Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1470

ตอนที่ 1470

เศษชิ้นส่วนกระจกทองแดง

เมิ่งฮ่าวเดินทางผ่านดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สอง เคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็ว ใครก็ตามที่เฝ้ามองมา ก็จะเห็นเพียงแค่เงาร่างอันเลือนราง จนทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือนขึ้นมาเท่านั้น

มีแต่เขาเท่านั้นที่สามารถจะมองเห็นทะเลแห่งภูตผีซึ่งห้อมล้อมอยู่รอบตัว พวกมันมีจำนวนนับไม่ถ้วน กระจายเป็นความคลั่งไคล้, ความบ้าคลั่ง และความเคารพนับถือออกมาในเวลาเดียวกัน เมิ่งฮ่าวคล้ายกับเป็นองค์จักรพรรดิ นำกองกำลังของตนเองข้ามผ่านดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ไป

กลุ่มภูตผีลอยเข้ามาร่วมกับกองกำลังนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งทั้งแผ่นฟ้าและผืนดินต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยพวกมัน เกิดเป็นความหนาวเย็นอย่างรุนแรง จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ด้านบนและเบื้องล่างกำลังถูกแช่แข็งไป

ช่างเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนัก เขาพุ่งผ่านจุดศูนย์กลางของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สองไปโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง มุ่งหน้าตรงไปยังเขตชายขอบ และดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สามอย่างต่อเนื่อง

เมิ่งฮ่าวเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ และพื้นดินที่ด้านล่างก็ถูกแช่แข็งไปราวกับเป็นเงาร่างที่พุ่งติดตามไป

เซียนไป๋อู้เฉินไล่ตามมาทางด้านหลังกำลังแอบสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ เมิ่งฮ่าวคล้ายกับเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้าในยามเที่ยง และเป็นคนที่นางไม่ควรจะไปตอแยด้วยอย่างแท้จริง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายเดียวกับตนเอง ดังนั้นนางจึงไร้ทางเลือกนอกจากต้องพยายามขัดขวางเขาเท่านั้น นางจะไม่ยอมให้ใครสอดมือเข้ามาอย่างเด็ดขาด

ดวงตานางสาดประกายขึ้นด้วยความต้องการสังหาร ขณะที่ผลักดันให้ตัวเองเคลื่อนที่ออกไปเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ด้านหลังนางเป็นเจ้าสำนัก จากนั้นก็เป็นซาจิ่วตงและจินหยุนซานในชุดยาวสีทอง คนทั้งสามบินมาด้วยความรวดเร็วพอๆ กัน พูดพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่แน่ใจ ขณะที่จ้องมองไปยังไป๋อู้เฉินและเมิ่งฮ่าวที่เบื้องหน้า

เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในแผ่นฟ้าและผืนดิน คล้ายกับเสียงปะทุขึ้นมาของสายฟ้า กลุ่มภูตผีหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว ขณะที่ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งพื้นดิน และเมื่อบรรลุถึงเขตชายแดน เขาก็ไม่หยุดชะงักลงแม้แต่น้อย เสียงกรีดร้องแหลมเล็กนับไม่ถ้วนดังก้องขึ้นมา ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งเข้าไปในความว่างเปล่า ตรงไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม

ไม่นานนักหลังจากที่เมิ่งฮ่าวและทะเลแห่งภูตผีพุ่งผ่านเข้าไปในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม ไป๋อู้เฉินก็ปรากฏตัวขึ้น กัดฟันแน่น ไม่ยอมหยุดชะงักด้วยเช่นกัน เรียกกลุ่มหมอกออกมารวมตัวกัน จนทำให้ร่างนางเลือนรางลงไป ขณะที่บินตรงไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สามด้วยเช่นกัน

ติดตามมาด้วยเจ้าสำนักและผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุดอีกสองคน

พวกมันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่จากนั้นก็ปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันออกมาเพื่อติดตามไป ในตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันไม่อาจจะสรุปได้ว่า เป้าหมายของทั้งเมิ่งฮ่าวและไป๋อู้เฉินอยู่ในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สามนี้

แต่เป้าหมายนั้นจะคืออะไร และทำไมถึงทำให้คนทั้งสองต้องมุ่งมั่นเช่นนี้ เจ้าสำนักและอีกสองคนไม่เข้าใจ ไป๋อู้เฉินอาจจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว เขาไม่ใช่ตี้จิ่วจื้อจุนที่แท้จริง และเห็นได้ชัดว่าเคยมายังเขตสุสานแห่งนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าในครั้งแรกที่คนทั้งหมดมายังที่แห่งนี้ เมิ่งฮ่าวก็ได้พบเห็นร่องรอยบางอย่างเพิ่มเติม

เวลาเลื่อนผ่านไป เมิ่งฮ่าวนำอยู่เบื้องหน้า เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ถูกห้อมล้อมด้วยทะเลแห่งภูตผี ในที่สุดก็พุ่งผ่านเข้าไปในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม เขารู้ว่าไป๋อู้เฉินติดตามมาทางด้านหลัง แต่ก็แค่แค่นเสียงอย่างเย็นชา และไม่สนใจนางโดยสิ้นเชิง ขณะที่บินไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด พุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทางของตนเอง

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวเริ่มพุ่งตรงไปยังทิศทางนั้น ม่านตาของไป๋อู้เฉินก็หดเล็กลง ในตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเมิ่งฮ่าวกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางเดียวกับเป้าหมายของตนเอง

“บัดซบ!” นางคิด ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร กัดฟันแน่น ยังได้ใช้อายุขัยอันยาวนานของตนเองออกมา เพื่อให้มีพลังและความรวดเร็วเพิ่มขึ้นอีกด้วย กัดลงไปที่ปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมาหนึ่งคำ เปลี่ยนร่างกายตนเองให้กลายเป็นกลุ่มหมอก และกลุ่มหมอกนั้นก็กลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิตอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นมา และมีกลิ่นอายอันดุร้ายอย่างเข้มข้น

แทบจะทันใดนั้นระยะห่างระหว่างนางและเมิ่งฮ่าวก็หดแคบลงเป็นหลายเท่าตัว จากนั้นนางก็ทำการเคลื่อนย้ายทางไกล ไปปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ที่แห่งนั้นดวงตานางกลายเป็นสีแดงก่ำ ขณะที่ฟาดฝ่ามือออกไป

“กลับไป!” นางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เวลาเดียวกันนั้นก็ปลดปล่อยพลังการฝึกตนออกไป ทำให้พลังที่ฟ้าสะท้านดินสะเทือนมารวมตัวกันอยู่บนฝ่ามือ ผลลัพธ์ก็คือว่ากลุ่มหมอกที่เบื้องหน้านาง รวมตัวกันเป็นฝ่ามือยักษ์บดขยี้ตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

ดวงตาเมิ่งฮ่าวเย็นชาราวน้ำแข็ง ในตอนนี้เขาสามารถจะบอกได้ว่า ไป๋อู้เฉินรับรู้ถึงเป้าหมายของตนเองแล้ว

“ดูเหมือนว่าหญิงสาวนางนี้เข้ามาในเขตสุสาน โดยมีเป้าหมายเดียวกับข้า?”

แม้ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นี้ เมิ่งฮ่าวก็แค่นเสียงเย็นชา ชักนำให้กลุ่มภูตผีพุ่งตรงไปปะทะกับฝ่ามือหมอก พวกมันกรีดร้องคำรามออกมา ทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน ขณะที่กระแทกลงไปยังฝ่ามือข้างนั้น

ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล ก็ไม่อาจจะมองเห็นภูตผีเหล่านี้ได้ แต่ก็มองเห็นว่าฝ่ามือกำลังหยุดชะงักนิ่ง ไม่อาจจะเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าวได้ จากนั้นก็พังทลายลงไป และสีหน้าเซียนไป๋อู้เฉินก็สลดลง รีบล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นกลุ่มหมอกหายไปจากการโจมตีมาอย่างน่ากลัวของทะเลแห่งภูตผี

เมิ่งฮ่าวหันหน้ามองไปยังตำแหน่งที่ว่างเปล่าในอากาศที่อยู่ห่างไกลออกไป ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหารขณะที่กล่าวว่า “ถ้ามาขัดขวางเปิ่นจุนอีกครั้ง ไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไปมากน้อยแค่ไหน ข้าจะต้องสังหารเจ้าไปให้จงได้”

ด้วยเช่นนั้น เขาก็หันหลังและบินจากไป

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการจะสังหารไป๋อู้เฉิน แต่หญิงสาวนางนี้มีวิชาเวทที่แปลกประหลาด และแตกต่างไปจากจินหยุนซานในชุดสีทองเป็นอย่างมาก ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับตัวนาง

ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็จะไม่บีบบังคับนางมากเกินไป

หลังจากที่เมิ่งฮ่าวจากไป กลุ่มหมอกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงตำแหน่งที่เขาเพิ่งจะมองไป กลายเป็นรูปร่างของหญิงสาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือเซียนไป๋อู้เฉินนั่นเอง ใบหน้านางซีดขาว มีสีหน้าไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีทางเลือกใดๆ เหลืออยู่อีกแล้ว

นางรู้สึกว่าเมิ่งฮ่าวมีความแข็งแกร่งราวกับเป็นผู้ไร้พ่าย และความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองแม้แต่น้อย สามารถจะออกคำสั่งให้เหล่าภูตผีทั้งหมดทำการสังหารแทนตนเองได้

“ข้าใช้เวลาเตรียมตัวมานานหลายปี เฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน ในที่สุดโอกาสของข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว ชิ้นส่วนที่สองของกระจกนั้นเป็นของข้า และใครก็ตามที่พยายามจะแย่งชิงมันไปต้องตาย!” ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความบ้าคลั่ง นางเริ่มหอบหายใจออกมา จากนั้นก็หันหน้ามองไป ขณะที่เจ้าสำนักและคนอื่นๆ ใกล้เข้ามา

เมื่อนางมองเห็นพวกมัน ดวงตาก็สาดประกายขึ้น ดูเหมือนว่าริมฝีปากของนางกำลังขยับขึ้นลง ทำการส่งข้อความไปยังคนทั้งหมด

“คำพูดนี้เป็นความจริง!?!?”

“ท่านพูดว่าอะไร?!?!”

“เรื่องนี้เป็นความจริง?!?!”

เจ้าสำนักและคนอื่นๆ รีบโพล่งขึ้นมาแทบจะในเวลาเดียวกัน ผู้ที่พูดขึ้นมาก่อนเป็นเจ้าสำนัก ซึ่งเริ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในทันที ดวงตาสาดประกายขึ้นขณะที่จ้องมองไปยังเซียนไป๋อู้เฉิน

คนที่สองที่พูดขึ้นมาคือซาจิ่วตง แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่างมัน และดูเหมือนว่าแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ขณะที่จ้องมองไปยังเซียนไป๋อู้เฉิน ถึงแม้ว่ามันจะปกปิดความรู้สึกของตนเองอยู่ แต่ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ และดูเหมือนว่าจะรู้สึกตกใจอย่างลึกล้ำอีกด้วย

คนที่สามก็คือจินหยุนซาน ที่เริ่มหอบหายใจออกมา ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง

“พวกท่านจะรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าข้าพูดจริงหรือไม่” ด้วยเช่นนั้นนางก็โบกสะบัดมือออกไป ทำให้แผ่นหยกสามชิ้นลอยออกมา แต่ละชิ้นประกอบด้วยข้อมูลที่แตกต่างกัน เจ้าสำนักและอีกสองคนคว้าจับไว้คนละชิ้น

ในทันทีที่แผ่นหยกตกลงไปในมือเจ้าสำนัก มันก็ทำการศึกษาข้อมูลที่อยู่ภายใน จากนั้นสีหน้าก็หมองคล้ำลง หลังจากนั้นชั่วขณะ ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และบางสิ่งที่คล้ายกับการดิ้นรนก็สาดประกายขึ้นมาในแววตา จากนั้นแผ่นหยกก็หายไป และสีหน้ามันก็ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับซาจิ่วตง เมื่อมันดูแผ่นหยกเสร็จสิ้น ก็ไม่พูดอะไรออกมา แต่ดูเหมือนว่าดวงตาจะยิ่งแดงก่ำมากขึ้นไปกว่าเดิม และยังได้เปล่งประกายออกมาอย่างลืมตัวอีกด้วย

จากนั้นก็เป็นจินหยุนซาน ที่ถือแผ่นหยกไว้ในมือจนแน่น จนเส้นเลือดเขียวโผล่ขึ้นมา

“สหายเต๋าทั้งหลาย โปรดช่วยข้าได้หรือไม่? สำหรับภูตผีที่มันเรียกมาเหล่านั้น ข้ามีวิธีต่อต้านพวกมันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม” ไป๋อู้เฉินมองไปยังผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามด้วยความคาดหวัง มั่นใจว่าพวกมันจะต้องพึงพอใจกับข้อเสนอของตนเอง นางวางแผนมาอย่างยาวนานด้วยความยากลำบาก และทุ่มออกมาจนสุดตัวเพื่อจะได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนของกระจก เดิมทีนางจัดเตรียมแผ่นหยกเหล่านี้ไว้เพื่อป้องกันกลุ่มคนเหล่านี้มาต่อสู้แย่งชิงเศษชิ้นส่วนกระจกไปจากตนเอง

แต่เมิ่งฮ่าวก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไป และตอนนี้นางก็ถูกบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากแผนการเดิม

หลังจากที่พูดจบ นางก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ โดยไม่รอคำตอบจากคนทั้งสาม ก็หันหลังเพื่อจากไปในทันที ในจิตใจของนางมีความเชื่อมั่นว่า คนทั้งสามจะต้องยอมช่วยเหลือตนเองเพื่อจัดการกับเมิ่งฮ่าวอย่างแน่นอน

หลังจากที่นางจากไป ซาจิ่วตงเป็นคนแรกที่บินออกไป พร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ ความต้องการสังหารพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ต่อมาก็เป็นจินหยุนซาน เส้นเลือดเขียวยังคงโผล่ขึ้นมาบนมือมัน แต่สีหน้ากลับไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

สุดท้ายก็เป็นเจ้าสำนัก มันสูดหายใจเข้าลึกๆ และแสงอันเจิดจ้าในดวงตาก็จางหายไปเล็กน้อย สีหน้ากลายเป็นเย็นชา และพึมพำออกมาว่า “สหายเต๋าเมิ่ง ยกโทษให้ข้าด้วย…”

จากนั้นพลังของมันก็พุ่งขึ้นไป และไล่ตามคนอื่นๆ ไปในทันที

กลุ่มคนทั้งสามพร้อมกับไป๋อู้เฉินไล่ตามเมิ่งฮ่าวไป มองเห็นเขาอยู่ในตำแหน่งที่เป็นเป้าหมายของตนเอง ซึ่งไม่ได้ห่างไกลออกไปมากนัก

เป็นทะเลทรายแห่งหนึ่ง ผืนทรายกำลังถูกสายลมอันรุนแรงม้วนกวาดไปมาราวบ้าคลั่ง เมื่อเมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็โบกสะบัดมือทั้งสองออกไปที่เบื้องหน้า พร้อมกับปลดปล่อยเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ขณะที่กลุ่มภูตผีนับไม่ถ้วนเริ่มกระจายออกไปตรึงอาณาเขตแห่งนั้นไว้

สีหน้าเมิ่งฮ่าวก็เริ่มตื่นเต้นและมุ่งหวังขึ้น

เขาฟาดฝ่ามือตรงไปยังทะเลทราย และเสียงระเบิดก็ดังก้องขึ้นมา ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือน ผืนทรายก็เริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วน ค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นภูเขาขึ้นมาอย่างช้าๆ

ขณะที่ภูเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ทะเลทรายก็เริ่มหดตัวลงไป ภูเขาทรายพุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เสียดแทงก้อนเมฆขึ้นไป ในที่สุดก็ไม่มีทะเลทรายอีกต่อไป

ที่เผยให้เห็นอยู่ตรงหน้าเมิ่งฮ่าวคือเศษซากปรักหักพังที่ยืดยาวออกไป ซึ่งถูกกลบฝังอยู่ใต้ทะเลทราย และในท่ามกลางเศษซากปรักหักพังเหล่านั้นคือทะเลสาบแห่งหนึ่ง!

เมื่อตรวจสอบดูอย่างละเอียดก็พบว่าจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ทะเลสาบ แต่เป็น…เศษชิ้นส่วนของกระจก แต่ก็มีขนาดที่ใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ตอนที่มองไปแค่แวบแรก ก็ดูคล้ายกับทะเลสาบอย่างแท้จริง

จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มเต้นรัวขึ้นมา เมื่อมองเห็นเศษชิ้นส่วนของกระจก คิดไปถึงนกแก้ว และกระจกทองแดง รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ อีกมากมาย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยื่นมือออกไปทำท่าคว้าจับในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!