Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1473

ตอนที่ 1473

เพราะว่ามันเป็นของข้า

เมิ่งฮ่าวมองไปยังเศษชิ้นส่วนกระจกของตนเอง ด้วยสายตาที่อ่อนโยน ขณะที่นึกย้อนไปถึงกระจกทองแดง ส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเข้าไปในเศษชิ้นส่วนนั้น ใช้วิธีการเดียวกับที่เคยควบคุมกระจกทองแดงมาก่อน ทำให้แสงอันเจิดจ้าสาดประกายออกมาเกินกว่าแสงที่เคยเกิดขึ้นจากก่อนหน้านี้

จนดูคล้ายกับเป็นดวงตะวันขนาดเล็กปรากฏขึ้นอยู่บนมือ และบดบังแสงจากเศษชิ้นส่วนกระจกที่เซียนไป๋อู้เฉินถืออยู่ในมือโดยสิ้นเชิง กลายเป็นสิ่งที่เปล่งประกายเจิดจ้ามากที่สุดในโลกแห่งนี้

แสงอื่นๆ ทั้งหมดเมื่อมาเทียบกันแล้ว ก็กลายเป็นมืดสลัวไร้สีสันไปในทันที คนทั้งหมดสามารถจะมองเห็นได้ว่าเศษชิ้นส่วนกระจกน่าตกใจอย่างถึงที่สุดจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้

ดวงตาไป๋อู่เฉินเบิกกว้างขึ้น หลังจากที่ทำการค้นคว้าเศษชิ้นส่วนกระจกของตนเองมานานหลายปี ก็เริ่มเข้าใจถึงคุณสมบัติบางอย่างของมัน และตระหนักเป็นอย่างดีว่ายิ่งมันเปล่งแสงอย่างเจิดจ้าออกมามากเท่าใด ก็จะยิ่งปลดปล่อยพลังและแรงกดดันออกมาได้มากขึ้นเท่านั้น

จิตใจนางเริ่มเต้นรัวขึ้นมา แต่ท่าทีภายนอกยังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ อย่างไรก็ตามก่อนที่นางจะทันได้ทำอะไร ก็คาดไม่ถึงว่าจะมองเห็นเศษชิ้นส่วนกระจกที่เมิ่งฮ่าวถืออยู่ในมือ…กำลังเริ่มหลอมละลายไป!

“นี่…?” จิตใจเซียนไป๋อู้เฉินเริ่มหมุนคว้าง สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้เกินกว่าความคาดคิดของนางโดยสิ้นเชิง คาดไม่ถึงว่าเศษชิ้นส่วนกระจกจะหลอมละลายไปอย่างแท้จริง นางเฝ้ามองไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเศษชิ้นส่วนกระจกนั้นหลอมรวมเข้าไปในมือขวาเมิ่งฮ่าว กระจายออกไปปกคลุมมือข้างนั้น เพื่อก่อตัวเป็น…ถุงมือข้างหนึ่ง!

ถุงมือนั้นเป็นสีดำสนิท ดูเหมือนว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของชุดเกราะ เกิดเป็นบรรยากาศที่ข่มขู่คุกคาม และระเบิดเป็นกลิ่นอายที่บ้าคลั่งอย่างรุนแรงออกมา

เป็นกลิ่นอายที่ทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือน เวลาเดียวกันนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่ามันถูกสะกดข่มไว้มานานหลายปี แต่ในตอนนี้ก็สามารถจะเปิดเผยออกมาได้แล้ว คล้ายกับเป็นของวิเศษที่ถูกกลบฝังไว้ แต่ในที่สุดก็ได้พบกับแสงแห่งวันใหม่ เพื่อที่จะเปล่งประกายความรุ่งเรืองของมันออกไป

ไป๋อู้เฉินจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง ขณะที่คำพูดก่อนหน้านี้ของเมิ่งฮ่าว ยังคงดังก้องอยู่ในจิตใจ

“วิธีการใช้ของข้า ผิดพลาดมาโดยตลอด?” นางครุ่นคิดด้วยจิตใจที่หมุนคว้าง ไม่มีเวลาที่จะทันได้ใคร่ครวญว่าจะต้องมีปฏิกิริยาอย่างไร ขณะที่นางเตรียมตัวจะขยับร่างเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเศษชิ้นส่วนกระจกของตนเองก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา ราวกับว่ามันกำลังจะหลุดออกไปจากการควบคุมของนาง

“นี่…นี่เป็นไปไม่ได้…” ไป๋อู้เฉินกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าซีดขาว นางศึกษาค้นคว้าเศษชิ้นส่วนกระจกนี้มานานหลายปี จนพบว่าต้องใช้มันออกมาตามวิธีการที่นางกระทำมา และมักจะคิดว่าตนเองใช้มันอย่างถูกต้องแล้ว แต่ตอนนี้หลังจากที่มองเห็นเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนเศษชิ้นส่วนกระจกให้กลายเป็นถุงมือ จิตใจนางก็ตกอยู่ในความสับสน “เจ้า…เจ้าทำได้อย่าง…?”

ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดมือออกไปอย่างเยือกเย็น เสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น เมื่อเศษชิ้นส่วนกระจกที่ลอยวนอยู่รอบๆ ตัวเซียนไป๋อู้เฉิน ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่นางได้ครอบครองมานานหลายปีจู่ๆ ก็เริ่มสั่นสะท้านไปมา จากนั้นก็ตัดการเชื่อมต่อกับนาง กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวในทันที

“ไม่!” นางกรีดร้องออกมา คล้ายกับมีหมัดที่มองไม่เห็นกระแทกลงมาบนร่าง ใบหน้าซีดขาวและกระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ นางไม่อาจจะยอมรับในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้ นี่คือของวิเศษอันล้ำค่าของตนเอง เป็นโอกาสที่จะได้กลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง เป็นสิ่งที่นางฝากความหวังทั้งหมดไว้ เป็นสิ่งที่นางทำการศึกษาค้นคว้ามาปีแล้วปีเล่า อันที่จริงในอดีตที่ผ่านมา นางยังสามารถจะใช้เศษชิ้นส่วนกระจกนี้เพื่อตรวจจับการคงอยู่ของเศษชิ้นส่วนกระจกอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย แต่ตอนนี้…กลับพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองเข้าใจเกี่ยวกับเศษชิ้นส่วนกระจกนี้ไม่ถูกต้อง

ความรู้สึกที่นางพบเจออยู่นี้ คล้ายกับเป็นการเลี้ยงเด็กทารกให้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ แต่ต่อมาก็พบว่าเด็กทารกนั้นไม่มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับตนเองแม้แต่น้อย และเด็กผู้นั้นก็กลับไปหาครอบครัวที่แท้จริงของมันเอง…

ไป๋อู้เฉินยังรู้สึกได้ถึงความยินดีที่อยู่ภายในเศษชิ้นส่วนกระจกอีกด้วย ราวกับว่ามันกำลังไปรวมตัวกับญาติสนิท หลังจากที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี

“เพราะอะไร?!?!” ไป๋อู้เฉินถามขึ้น จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เส้นผมยุ่งเหยิงจนดูเหมือนว่าแทบจะใกล้บ้าไปแล้ว จากนั้นก็ได้แต่เฝ้ามองไป ขณะที่เศษชิ้นส่วนกระจกของตนเองหลอมละลาย รวมเข้ากับแขนของเมิ่งฮ่าว กลายเป็นปลอกแขนที่ปกคลุมไปทั่วแขนของเขา!

เป็นสีดำสนิทและกระจายเป็นแสงอันลี้ลับออกมา พร้อมกับกลิ่นอายอันน่าตกใจ เมื่อได้เห็นชุดเกราะนี้เป็นครั้งแรก ไป๋อู้เฉินพร้อมทั้งคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างก็สั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง

ปลอกแขนนี้ปกคลุมด้วยลวดลายที่ดูคล้ายก้อนเมฆอันซับซ้อน จากกลิ่นอายอันน่าตกใจของมัน ก็ดูเหมือนว่าแขนของเมิ่งฮ่าวได้มีการเชื่อมต่อกับโลกแห่งนี้ด้วยวิธีการที่ลี้ลับบางอย่าง

เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้ กลุ่มภูตผีที่ถูกสะกดไว้ก็เริ่มตื่นขึ้นมา ขณะที่พวกมันเงยหน้าขึ้นมองไปยังเมิ่งฮ่าว ก็เห็นชุดเกราะที่เขากำลังสวมใส่อยู่ และเริ่มคุกเข่าลงไปเพื่อกราบสักการะในทันที

โลกแห่งนี้เงียบกริบไปโดยสิ้นเชิง สายตาทุกคู่ต่างก็จ้องนิ่งมายังเมิ่งฮ่าว หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ มองไปยังชุดเกราะที่ปกคลุมแขนและมือของเขาไว้

เจ้าสำนักสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกได้ถึงอันตรายที่ปรากฏขึ้นมาในตอนนี้ ม่านตาซาจิ่วตงหรี่เล็กลง และความบ้าคลั่งในดวงตากำลังจางหายไปจนกลายเป็นแสงอันเจิดจ้าขึ้นมา

มีแต่เซียนไป๋อู้เฉินเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าไม่อาจจะยอมรับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้ ก่อนหน้านี้นางต่อสู้อย่างได้เปรียบ และมีเศษชิ้นส่วนกระจกให้พึ่งพาได้ แต่จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวได้ตอบคำถามของไป๋อู้เฉิน

“เพราะว่ามันเป็นของข้า” เขาพึมพำ มองลงไปยังชุดเกราะด้วยสายตาที่อ่อนโยน แววตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงแห่งการหวนรำลึก เมื่อคำพูดดังก้องออกไป ไป๋อู้เฉินก็ได้ยิน และสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“เป็นไปไม่ได้!!” นางกรีดร้องออกมา ทำลายความเงียบสงบในบริเวณนั้นไปโดยสิ้นเชิง ไม่อาจจะยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้ ด้วยเช่นนั้นนางก็ขยับร่างเคลื่อนไหว ปลดปล่อยพื้นฐานฝึกตนออกไป พลังแห่งเก้าแก่นแท้ระเบิดขึ้น ทำให้เกิดเป็นกลุ่มหมอกพุ่งกระจายออกไปปกคลุมโลกแห่งนี้ไว้ทั้งหมด จากนั้นก็ส่งเสียงกระหึ่มพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

นางไม่ยอมพ่ายแพ้ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะดำเนินมาถึงจุดนี้ก็ตามที

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะนำเศษชิ้นส่วนกระจกไปแล้ว แต่นางก็ยังคงจะยอมเสี่ยงชีวิตด้วย!

“เจ้าสำนัก สหายเต๋าซา โปรดช่วยข้าเป็นครั้งสุดท้าย!” นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหลมเล็ก และยังได้อ้อนวอนออกมาอีกด้วย เจ้าสำนักถอนหายใจ จากนั้นก็ก้าวเดินตรงไป กลายเป็นลำแสงพุ่งผ่านกลุ่มหมอกแก่นแท้ที่ไป๋อู้เฉินสร้างขึ้นมา

จากนั้นก็เป็นซาจิ่วตง มันกัดฟันแน่น จากนั้นก็เริ่มหมุนคว้างไปมา กลายเป็นลมพายุที่หลอมรวมเข้ากับกลุ่มหมอก การรวมพลังกันของผู้แข็งแกร่งทั้งสามนี้ กลายเป็นพลังทำลายล้างที่กดทับลงมายังเมิ่งฮ่าวอย่างน่าตกใจ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นต้องสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไป ดวงตาสาดประกายขึ้น ความต้องการต่อสู้พุ่งทะยานขึ้นไปในทันที และขยับร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพอันเลือนราง ไปปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้ากลุ่มคนทั้งสามในทันที

จากนั้นก็ต่อยหมัดออกไป เกิดเป็นระลอกคลื่นที่คล้ายกับก้อนเมฆพุ่งกระจายออกไป หมัดนั้นดูเหมือนว่าจะเชื่องช้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไป๋อู้เฉินและคนอื่นๆ ไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้ ราวกับว่า…ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวต่อยออกไป พลังระเบิดก็พุ่งลงไปยังแก่นแท้กลุ่มหมอกในทันใด!

กลุ่มหมอกส่งเสียงดังกระหึ่ม ขณะที่พายุทรายพุ่งผ่านมันไป จนเริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วนและเสียงระเบิดก็ได้ยินออกมา จากนั้นกลุ่มหมอกก็เริ่มเหือดแห้งหายไป เผยให้เห็นไป๋อู้เฉินที่กระอักโลหิตออกมา เวลาเดียวกันนั้นเมิ่งฮ่าวก็เดินตรงมาอีกหนึ่งก้าว ต่อยออกไปอีกหนึ่งหมัดยังเจ้าสำนัก

อันที่จริงเขาไม่ได้ต่อยไปที่เจ้าสำนักโดยตรง แต่ปลดปล่อยพลังของหมัดอยู่ที่เบื้องหน้ามัน เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น และสายลมขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมา ทำให้สีหน้าเจ้าสำนักเปลี่ยนไป ตอนแรกมันคิดว่าจะใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์บางส่วนโจมตีกลับไป แต่จากนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความตระหนักว่าไม่อาจจะทำอะไรได้ในตอนนี้ จึงฉวยโอกาสใช้พลังจากแรงระเบิดนั้นลอยละลิ่วไปทางด้านหลัง เพื่อเปิดทางให้กับเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวก้าวเดินตรงไปอีกครั้ง หันหน้ามองไปยังซาจิ่วตงที่อยู่ในพายุทราย

ซาจิ่วตงเลือกที่จะทำเช่นเดียวกับเจ้าสำนัก ถอยหลังไปอย่างเงียบๆ ถอนหายใจออกมาเมื่อตระหนักว่าไม่อาจจะต่อสู้กลับไปได้แม้แต่น้อย

หลังจากที่เจ้าสำนักและซาจิ่วตงล่าถอยออกไป เมิ่งฮ่าวก็ไปปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าเซียนไป๋อู้เฉิน และต่อยหมัดออกไปอีกครั้ง

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่แรงระเบิดกระแทกลงไปบนร่างนาง ความผันผวนที่คล้ายก้อนเมฆกระจายออกมาจากชุดเกราะ ไป๋อู้เฉินกระอักโลหิตออกมา จากนั้นก็ลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลังราวกับเป็นว่าวที่ถูกตัดสายป่าน เสียงแตกร้าวดังก้องอยู่ในอากาศตลอดเวลา ตอนแรกนางไม่อาจจะหยุดลงได้ และกระอักโลหิตออกมามากขึ้น ขณะที่ลอยไปทางด้านหลังอย่างต่อเนื่อง แต่ในที่สุดก็ไปหยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่ห่างออกไปหนึ่งพันจ้าง จากนั้นก็มองขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว และกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง

กลิ่นอายนางตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ขณะที่กระแสปราณและโลหิตภายในร่างกำลังไหลย้อนกลับ นางพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อควบคุมพลังนั้น แต่โลหิตก็ยังคงไหลซึมออกมาจากมุมปากอย่างต่อเนื่อง

ดวงตาเจ้าสำนักเบิกกว้างขึ้น แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ซาจิ่วตงถอยไปทางด้านหลังอย่างไม่รู้สึกตัวเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ

สำหรับจินหยุนซาน มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และอดที่จะคิดอย่างช่วยไม่ได้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเองตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วอย่างแท้จริง

“ข้าเคยบอกแล้วว่า เรื่องนี้จบลงไปแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป และกลุ่มภูตผีที่กำลังกรีดร้องอยู่ในบริเวณนั้นก็เริ่มหมุนวนอยู่รอบๆ ตัว กลายเป็นกระแสน้ำวนที่มองไม่เห็น

พุ่งกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง หนึ่งร้อยหลี่, หนึ่งพันหลี่, หนึ่งหมื่นหลี่, หนึ่งแสนหลี่, หนึ่งล้านหลี่…ในที่สุดก็ยืดยาวออกไปทั่วทุกทิศทางจนดูเหมือนว่าจะไร้จุดสิ้นสุด

เมิ่งฮ่าวอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง คล้ายกับเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ภายในโลกแห่งนี้

แรงกดดันที่กระจายออกมาจากร่างระเบิดออกไป แทนที่แรงกดดันแห่งสวรรค์ ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้ ทะเลแห่งภูตผีก็กระจายเป็นแรงกดดันออกมาด้วยเช่นกัน เมื่อรวมเข้ากับแรงกดดันของเมิ่งฮ่าว ก็ทำให้พื้นดินต้องสั่นสะเทือน ราวกับว่าทั่วทั้งโลกนี้ ราวกับว่าฟ้าดินทั้งปวง กำลังกราบกรานสักการะต่อเมิ่งฮ่าว

สีหน้าจินหยุนซานสลดลง และถอยไปทางด้านหลัง โคจรหมุนวนพลังการฝึกตนไปมา เจ้าสำนักถอนหายใจ ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็ทำท่าคว้าจับ ทำให้ถุงสมบัติปรากฏขึ้น มันวางลงไปบนพื้นและถอยไปทางด้านหลัง หลังจากที่ล่าถอยออกไปไกล ก็โคจรหมุนวนพลังการฝึกตนเพื่อปกป้องตนเองจากแรงกดดันอันรุนแรงนั้น

ซาจิ่วตงถอนหายใจ จากนั้นก็หยิบถุงสมบัติออกมา วางลงไปบนพื้นและถอยไปทางด้านหลังด้วยเช่นกัน

การกระทำของพวกมันในตอนนี้ชัดเจนยิ่ง ก่อนหน้านี้พวกมันไม่เพียงแต่จะยั้งมือไว้ตลอดช่วงของการต่อสู้เท่านั้น ตอนนี้พวกมันยังได้จ่ายค่าชดเชยออกมาด้วยเช่นกัน ในความคิดของพวกมัน เมิ่งฮ่าวคงจะไม่ไล่ล่าตามมาโจมตีอย่างไม่ลดละเป็นแน่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!