ตอนที่ 1427
ข้ามีนามว่าหลัวเทียน
จิตใจเมิ่งฮ่าวกำลังหมุนคว้าง ความผันผวนที่กระจายออกมาจากตะเกียงสัมฤทธิ์เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น และบรรลุถึงจุดที่เขารู้สึกว่าถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ก็คงจะมีผลร้ายแรงติดตามมาในอนาคต
ที่ยิ่งน่าตกใจมากไปกว่านั้นสำหรับเมิ่งฮ่าวก็คือว่าในตอนที่เขารู้สึกลังเล แทบจะราวกับว่าตะเกียงสัมฤทธิ์กำลังจะพุ่งออกมาจากร่าง และลอยลงไปยังหุบเหวด้วยเจตจำนงของมันเอง
เมิ่งฮ่าวไม่ลังเลอีกต่อไป มองอย่างเย็นชาไปยังแสงสีทองอันเข้มข้นที่กำลังพุ่งตรงมา จากบุรุษหนุ่มในชุดสีทอง รวมทั้งตี้ลิ่วจื้อจุนและตี้ปาจื้อจุน มองไปรอบๆ ยังเงาร่างอันดุร้ายและเต็มไปด้วยความโลภที่อยู่ภายในกลุ่มหมอก ทันใดนั้นก็พุ่งลงไปด้านล่าง แสงและกลุ่มหมอกพุ่งผ่านตำแหน่งเดิมที่เขาเคยอยู่เมื่อครู่นี้ เวลาเดียวกันนั้นเมิ่งฮ่าวก็กระแทกลงไปยังยักษ์ตนนั้น
เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังก้องออกมา และยักษ์สามหัวก็แผดร้องอย่างน่าอนาถใจขึ้น โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปากเมิ่งฮ่าว ขณะที่พุ่งลงไปในหุบเหว ไม่สนใจสะพานแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าจากมุมมองของผู้ฝึกตนอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่บนสะพาน ก็ดูไม่เหมือนว่าเมิ่งฮ่าวตั้งใจที่จะพุ่งลงไปยังความมืดมิดอันว่างเปล่าที่ด้านล่างเอง แต่ดูราวกับว่าบุรุษหนุ่มในชุดสีทองและผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ กำลังบีบบังคับให้เขาต้องทำเช่นนั้น
“ซาจิ่วตง! จินหยุนซาน!” เจ้าสำนักแผดร้องคำรามออกมาด้วยโทสะ พื้นฐานฝึกตนพุ่งทะยานขึ้นไป ราวกับว่ากำลังเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับคนทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม ซาจิ่วตงและจินหยุนซานก็ดูเหมือนว่าไม่ยินดีที่จะต่อสู้ด้วย พวกมันรีบพุ่งถอยไปทางด้านหลังในทันที
จากนั้นคนทั้งสามก็เริ่มหารือกันผ่านวิธีการที่มีแต่พวกมันเท่านั้นที่จะมีส่วนร่วมได้ ในที่สุดสีหน้าของเจ้าสำนักก็เปลี่ยนไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ และเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อน
“เป็นไปไม่ได้” มันพึมพำ
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย ขณะที่ส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งผ่านความว่างเปล่าลงไปยังส่วนลึกของหุบเหวที่ด้านล่าง ก็นึกย้อนกลับไปยังสิ่งที่เจ้าสำนักเพิ่งจะกล่าวมา เกี่ยวกับผลกระทบที่ออกมาจากสะพานเป็นเวลานาน ซึ่งต้องตายไปอย่างแน่นอน และในตอนนี้เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นหลักฐานแล้วว่า ทำไมถึงได้เกิดขึ้นเช่นนั้น
กลุ่มหมอกที่อยู่รอบๆ ตัวกำลังเริ่มหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าประหลาดใจยิ่ง และพวกมันยังได้เข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าวมากขึ้นอีกด้วย ที่แอบซุ่มอยู่ภายในกลุ่มหมอกเหล่านั้นก็คือกลิ่นอายที่ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องเต้นรัวขึ้นมา
อย่างไรก็ตามขณะที่กลุ่มหมอกเข้ามาใกล้ ตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ในร่างเมิ่งฮ่าวก็เปล่งแสงอันอ่อนโยนออกมาในทันที พุ่งผ่านร่างเขาออกไปยังด้านนอก ปกคลุมอยู่รอบๆ กาย และเมื่อกลุ่มหมอกสัมผัสโดนแสงเหล่านั้น เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนก็ได้ยินออกมา ราวกับว่าเจ้าของเสียงกำลังหลอมละลายไปด้วยแสงนั้น
เมิ่งฮ่าวทำจิตใจให้เยือกเย็น ติดตามการลากจูงของตะเกียงสัมฤทธิ์ไป พุ่งลงไปยังด้านล่างอย่างต่อเนื่อง ยักษ์สามหัวที่ด้านหลังแผดร้องคำรามออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ตกใจกลัวต่อแสงของตะเกียงแม้แต่น้อย ขณะที่ไล่ติดตามมาอย่างไม่ลดละ
ยิ่งเมิ่งฮ่าวลงไปลึกมากเท่าใด ความผันผวนของตะเกียงสัมฤทธิ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ไม่นานนักก็มองเห็นพื้นดินที่ด้านล่าง
ถ้ากล่าวให้ถูกต้อง มันคือส่วนที่ยื่นออกมาจากดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก มองเห็นรูปปั้นรูปหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่น ซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน
รูปปั้นนั้นมีความสูงนับหมื่นจ้าง แค่มองไปเพียงแวบเดียวก็ดูคล้ายกับเป็นภูเขา
มีรูปร่างหน้าตาเป็นบุรุษหนุ่มในเสื้อคลุมยาว กำลังแหงนมองขึ้นไปด้านบน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความดุร้าย และกระจายเป็นบรรยากาศอันโหดเหี้ยมออกมา แทบจะดูเหมือนว่ามันกำลังแผดร้องคำรามด้วยโทสะ แม้แต่เส้นเลือดเขียวก็พอจะมองเห็นได้ กำลังปะทุขึ้นมาทั่วใบหน้า จากการตรวจสอบดูมากไปกว่านั้น เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่ารูปปั้นนี้ดูเหมือนกับเงาร่างที่ตนเองเคยเห็นผ่านดวงตาที่สามมา เป็นคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตรงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้า
แต่รูปปั้นนี้มีสีหน้าที่ดื้อรั้นไม่ยินยอม รวมทั้งดวงตาที่แข็งกร้าวจนดูเหมือนว่าจะมีความขุ่นเคืองอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เส้นใยของสายหมอกอันเลือนรางไหลซึมออกมาจากรูปปั้น ซึ่งก็คือต้นกำเนิดของกลุ่มหมอกอันน่าตกใจที่เต็มอยู่ในหุบเหวแห่งนี้
บนหน้าผากของรูปปั้นมีรอยแตกอยู่แห่งหนึ่ง ราวกับว่ามีใครบางคนได้แทงกระบี่เข้าไป
พลังที่ทำให้ตะเกียงสัมฤทธิ์ต้องมีปฏิกิริยาขึ้นมา กำลังพุ่งออกมาจากภายในรอยแตกนี้
ด้านข้างรูปปั้นคือหน้าผา ถึงแม้ว่าจะตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่หน้าผาธรรมดา จริงๆ แล้วมันคือ…แผ่นป้ายหลุมฝังศพขนาดใหญ่
ที่ถูกเขียนอยู่บนแผ่นป้ายหลุมฝังศพนั้นคือตัวอักษรแถวหนึ่ง
“ร่างจำแลงแรกของข้า ถูกกำจัดไปโดยหลัวเทียน”
ด้านล่างของตัวอักษรเหล่านั้นเป็นนามของผู้ที่เขียนมัน คาดไม่ถึงว่าก็คือ…ปรมาจารย์ชางหมาง
เมิ่งฮ่าวรู้สึกสั่นสะท้านขณะที่มองไปยังรูปปั้น ถึงแม้จะดูเหมือนว่ารูปปั้นจะถูกแกะสลักขึ้นมาจากก้อนศิลา แต่เมื่อมองดูให้ละเอียดมากขึ้นก็ดูเหมือนว่ามันจะก่อตัวขึ้นมาจากเลือดเนื้อ
ก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะทันได้สังเกตดูรูปปั้นนานมากไปกว่านั้น ยักษ์สามหัวก็ปรากฏตัวขึ้น แผดร้องคำรามพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงสีแดงหม่น
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วและโคจรหมุนวนพลังการฝึกตน กระแสน้ำวนปรากฏขึ้นอยู่รอบๆ ตัว กลายเป็นลมพายุอันปั่นป่วนวุ่นวายอย่างรวดเร็ว ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อยหมัดสังหารเทพออกไป
เสียงระเบิดดังก้องขึ้น จากระดับพลังการต่อสู้ของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ หมัดที่ต่อยออกไปนั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้ทั่วไปต้องกระอักโลหิตออกมา แต่ยักษ์สามหัวก็แค่ถอยโซเซไปทางด้านหลังไม่กี่ร้อยจ้างเท่านั้น มันแผดร้องคำรามโจมตีมาอีกครั้ง
“ช่างมีผิวหนังที่หยาบหนานัก” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย รังสีสังหารหมุนวนไปมาอยู่ในแววตา ทำการโจมตีออกไปอีกครั้ง หนึ่งหมัด, สองหมัด, สามหมัด ในชั่วพริบตาก็ต่อยออกไปถึงสิบกว่าหมัด เกิดเป็นเสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังก้องขึ้นมา จนกระทั่งในที่สุดยักษ์สามหัวก็กระอักโลหิตออกมา แต่แสงอันดุร้ายในแววตาก็ยิ่งมีความเข้มข้นมากกว่าเดิม
“รนหาที่ตาย” เมิ่งฮ่าวร้องตวาด โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ภูเขาจำนวนมากปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า แต่ละลูกกระจายเป็นพลังอันน่าตกใจออกมา บดขยี้ลงไปยังร่างของยักษ์สามหัว แม้ในตอนที่โลหิตพุ่งกระจายออกมาจากบาดแผลทั่วร่าง ยักษ์สามหัวก็ส่งเสียงแผดร้องแหลมเล็กออกมา จนกลายเป็นคลื่นเสียงที่ทรงพลังอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ กระแทกตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านไปทั้งร่างและใบหน้าก็ซีดขาว แต่ก็เดินไปข้างหน้าทีละก้าว ในที่สุดก็เดินไปทั้งหมดเจ็ดก้าว แต่ละก้าวที่เดินไปก็ทำให้พลังพุ่งขึ้นมา จากนั้นก็ดูเหมือนว่าหุบเหวทั้งหมดจะสั่นสะเทือนไปมาอย่างรุนแรง เมิ่งฮ่าวตวัดนิ้วออกไปราวกับเป็นสายฟ้า
ดรรชนีนั้นกระแทกลงไปยังศีรษะข้างหนึ่งของยักษ์ตนนั้น ทำให้ระเบิดออกในทันที ยักษ์ส่งเสียงแผดร้องอย่างโหยหวนออกมา และทันใดนั้นศีรษะอีกสองข้างก็ดูเหมือนว่ากำลังดิ้นรนไปมา ในตอนนี้ดวงตายักษ์เริ่มแจ่มใสขึ้น แต่จากนั้นในชั่วขณะต่อมา แสงสีแดงหม่นก็มาแทนที่ ยักษ์หยุดการเคลื่อนไหว มองไปยังเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็โจมตีมาอีกครั้ง
เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น เมื่อพลังอันมหาศาลบดขยี้ลงมายังเมิ่งฮ่าว ทำให้ต้องถอยไปทางด้านหลังสองสามก้าว เวลาเดียวกันนั้นก็ใช้มือขวาขยับร่ายเวท จากนั้นก็ชี้นิ้วเพื่อปลดปล่อยเวทผนึกอสูรรุ่นแปดออกไป
ทันใดนั้นแก่นแท้แห่งความว่างเปล่าก็ตกลงมา ทำให้ยักษ์สองหัวต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และจากนั้นก็เริ่มดิ้นรนต่อต้านผลกระทบที่ได้รับอยู่ในตอนนี้ แต่ทันใดนั้นเองที่เมิ่งฮ่าวเข้ามาใกล้และชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง
เสียงระเบิดดังก้องขึ้นเมื่อศีรษะของยักษ์อีกข้างระเบิดออก ทำให้มันมีศีรษะเหลืออยู่เพียงแค่ศีรษะเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้แสงสีแดงหม่นในดวงตาของมันก็หายไปแล้ว กลับเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมา ไม่มีร่องรอยสีแดงเหลืออยู่อีกต่อไป และม่านตาของมันก็สามารถจะมองเห็นได้แล้วในตอนนี้
“หลัวเทียน…หลัวเทียน…” ทันใดนั้นยักษ์ก็พูดขึ้นมา จากนั้นก็กู่ร้องออกไป และใบหน้าก็บิดเบี้ยวขึ้นด้วยความเจ็บปวด เอามือกุมศีรษะที่ยังคงเหลืออยู่ ราวกับว่ากำลังจะเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา
“เจ้าอย่าได้คิดว่าจะควบคุมข้าได้!”
“ข้าคือผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหมาง, จู้หลิงเสิน! (ยักษ์วิญญาณเทพ)”
เมื่อยักษ์แผดร้องคำรามออกมา บรรยากาศแห่งความดุร้ายและคลุ้มคลั่งอย่างไร้ขอบเขตก็พุ่งกระจายออกไป ตามมาด้วยความรู้สึกที่เก่าแก่โบราณอย่างลึกล้ำ
ชั่วขณะต่อมาดวงตาที่แจ่มใสของมันก็เริ่มปกคลุมไปด้วยแสงที่ขุ่นมัวอีกครั้ง มองลงมายังเมิ่งฮ่าวราวกับว่าเพิ่งจะพบเห็นเขาเป็นครั้งแรก และแววตาไม่อยากจะเชื่อก็ปรากฏขึ้นมา
“จู่เหริน (เจ้านาย)…นั่น…นั่นใช่ท่านหรือไม่…?” มันกล่าวขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน เริ่มพุ่งตรงเข้ามาโจมตีอีกครั้ง “สังหารข้า! ข้าคือจู้หลิงเสินของท่าน ข้ายอมตายดีกว่าที่จะถูกควบคุมโดยหลัวเทียน สังหารข้า, จู่เหริน!”
ยักษ์แผดร้องคำรามมุ่งหน้าตรงมายังเมิ่งฮ่าว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เตรียมตัวที่จะต่อต้านแต่อย่างใด
เมิ่งฮ่าวพุ่งถอยไปทางด้านหลัง ขณะที่ยักษ์ใกล้เข้ามา การโจมตีของมันก็รุนแรงขึ้นจนกระทั่งเกิดเป็นลมพายุพุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัว ในตอนนี้แสงสีแดงหม่นได้ปรากฏขึ้นในดวงตามันโดยสิ้นเชิงอีกครั้ง
เมิ่งฮ่าวไม่ลังเลแม้แต่น้อย ชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง แตะไปบนหน้าผากของยักษ์เป็นครั้งที่สาม
เสียงระเบิดดังก้องขึ้น และรอยแผลขนาดใหญ่ก็พุ่งทะลวงผ่านศีรษะยักษ์ออกไป เมื่อรอยแผลนั้นพุ่งกระจายไปทั่วร่าง ยักษ์ก็สั่นสะท้าน แต่ตอนนี้แสงสีแดงหม่นได้หายไปแล้ว และดวงตาของมันก็แจ่มใสขึ้นมาอย่างสมบูรณ์
มันมองมายังเมิ่งฮ่าว ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดและหวนรำลึก พึมพำว่า
“เจ้าไม่ใช่จู่เหรินของข้า…? แต่ก็ขอบคุณมาก…”
“หลัวเทียน หลัวเทียน” มันหัวเราะเป็นเสียงดังก้อง หลับตาลง และร่างกายก็แตกกระจายไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบ เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ พร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย การกระทำยักษ์แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง และแสงสีแดงหม่นในดวงตาของมันก็ยิ่งแปลกประหลาดไปมากกว่านั้น
“หลัวเทียนคือใคร? หลัวเทียนหวาดกลัวเซียน?” เมิ่งฮ่าวรู้สึกไม่ถูกต้อง หลังจากที่พึมพำกับตัวเอง ก็มองไปยังรอยแตกที่อยู่บนหน้าผากของรูปปั้นอีกครั้ง เข้าไปใกล้เพื่อตรวจสอบดูมากขึ้น
“ถูกสังหารไป…ด้วยกระบี่ที่โจมตีมาแค่ครั้งเดียว” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ตัวรูปปั้นเองมีขนาดที่ใหญ่โตมหาศาล จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่รอยแตกนั้นจะมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็มีความสูงถึงสิบจ้าง
“ร่างจำแลงของปรมาจารย์ชางหมางถูกฝังอยู่ในที่แห่งนี้โดยท่านปรมาจารย์เอง…เมืองและดินแดนอันกว้างใหญ่กลายเป็นเมืองภูตผี…จากตำนานที่เจ้าสำนักบอกเล่ามา…และคำพูดของยักษ์สามหัว มีความลับอะไรซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้?”
“เห็นได้ชัดว่าต้องมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตะเกียงสัมฤทธิ์ภายในร่างข้า”
ความคิดมากมายวิ่งผ่านไปทั่วจิตใจเมิ่งฮ่าว หลังจากที่ครุ่นคิดมากขึ้น ดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้น และขยับตัวเคลื่อนไหวในทันที ถูกตะเกียงวิญญาณที่กำลังพลุ่งพล่านปั่นป่วนชักนำให้ผ่านเข้าไปในรอยแตก และจากนั้นก็เข้าไปภายในรูปปั้น
ไม่มีชิ้นเนื้อและโลหิต มีแต่อุโมงค์ศิลาเท่านั้น ตอนแรกอุโมงค์นั้นลาดชันลงไป แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนทิศทางและมุ่งหน้าขึ้นไปด้านบน เมื่อเมิ่งฮ่าวพุ่งไปตามเส้นทาง ก็รู้สึกได้ว่าความผันผวนของตะเกียงสัมฤทธิ์ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น และเสียงเรียกจากก่อนหน้านี้ก็ยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้น
หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม เมิ่งฮ่าวก็หยุดลง
ที่เบื้องหน้าขึ้นไป อุโมงค์นำไปสู่ถ้ำศิลาแห่งหนึ่ง ตรงด้านข้างมองเห็นภาพวาดอยู่บนฝาผนัง ภาพวาดเหล่านั้นทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที
พวกมันเป็นภาพจากยุคสมัยในอดีตหลายปีมาแล้ว เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน และแม้แต่สัตว์ป่าที่ดุร้าย พวกมันทั้งหมดกำลังก้มกราบให้กับท้องฟ้า ตรงไปยังเงาร่างๆ หนึ่งที่กำลังใกล้เข้ามา อาบไล้อยู่ภายในแสงอันเจิดจ้า
เงาร่างนั้นมองลงมายังสิ่งมีชีวิตทั้งปวง…ที่ถูกถืออยู่บนมือขวาของมันคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่ยืดยาวออกไป ภายในนั้นมองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วน…
ขณะที่จ้องมองไปยังภาพวาดเหล่านั้น จิตวิญญาณของเมิ่งฮ่าว และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวตัวเขาก็ดูเหมือนว่าจะถูกดูดเข้าไปในภาพ ราวกับว่ากำลังจมลงไปในโลกที่อยู่ในภาพวาดนั้น
ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นหนึ่งในเงาร่างที่กำลังกราบกรานอยู่นั้น รู้สึกได้ถึงโลกที่เก่าแก่โบราณรอบๆ ตัวว่าเป็นอย่างไร และสามารถจะรับรู้ได้ถึงธรรมชาติอันไร้ขอบเขตของสวรรค์และปฐพี ภายในหูได้ยินเสียงของเงาร่างที่มองลงมายังสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
“สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ข้ามีนามว่า…หลัวเทียน”
“เนื่องจากการคงอยู่ของข้า จึงมีจักรวาลและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว รวมถึงดวงดาวทั้งหลาย และพวกเจ้าทั้งปวง…”