึ่งเต็มไปด้วยรังสีสังหารอันเย็นเยียบกว่าของมันก็ระเบิดออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าวซึ่งอยู่บนแท่นบูชาที่เก้า

“นั่นคือคนของข้า” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นขณะที่เริ่มเดินตรงไป แต่ละย่างก้าวก็ทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มราวฟ้าร้องคำรามดังก้องออกมา เวลาเดียวกันนั้นพลังอันรุนแรงก็ปะทุออกมาจากศีรษะ กลายเป็นกระแสน้ำวนที่พุ่งกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สีสันแวบขึ้นมาและสายลมก็กรีดร้องระงม ในช่วงเดียวกันนั้นก็ไปปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าตี้ลิ่วจื้อจุน และต่อยหมัดออกไป

เขาไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ไปจัดการกับตี้ลิ่วจื้อจุน ใช้แค่วิธีการตรงๆ เท่านั้นก็คือต่อยออกไป

ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือนเมื่อหมัดของเมิ่งฮ่าวพุ่งทะยานออกไป เกิดเป็นหลุมดำที่ดูเหมือนว่าจะทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งอยู่ตรงด้านในของดาวครึ่งดวงนี้สั่นสะท้าน และพื้นดินรอบๆ บริเวณนั้นก็สั่นไหวไปมา ราวกับว่าหมัดที่ต่อยออกมานี้จะถูกเกื้อหนุนด้วยพลังแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเอง

ดวงตาตี้ลิ่วจื้อจุนเบิกกว้างขึ้น และยกมือขวาขึ้นเพื่อปะทะกับหมัดที่โจมตีมา

ตูมมมมมมม!

เมื่อหมัดนั้นกระแทกลงไป เมิ่งฮ่าวก็ไปยืนอยู่บนแท่นบูชาที่หกอย่างมั่นคง แต่ดูเหมือนว่าตี้ลิ่วจื้อจุนกำลังยืนอยู่ในท่ามกลางลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง เส้นผมและเสื้อผ้าของมันสะบัดพลิ้วไปมา และกำลังสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าผิวหนังของมันกำลังจมลงไปอีกด้วย

เมื่อเสียงระเบิดอย่างต่อเนื่องดังก้องออกมา ตี้ลิ่วจื้อจุนก็กระอักโลหิตและถอยโซเซไปทางด้านหลังอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ เมื่อไปหยุดอยู่ที่ระยะห่างสิบจ้าง ก็รีบกลืนโลหิตที่กำลังจะกระอักออกมาอีกครั้งลงไป จากนั้นก็มองขึ้นมาด้วยสีหน้าดุร้าย แผดร้องคำรามด้วยโทสะ กางแขนออกเป็นวงกว้าง และพลังแก่นแท้อันมหาศาลก็ปรากฏขึ้น ใบมีดที่ไร้รูปร่างขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นมา จนดูเหมือนว่าจะสามารถกรีดเฉือนทุกสรรพสิ่งให้ขาดออกจากกันได้

“เหลาจิ่ว (อันดับเก้า) เจ้ากำลังรนหาที่ตาย?” มันร้องตวาดขึ้นมา ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ แค่มองมายังเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้อย่างเงียบๆ เท่านั้น แสงแปลกๆ กำลังสาดประกายขึ้นมาในดวงตาพวกมัน หมัดของเมิ่งฮ่าวเมื่อครู่นี้ช่างน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครต้องการจะสอดมือเข้ามา

สำหรับเจ้าสำนัก มันขมวดคิ้วและมองไปยังตี้ลิ่วจื้อจุนด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ

แทบจะในทันทีที่ตี้ลิ่วจื้อจุนพูดออกมาอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวก็ฟาดมือขวาออกไป ทำให้พลังอันแข็งแกร่งระเบิดขึ้น ก่อตัวเป็นลมพายุที่บดขยี้ลงไปยังพลังการเคลื่อนย้ายทางไกลจนกลายเป็นอุโมงค์สายหนึ่ง เพื่อช่วยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาผ่านเข้ามาได้

ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองมีท่าทางสั่นสะท้านเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าซูอี้จะยึดถือสิ่งต่างๆ ด้วยความเรียบง่ายกว่าบ้าง แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่นางได้เห็นการต่อสู้ของเมิ่งฮ่าว ก่อนหน้านี้นางเคยสังเกตดูตอนที่เขาจัดการกับมังกรดำมาแล้ว

สำหรับซินเยี่ย นี่คือครั้งแรกที่นางได้เห็นการกระทำของเมิ่งฮ่าว ทำให้คลื่นแห่งความตกตะลึงกดทับลงมาในจิตใจ หมัดอันน่าตกใจที่เมิ่งฮ่าวต่อยออกไปนั้น ดูเหมือนว่าจะสามารถทำลายโลกได้ทั้งใบ ทำให้นางต้องหอบหายใจออกมา

สำหรับอุโมงค์ที่เขาเปิดออกเพื่อให้พวกนางผ่านเข้าไป ก็ดูเหมือนว่าจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยลักษณะที่ปกติทั่วไป แต่ทำให้สตรีทั้งสองต้องอ้าปากค้างขึ้นมา โดยไม่ลังเลใดๆ พวกนางบินเข้าไปยังบริเวณที่อยู่ตรงแท่นบูชา ไปปรากฏกายขึ้นอยู่ข้างกายเมิ่งฮ่าว

“ขอคารวะจื้อจุน พวกเรามาสายแล้ว” สตรีทั้งสองกล่าวขึ้น ประสานมือและโค้งตัวลง

“มาสายหรือไม่ ข้าเป็นคนตัดสินเอง…” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ จากนั้นก็ก้าวเดินตรงไปยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของตี้ลิ่วจื้อจุนอีกครั้ง

“และไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับตี้ลิ่วจื้อจุนท่านด้วยเช่นกัน เปิ่นจุน (คำเรียกตัวเองของผู้ที่ได้รับการนับถือจากคนหมู่มาก) จำเป็นต้องให้ท่านมาลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง? จำเป็นให้ท่านต้องลงมือ? ท่านคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องทิ้งเครื่องหมายไว้บนร่างท่าน เพื่อช่วยเตือนความทรงจำของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว”

ขณะที่เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น ดวงตาตี้ลิ่วจื้อจุนก็แวบเป็นรังสีสังหารออกมา ม้วนกวาดแขนออกไป ทำให้พลังแก่นแท้ระเบิดขึ้นจนกลายเป็นศีรษะสีดำสนิทขนาดใหญ่

เมื่อได้เห็นคนทั้งสองกำลังจะเริ่มต่อสู้กัน ซ่างกวนหงก็ก้าวเดินตรงมา พร้อมกับผู้ยิ่งใหญ่อีกสามคน มายืนอยู่ระหว่างเมิ่งฮ่าวและตี้ลิ่วจื้อจุน

“เหลาจิ่ว (อันดับเก้า) ช่างมันเถอะ”

“เหล่าลิ่ว (อันดับหก) พอได้แล้ว”

“พอเถอะ สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือเข้าไปในเขตสุสาน หยุดมือได้แล้ว ถ้ามีความแข็งแกร่งก็เอาไปใช้ในเขตสุสานดีกว่า”

ประกายแห่งความเกลียดชังแวบผ่านขึ้นมาในแววตาของตี้ลิ่วจื้อจุน และถึงแม้ว่าผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ จะสอดมือเข้ามา แต่มันก็ยังคงชี้นิ้วออกไป ทำให้ศีรษะสีดำสนิทแผดร้องคำราม พุ่งเข้าไปใกล้เมิ่งฮ่าว

ซ่างกวนหงและคนอื่นๆ มองมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป แต่ก่อนที่คนทั้งหมดจะทันได้ทำอะไร ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ก้าวเดินตรงมา ในชั่วพริบตาวิหคยักษ์สีฟ้าก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็โจมตีลงไปยังศีรษะสีดำสนิทนั้น

เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น เมื่อแก่นแท้ศีรษะสีดำสนิทพังทลายลงไป จากนั้นเมิ่งฮ่าวในรูปแบบของวิหคยักษ์สีฟ้าก็กลายลำแสงสีฟ้าพุ่งตรงไปยังตี้ลิ่วจื้อจุนในทันที

สีหน้าตี้ลิ่วจื้อจุนสลดลง และกำลังจะพุ่งถอยไปทางด้านหลัง แต่ก็มีหมัดพุ่งออกมาจากแสงสีฟ้า กระแทกลงไปยังหน้าอกของมัน

ตี้ลิ่วจื้อจุนลอยละลิ่วออกไปจากแท่นบูชาในทันที โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่มันจะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ แสงสีเขียวก็แวบประกายขึ้นมา และเมิ่งฮ่าวก็ไปอยู่เหนือร่างมันอีกครั้ง ต่อยออกไปอีกหนึ่งหมัด

จากนั้นก็หมัดที่สาม, สี่ และห้า!

เสียงระเบิดดังก้องออกมา ตี้ลิ่วจื้อจุนสั่นสะท้านถอยโซเซไปทางด้านหลังครั้งแล้วครั้งเล่า หน้าอกมันกลายเป็นโพรงขึ้น และแผดร้องเป็นเสียงโหยหวนออกมา ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ทั้งสามคนที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของมันลังเล แต่ก็ตระหนักว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากต้องบินออกไปเพื่อพยายามจะหยุดเมิ่งฮ่าวไว้

แต่จากนั้นซูอี้และซินเยี่ยก็ก้าวเดินตรงมาขัดขวางพวกมัน

“ไสหัวไป!” ก่อนที่กลุ่มคนทั้งสองจะปะทะกัน เมิ่งฮ่าวก็แค่นเสียงเย็นชาออกมาจากภายในแสงสีฟ้า จากนั้นก็ปรากฏกายขึ้นในรูปแบบของมนุษย์อีกครั้ง และโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ทำให้เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ระเบิดพุ่งตรงไปยังสามผู้ใต้บังคับบัญชาของตี้ลิ่วจื้อจุน ใบหน้าพวกมันสลดลง แต่ก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้ ต้องลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลังหนึ่งพันจ้าง โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก

สำหรับตี้ลิ่วจื้อจุน มันกำลังสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง คาดไม่ถึงว่าเมิ่งฮ่าวจะแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นนี้

มันกำลังถูกโจมตีอย่างดุร้ายจนไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากต้องล่าถอยหลบหนีเท่านั้น และไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะต่อสู้กลับไปได้ มันไม่ได้รู้สึกว่าไม่อาจจะต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวได้ แต่มันสูญเสียความได้เปรียบจนไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้กลับไปได้อย่างแท้จริง

ตอนนี้มันรู้สึกเสียใจขึ้นมา และคิดว่าไม่น่าจะพยายามลองทดสอบเมิ่งฮ่าวดูเลย

“บัดซบ!!” มันแผดร้องออกมาขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้ามาใกล้อีกครั้ง เสียงระเบิดดังก้องออกมา เมื่อมันปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกไป แต่ก็ถูกทำลายไปในทันที ต่อมาก็เป็นอาวุธเวทบางส่วน ซึ่งอยู่ได้ไม่นานนักเช่นเดียวกัน

ผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ เฝ้ามองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ด้วยประกายแสงแปลกๆ และแววตาก็เต็มไปด้วยความครุ่นคิด

เมื่อมาถึงจุดนี้พวกมันก็เริ่มเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเมิ่งฮ่าวแล้ว

และนี่คือสิ่งที่เมิ่งฮ่าวต้องการอย่างแท้จริง การสร้างรากฐานให้ตนเอง!

ประกายแสงอันเย็นชาแวบขึ้นมาในดวงตา ขณะที่เมิ่งฮ่าวยกมือขวาขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน่าตกใจยิ่งสามารถจะรับรู้ได้ถึงพลังแห่งความว่างเปล่า ที่ค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นมาอย่างช้าๆ ซึ่งก็คือแก่นแท้แห่งความว่างเปล่าของเวทผนึกที่แปด ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้รับความรู้แจ้งมาอย่างสมบูรณ์แล้ว

เมื่อเจ้าสำนักมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ม่านตาก็หรี่เล็กลง ก้าวเดินตรงมาและโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป

“พอได้แล้ว! พวกเจ้าคิดว่าจะต่อสู้กันจนถึงเมื่อไหร่?!”

เจ้าสำนักอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเก้าแก่นแท้ ดังนั้นการโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ก็ทำให้พลังอันน่าเหลือเชื่อถูกสร้างขึ้นมาอยู่ระหว่างเมิ่งฮ่าวและตี้ลิ่วจื้อจุน ผลักดันให้คนทั้งสองแยกออกจากกัน

ตี้ลิ่วจื้อจุนต้องแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา เมื่อหลุดพ้นมาจากสถานการณ์นี้ได้ ก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยรังสีสังหารที่แวบขึ้นมาในดวงตา

น่าเสียดายที่มันยังคงประเมินเมิ่งฮ่าวต่ำจนเกินไป!

“ข้าบอกแล้วว่า จะทิ้งเครื่องหมายไว้บนร่างเจ้า” แม้ในขณะที่เสียงอันเย็นชาของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกมา ดวงตาเต๋าที่อยู่บนหน้าผากก็เปิดออก และเจตจำนงอันไร้ขอบเขตก็ปะทุออกไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสั่นสะท้าน และจิตใจของคนทั้งหมดก็เริ่มหมุนคว้าง

ทันใดนั้นพลังแห่งดวงตาเต๋าก็ทำให้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งจะถูกปลดปล่อยออกมาจากเจ้าสำนัก ถูกแช่แข็งจนหยุดชะงักนิ่งอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวในทันที จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปด้วยความรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว

ในชั่วพริบตาก็ไปอยู่ตรงเบื้องหน้าตี้ลิ่วจื้อจุน จิตใจมันกำลังหมุนคว้างและต้องการจะถอยไปทางด้านหลัง แต่ก็รู้สึกราวกับว่ากำลังติดอยู่ในโคลนตม ทำให้เคลื่อนที่ได้เชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง ม่านตามันหรี่เล็กลงขณะที่ความประหลาดใจเต็มอยู่ในแววตา

สีหน้าเจ้าสำนักเปลี่ยนไป และแผดร้องตะโกนขึ้นมาว่า “เหลาจิ่ว ยั้งมือด้วย!”

มันก้าวเดินตรงไปปรากฏกายขึ้นที่ด้านข้างเมิ่งฮ่าว พร้อมกับโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป การเคลื่อนไหวนั้นไปขัดขวางมือและเท้าของเมิ่งฮ่าวไว้ และกำลังจะลากเขาออกไป แต่เมิ่งฮ่าวก็ยิ้มออกมา กลิ่นอายเปลี่ยนไป และบรรยากาศอันโหดเหี้ยมดุร้ายก็ปะทุออกมาจากร่าง ถึงแม้ว่ามือและเท้าจะถูกตรึงไว้ แต่ยังคงขยับศีรษะได้อยู่!

เมิ่งฮ่าวยื่นศีรษะออกไป และกัดลงไปยังลำคอของตี้ลิ่วจื้อจุนอย่างดุร้าย กระชากเนื้อชิ้นใหญ่ออกมาจากร่างมัน

โลหิตพุ่งกระจายออกมาจากลำคอของตี้ลิ่วจื้อจุน และมันก็แผดร้องออกมา เอามือกดลงไปยังลำคอและพุ่งถอยไปทางด้านหลัง ในตอนนี้ไม่มีรังสีสังหารอยู่ในแววตามันอีกแล้วเมื่อมองตรงไปยังเมิ่งฮ่าว มีแต่ความประหลาดใจอย่างรุนแรงเท่านั้น

จากคนทั้งหมดที่มันเคยต่อสู้มาด้วยในชั่วชีวิตนี้ นี่คือคนที่โหดเหี้ยมดุร้ายมากที่สุดเท่าที่มันเคยเผชิญหน้ามา มันกลับถูกกัดเนื้อออกไปจริงๆ! เท่าที่มันคิดตี้จิ่วจื้อจุนผู้นี้ช่างบ้าคลั่งอย่างแท้จริง

เมิ่งฮ่าวกลืนชิ้นเนื้อลงไปอย่างเยือกเย็นและจากนั้นก็กล่าวว่า “นั่นคือเครื่องหมายของข้า”

จากนั้นก็กวาดเช็ดริมฝีปากและเดินกลับไปยังแท่นบูชาที่เก้า เมื่อทำเช่นนั้นผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็มองไปด้วยจิตใจที่หมุนคว้าง แม้แต่ซูอี้และซินเยี่ยก็กำลังหอบหายใจออกมา

คนทั้งหมดไม่มีทางจะลืมเลือนภาพอันโหดร้ายที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะแสดงออกมาในวันนี้ได้

“คนผู้นี้…ไม่ควรจะไปตอแยด้วย!”

“บ้าไปแล้ว! มันเป็นคนบ้าโดยสิ้นเชิง…” ผู้ยิ่งใหญ่กำลังหอบหายใจออกมา ด้วยสีหน้าที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง

ใบหน้าของเจ้าสำนักดูน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด และจิตใจกำลังขมขื่นด้วยคลื่นแห่งความตกใจ จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวและจากนั้นก็มองไปยังตี้ลิ่วจื้อจุนอย่างมีโทสะ ในที่สุดก็มุ่งหน้ากลับไปยังแท่นบูชาแรก ด้วยสีหน้าที่บูดบึ้งขุ่นเคือง

ตี้ลิ่วจื้อจุนกลับไปยังแท่นบูชาของมันอย่างเงียบๆ ใบหน้าซีดขาวแววตาสาดประกายขึ้นด้วยความหวาดกลัว ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว

มันไม่ได้เกรงกลัวผู้ฝึกตนที่มีพื้นฐานฝึกตนเหนือกว่า แต่หวาดกลัวคนที่บ้าคลั่งอย่างแท้จริง และเมิ่งฮ่าวก็เป็นคนบ้ามากที่สุดเท่าที่มันเคยเผชิญหน้ามาในท่ามกลางผู้ฝึกตนเก้าแก่นแท้

เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่ยืนอยู่ที่นั่น ประสานมือไว้ทางด้านหลังราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ซูอี้และซินเยี่ยที่อยู่ด้านหลังมองไปที่เขาด้วยแววตาหวาดกลัว

ชั่วขณะต่อมาพลังการเคลื่อนย้ายทางไกลก็ถูกปลดปล่อยออกมา และเสียงกระหึ่มก็ดังก้องขึ้น เมื่อลำแสงพุ่งขึ้นไปในอากาศ และคนทั้งหมดก็หายตัวไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!