Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1474

ตอนที่ 1474

เส้นทางนี้ช่างยาวไกลนัก

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวมีหลักการของตนเองด้วยเช่นกัน หลังจากที่มองไปยังเจ้าสำนักและซาจิ่วตง ก็พยักหน้าให้เล็กน้อย โบกสะบัดชายแขนเสื้อ เก็บถุงสมบัติทั้งสองขึ้นมา จากนั้นก็มองไปยังไป๋อู้เฉิน

ริมฝีปากนางยังคงมีคราบโลหิต และใบหน้าก็ซีดขาว ยืนสั่นสะท้านอยู่ที่นั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น ขณะที่กวาดมองไป ไม่ใช่เมิ่งฮ่าว แต่เป็นสถานที่อันห่างไกลออกไป ด้วยอารมณ์ที่เศร้าหมอง

นางพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง แผนการทั้งหมด, การเตรียมตัวทั้งปวง ไม่อาจจะต่อต้านกับพลังที่ต่อยมาเพียงแค่ครั้งเดียวของเมิ่งฮ่าวได้

ถึงแม้ว่านางไม่ต้องการจะยอมรับ แต่ในส่วนลึกของจิตใจก็รู้ดีว่าสิ่งที่เมิ่งฮ่าวพูดออกมานั้นไม่ได้หลอกลวง เศษชิ้นส่วนกระจกนั้นเป็นของเขาจริงๆ ถ้าไม่ใช่ เศษชิ้นส่วนที่ตนเองศึกษาค้นคว้ามานานหลายปี จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าเหลือเชื่อได้เช่นนั้นอย่างแน่นอน

และนางก็เข้าใจด้วยเช่นกันว่า ผลของความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องสูญเสียเศษชิ้นส่วนกระจกเท่านั้น แต่เป็นเส้นทางที่จะกลับไปสู่บ้านเกิดของตนเองด้วยเช่นกัน

“ตอนนี้ข้าไม่อาจจะกลับไปได้อีกแล้ว…จนกว่าข้าจะอยู่เหนือสูงสุด…แต่เหนือสูงสุดนั้นก็ยากเย็นยิ่งนัก ข้าไม่อาจแม้แต่จะทำได้สำเร็จด้วยเก้าแท่นบูชาในเขตสุสานแห่งนี้ แม้แต่ใช้แท่นบูชาเต๋าของปรมาจารย์ชางหมางก็อาจจะไม่ได้ผล” เหตุผลทั้งหมดที่นางสามารถบีบบังคับให้เจ้าสำนักต้องช่วยเหลือก็คือ ได้เสนอร่องรอยเกี่ยวกับแท่นบูชาเต๋าของปรมาจารย์ชางหมางให้แก่มัน

นางรู้ว่าเนื่องจากวิชาที่ตนเองฝึกฝนมา การก้าวเข้าไปสู่เหนือสูงสุดเป็นเรื่องที่ยากเย็นเป็นพิเศษสำหรับตัวเอง ยากยิ่งกว่าคนอื่นๆ โดยทั่วไป ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือว่า นางเฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานานกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมด นางคือบุคคลแรกจากชางหมางเต้าที่ลงมายังดาวชางหมาง

นางต้องมาอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตมาเป็นเวลานาน นางต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้ กลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง พลังของเศษชิ้นส่วนกระจกและเจตจำนงเหนือสูงสุดนั้น ทำให้นางได้ข้อสรุปว่าจะช่วยเปิดความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตออกมา นอกจากนั้นยิ่งรวบรวมเศษชิ้นส่วนกระจกได้มากเท่าใด ก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในจุดเหนือสูงสุด นางก็ยังคงออกไปจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตนี้ได้

“ข้าแค่ต้องการกลับบ้านไปเท่านั้น…ข้าแค่ต้องการออกไปจากที่แห่งนี้ กลับไปยังบ้านข้าตรงด้านนอกความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต…” นางพึมพำขึ้นมาด้วยความขมขื่น เจ้าสำนักยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ และซาจิ่วตงก็แอบถอนหายใจออกมา สีหน้าอันซับซ้อนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกสามารถมองเห็นได้บนใบหน้าของจินหยุนซาน

“ด้านนอกความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้นมาในทันที มองไปยังนาง

“ด้านนอกความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตคืออะไร? เป็นโลกที่คล้ายกับมีท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอยู่ข้างใน?” มันคือคำถามที่เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดมาตั้งแต่มีประสบการณ์อยู่ใต้พื้นผิวดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกของเขตสุสาน ในภาพที่เขาเคยพบเห็นมา ตนเองได้ออกไปอยู่ตรงด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต และได้เห็นสิ่งที่มีแต่ความว่างเปล่าอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง เป็นความว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเสาขนาดใหญ่ห้าต้นเท่านั้น

ไม่มีสิ่งที่ถูกเรียกว่าชางหมางเต้าอย่างแน่นอน!

ในตอนนั้นเมิ่งฮ่าวเริ่มสงสัยถึงต้นกำเนิดของชางหมางพ่าย ซึ่งถูกเรียกว่าชางหมางเต้าว่าอาจจะเป็น…เรื่องหลอกลวง ถ้าเป็นเช่นนั้นบางทีโลกตรงด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต เป็นสถานที่ซึ่งผู้ฝึกตนเหนือสูงสุดสามารถจะไปได้…ก็เป็นเรื่องหลอกลวงด้วยเช่นกัน

“ด้านนอกความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตคือบ้านเกิดของข้า มันเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองจนความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตไม่อาจจะเทียบได้ ตรงด้านนอกนั้นไม่มีกลุ่มหมอก มีแต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอันระยิบระยับเท่านั้น พร้อมทั้งดวงดาวมากมายที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน” ไป๋อู้เฉินกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ

“ที่แห่งนั้นแน่นหนาอุดมไปด้วยกลิ่นอายวิญญาณเซียน ที่แห่งนี้ไม่อาจจะเทียบได้แม้แต่น้อย ราวกับเป็นยาจกที่ยากไร้!” ถึงแม้ว่านางจะพูดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่ขณะที่พูดนั้นดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น ในจิตใจเมิ่งฮ่าวแทบจะจินตนาการไปถึงดินแดนเซียนที่นางพรรณนาออกมาได้ และถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จากสิ่งที่เขาเคยพบเห็นมาจากด้านนอกความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต แต่ถึงกระนั้นดวงตาเมิ่งฮ่าวก็ยังคงสาดประกายขึ้น ขณะที่มองไปรอบๆ ก็ตระหนักได้ว่าเจ้าสำนัก, ซาจิ่วตง หรือแม้แต่จินหยุนซานต่างก็ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในห้วงภวังค์เหมือนกับไป๋อู้เฉิน

หนังศีรษะเมิ่งฮ่าวเริ่มด้านชาขึ้นมา

ภายในร่างเขามีเศษชิ้นส่วนวิญญาณของตี้จิ่วจื้อจุนที่แท้จริงอยู่ ซึ่งตนเองได้ใช้วิชาควานหาวิญญาณมานานแล้ว ในตอนนั้นเขาไม่พบความทรงจำใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ด้านนอกความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ราวกับว่าความทรงจำเหล่านั้นถูกผนึกไว้ ทำให้ไม่อาจจะรับรู้ได้

“ด้านนอกความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตคืออะไรกันแน่? มันเหมือนกับที่ไป๋อู้เฉินพูดมา หรือว่าเหมือนกับที่ข้าเคยเห็นมา?” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิด ดวงตาแวบประกายขึ้นขณะที่มองไปยังเซียนไป๋อู้เฉินอีกครั้ง ถึงแม้ว่านางพยายามจะสังหารเขา แต่ก็ยังคงเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอย่างแท้จริง

นางต้องการกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง เหมือนกับเมิ่งฮ่าวที่ต้องการกลับไปยัง…

เมิ่งฮ่าวถอนหายใจและหันหน้ามองไปทางอื่น กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปยังที่ห่างไกลพร้อมกับเหล่าภูตผี

เมิ่งฮ่าวบรรลุถึงเป้าหมายที่เข้ามายังเขตสุสานนี้ เขาได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนกระจกทองแดงแล้ว อันที่จริงเขายังได้ครอบครองถึงสองชิ้นอีกด้วย ตอนนี้จึงไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่อีกต่อไป เขาจะออกไปจากเขตสุสาน และกลับไปยังดาวชางหมาง จากนั้นก็จะติดตามแรงดึงดูดของเศษชิ้นส่วนกระจก เพื่อไปค้นหาอีกหกชิ้นที่เหลือ!

“เมื่อไหร่ที่ข้าหาพวกมันพบ ก็สามารถเรียกกระจกทองแดงกลับมาได้ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนก็ตาม!” แววตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผ่านดินแดนที่สามเข้าไปในดินแดนที่สอง และในที่สุดก็บรรลุถึงดินแดนแห่งแรก ข้ามสะพานแห่งเลือดเนื้อ พุ่งผ่านเขตชายแดนออกไป และในที่สุดก็ก้าวเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลซึ่งเป็นปากทางออก ที่แห่งนั้นเมิ่งฮ่าวหยุดลง และหันหน้ามองกลับไป

เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปยังดินแดนแห่งที่เก้าซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป ก็มองเห็นบัลลังก์ขนาดใหญ่และเงาร่างที่นั่งอยู่บนนั้นซึ่งดูเหมือนว่ากำลังมองมาที่เขาได้อย่างเลือนลางเท่านั้น

ด้วยเช่นนั้นเขาก็หันหลังและก้าวเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกล

หลังจากที่เมิ่งฮ่าวจากไป เจ้าสำนักและคนอื่นๆ ก็ยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่นชั่วขณะ สั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง หลังจากที่พ่ายแพ้แล้ว ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของไป๋อู้เฉินที่จะได้กลับไปบ้านของนางในตอนนี้ ก็เหลือแต่การเข้าไปสู่จุดเหนือสูงสุดเท่านั้น หลังจากที่เปิดเผยข้อมูลที่นางสัญญาไว้กับเจ้าสำนักและซาจิ่วตงเรียบร้อยแล้ว คนทั้งหมดก็ไปค้นหาความรู้แจ้งบนแท่นบูชาเหนือสูงสุดที่อยู่ในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สองและสาม เมื่อถึงเวลาพวกมันก็พยายามอยู่รอดจากหายนะบนดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สามด้วยการใช้กระดองเต่า

เส้นทางที่เดินไปแตกต่างกัน ดังนั้นทางเลือกก็แตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้วในตอนนี้แท่นบูชาเหนือสูงสุดในเขตสุสานไร้ประโยชน์ใดๆ หลังจากที่สร้างเวทรุ่นเก้าได้สำเร็จเท่านั้นเขาถึงจะสามารถกลับมาได้ จากนั้นก็พยายามสร้างมันจนไปถึงแท่นบูชาที่เก้า และเขาก็สามารถจะขจัดกลุ่มหมอกไปได้ และใช้พลังของแท่นบูชาเพื่อหลอมรวมเวทผนึกทั้งเก้าเข้าด้วยกัน

สำหรับเจ้าสำนักและคนอื่นๆ พื้นฐานฝึกตนของพวกมันอยู่ในจุดสูงสุดเรียบร้อยแล้ว จึงมีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นที่จะเดินต่อไปได้ก็คือการก้าวเข้าไปเหนือจุดสูงสุด มันอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ตราบเท่าที่มีโอกาสทำได้สำเร็จแม้แต่เพียงน้อยนิด พวกมันก็จะไม่ยอมพ่ายแพ้

ย้อนกลับไปยังดาวครึ่งดวง เมิ่งฮ่าวก้าวออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกล เส้นผมลอยพลิ้วไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ขณะที่ดวงตาที่สามปิดอยู่ กลายเป็นเครื่องหมายสีม่วงบนหน้าผาก

จากนั้นก็ขยับตัวเคลื่อนไหว กลับเข้าไปยังเขตนั่งเข้าฌานตามลำพังของตนเองในเมืองตี้จิ่วจื้อจุน ในที่แห่งนั้นเขายกมือขวาขึ้นมา ทำให้เศษชิ้นส่วนกระจกลอยอยู่ที่เบื้องหน้าสองชิ้น

ต่อมาเขาส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในเศษชิ้นส่วนทั้งสอง และสามารถจะรับรู้ได้ถึงสถานที่ที่แตกต่างกันออกไปเจ็ดแห่งในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต หนึ่งในที่แห่งนั้นเป็นกระจกทองแดง แต่ก็ไม่อาจจะรับรู้ถึงตำแหน่งที่แน่ชัดของมันได้ สถานที่อีกหกแห่งค่อนข้างจะตรงกันข้าม เขาสามารถจะบ่งชี้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหนได้อย่างแน่ชัด

เมิ่งฮ่าวพยายามเรียกกระจกทองแดง ถึงจะเป็นความจริงที่ว่าเศษกระจกสองชิ้นมีพลังมากกว่าชิ้นเดียว แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะเรียกกระจกทองแดงได้สำเร็จ เขาจำเป็นต้องมีเศษกระจกมากกว่านี้

“ร่างจำแลงข้าเดินมาถูกทางแล้ว ตอนที่มันผ่านเข้าไปในอาณาจักรเต๋า ก็จะสามารถสร้างเครื่องหมายผนึกได้สมบูรณ์หนึ่งชิ้น” เมิ่งฮ่าวคิด

ประสบการณ์ในชางหมางพ่ายของร่างจำแลง ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องเปลี่ยนแปลงแผนการ แต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก จำเป็นต้องรอจนกระทั่งเครื่องหมายผนึกชิ้นแรกสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ในชางหมางพ่ายอีกต่อไป” ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า เมิ่งฮ่าวตัดสินใจที่จะจากไป เขาจะเดินทางเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และมุ่งไปตามแรงดึงดูดของเศษชิ้นส่วนกระจกทองแดง เพื่อรวบรวมส่วนที่เหลืออีกหกชิ้น

“เส้นทางนี้ช่างยาวไกลนัก…” เมิ่งฮ่าวคิด รับรู้ได้ว่าเศษกระจกทั้งหกชิ้นที่กระจัดกระจายออกไปในตำแหน่งที่แตกต่างกันทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรวบรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะทำได้สำเร็จในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แววตาอันลึกล้ำก็ปรากฏขึ้น ส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์บางส่วนออกไป ทำให้รับรู้ถึงผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้และแปดแก่นแท้ได้ในทันที

เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าต้องไปนานมากน้อยเท่าใด และมีเรื่องราวมากมายที่ต้องจัดการในขณะที่ตนเองไม่อยู่ รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขยายตี้จิ่วจง และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร่างจำแลงของตนเอง หลังจากที่กล่าวคำอธิบายและจัดเตรียมเรื่องราวเหล่านั้นเรียบร้อย เขาก็จากไป

ลำแสงๆ หนึ่งพุ่งขึ้นไป ออกมาจากดินแดนที่อยู่ด้านล่าง ออกมาจากดาวชางหมาง และผ่านเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ที่แห่งนั้นเมิ่งฮ่าวมองออกไปยังความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ดวงตาสาดประกายขึ้น จากแรงดึงดูดที่เขารู้สึกได้ เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่ใกล้ที่สุดของเศษชิ้นส่วนกระจก

ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องยากสำหรับเมิ่งฮ่าว ที่จะค้นหาร่องรอยของเศษชิ้นส่วนกระจกเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่ตอนนี้พื้นฐานฝึกตนของเขาก็แข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้กับเก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุด และมีเศษกระจกสองชิ้นที่สามารถเปลี่ยนเป็นชุดเกราะได้ ด้วยเช่นนั้นเขาจึงมีความเชื่อมั่นว่า…นอกจากผู้ฝึกตนเหนือสูงสุดแล้ว ก็คงเป็นเรื่องง่ายที่จะค้นหาขนหงส์หรือเขากิเลนกว่าการที่ค้นหาใครบางคนที่สามารถสร้างปัญหาให้กับตนเองในการต่อสู้ได้

ขณะที่ร่างจริงเมิ่งฮ่าวกำลังจากไป ร่างจำแลงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในตี้จิ่วจง หลังจากที่ได้อันดับหนึ่งในชางหมางไถ ก็กลายเป็นศิษย์ผู้สืบทอดแห่งตี้จิ่วจง และได้รับยอดเขาที่ดีกว่าเดิมในทุกด้าน รวมทั้งทิวทัศน์และพลังลมปราณที่แน่นหนา

ภูเขาทั้งลูกเป็นของเมิ่งฮ่าว และถูกปกป้องโดยค่ายกลเวทป้องกันจำนวนมาก ไม่มีใครสามารถผ่านเข้ามาได้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต นอกจากเมิ่งฮ่าวและเยียนเอ๋อร์แล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่บนภูเขาลูกนี้คือผู้ฝึกตนที่เป็นข้ารับใช้ต่างๆ ซึ่งถูกมอบหมายให้มาทำงานเพื่อเขา

การกระทำของเมิ่งฮ่าวในตี้จิ่วจงแห่งชางหมางพ่าย และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสวรรค์ชั้นที่สิบ ทำให้เขากลายเป็นตำนานไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์ทั้งหมดแห่งตี้จิ่วจงได้มองว่าเขาเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวและน่าเกรงขามไปโดยสิ้นเชิง

แม้แต่ผู้ถูกเลือกทั้งหมดก็ยังรู้สึกเช่นนั้น

ในวันหนึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้น ก็มีแขกเหรื่อหลั่งไหลเข้ามาเพื่อแสดงความเคารพอย่างต่อเนื่อง ตอนแรกเขาได้พบกับพวกมันด้วยตนเอง แต่ในที่สุดก็มีมากมายจนเกินไป เขาจึงประกาศว่าจะไปนั่งเข้าฌาณตามลำพังเพื่อฟื้นฟูพลังการฝึกตน หลังจากนั้นก็มอบหมายกิจการภายนอกทั้งหมดให้กับเยียนเอ๋อร์

เยียนเอ๋อร์ไร้ทางเลือกนอกจากต้องยอมรับการจัดการนี้เท่านั้น ในวันต่อมานางต้องใช้เวลาทั้งหมดในการต้อนรับแขกเหรื่อที่มาจากสำนัก ตอนแรกนางรู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนั้น ชื่อเสียงของฟางมู่ก็หมายความว่า นางจะมีศักดิ์ฐานะในสำนักที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงในทันที ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่มีชื่อเสียงอย่างสูงสุดนั้นคืออะไร

นางได้รับของกำนัลนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน มากมายจนไม่อาจจะใส่เข้าไปในถุงสมบัติพียงใบเดียวได้

อย่างไรก็ตามอารมณ์ของนางก็ค่อยๆ บูดบึ้งไปอย่างช้าๆ เมื่อตระหนักว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่มาเยี่ยมอาจารย์ตนเองคือผู้ฝึกตนหญิงสาว ยิ่งไปกว่านั้นก็ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะยิ่งน่ารักขึ้นไปเรื่อยๆ และหญิงสาวเหล่านั้นทั้งหมดต่างก็สอบถามเกี่ยวกับอาจารย์นางด้วยความระมัดระวัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!