Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1483

ตอนที่ 1483

บนเส้นทางเหนือสูงสุด

จากตอนที่สร้างชางหมางพ่ายขึ้นมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ เส้นทางเหนือสูงสุดมักจะถูกยกย่องว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สามารถจะถือได้ว่าเป็นการทดสอบเพื่อสร้างเป็นกองกำลังสำรองของสำนักทั้งปวง

จริงๆ แล้วมันไม่ใช่การทดสอบอย่างแท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ในสำนักมักจะมาเข้าร่วม ถึงแม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของชางหมางพ่าย และสิ่งที่เกิดขึ้นบนเส้นทางเหนือสูงสุด แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่อาจจะควบคุมได้

ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับความสามารถของแต่ละคนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับโอกาสและโชควาสนาของแต่ละคน

จากสมัยโบราณเป็นต้นมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มีศิษย์ชางหมางพ่ายนับไม่ถ้วนที่เคยเดินไปบนเส้นทางนี้ แต่ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะบรรลุถึงจุดสิ้นสุดได้ คนทั้งหมดต้องกลับออกมาจากส่วนไหนสักแห่งบนเส้นทางที่ยาวนานนั้น

สำหรับคนที่ไม่กลับออกมา ก็จะตายไปบนเส้นทางนั้น

อันที่จริงเส้นทางเหนือสูงสุด ก็ไม่ใช่เส้นทางอย่างแท้จริง

มันเป็นสถานที่ที่โดดเด่นเป็นอย่างมากแห่งหนึ่ง มากเสียจนผู้คนที่ไปอยู่ในที่แห่งนั้น ต้องพบเจอกับประสบการณ์ที่ยากจะอธิบายให้คนอื่นๆ เข้าใจได้ ราวกับว่ามีกฎธรรมชาติบางอย่างทำการป้องกันไม่ให้ผู้คนอธิบายสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ตรงด้านในนั้นได้

สิ่งแรกที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นหลังจากที่ผ่านเข้าไปในรอยแตก หลังจากที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุดก็คือ ตะเกียงดวงหนึ่ง

มันคือ…ตะเกียงสัมฤทธิ์ดวงหนึ่ง

มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับตะเกียงสัมฤทธิ์ภายในร่างจริงของเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง

ยกเว้นว่าตะเกียงสัมฤทธิ์ดวงนี้มีขนาดที่ใหญ่โตเป็นอย่างมาก ใหญ่มากจนยากที่จะอธิบายออกมาได้ มีขนาดใหญ่กว่าแม้แต่ดาวชางหมาง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในสถานที่แห่งนี้ ทำให้จิตใจของคนที่มองไปยังมันต้องหมุนคว้างไปมา

เส้นทางเหนือสูงสุดก็คือ…ตะเกียงสัมฤทธิ์ดวงนี้

เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ของตะเกียง เกิดขึ้นมาจากสามส่วนก็คือ

เปลวไฟด้านนอก, เปลวไฟด้านใน และแก่นเปลวไฟ…เห็นได้ชัดว่าพวกมันก่อตัวขึ้นมาจากมิติที่แตกต่างกันภายในโลกแห่งนี้ และแสงที่พวกมันกระจายออกมาก็ส่องสว่างไปยังทุกสรรพสิ่งที่อยู่ด้านใน

โลกแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตมหาศาล ในฐานะที่เป็นตะเกียงสัมฤทธิ์ นอกจากมิติที่อยู่ในเปลวไฟแล้ว ตัวของตะเกียงสัมฤทธิ์เองก็ประกอบไปด้วยมิติของมันเองด้วยเช่นกัน

สิ่งแรกที่เมิ่งฮ่าวคิด หลังจากที่มองไปยังตะเกียงอันน่าตกใจนี้ก็คือว่า มันเหมือนกับตะเกียงที่อยู่ในร่างกายเขาอย่างแท้จริง

จากนั้นก็คิดไปถึงโลกผีเสื้อของอาณาจักรมาร หรือของวิเศษอันล้ำค่าที่เป็นอาณาจักรขุนเขาทะเล ซึ่งได้กลายมาเป็นเก้าขุนเขาและเก้าทะเลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

สิ่งของทั้งหมดเหล่านั้นสามารถจะประกอบไปด้วยโลกของสิ่งมีชีวิต ตะเกียงสัมฤทธิ์นี้ซึ่งเขากำลังมองดูอยู่…ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับของวิเศษอันล้ำค่าเหล่านั้น

“กลายเป็นว่าเส้นทางเหนือสูงสุดนี้…จริงๆ แล้วถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในตัวตะเกียง และอีกส่วนอยู่ในเปลวไฟ”

“สำหรับเปลวไฟ…มันยังถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนอีกด้วย เปลวไฟส่วนนอก, เปลวไฟส่วนใน และแก่นเปลวไฟ…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น จากนั้นก็กลายเป็นประกายแสงพุ่งตรงไปยังตะเกียงสัมฤทธิ์

ตะเกียงสัมฤทธิ์มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เข้าไปใกล้ เวลาเลื่อนผ่านไป แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่บินมาเป็นเวลาเจ็ดเดือนแล้ว ทุ่มเทพลังทั้งหมดเท่าที่จะสามารถรวบรวมได้ออกไป ก็ยังคงไม่อาจจะบรรลุถึงตัวตะเกียง

ในตอนนี้แม้แต่เปลวไฟของตะเกียงเขาก็ไม่อาจจะมองเห็นได้อีกต่อไป เห็นแต่เพียงโลกสีทองแดงเท่านั้น

เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่บินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง สามเดือนต่อมา ตะเกียงก็เริ่มดูแตกต่างออกไป สามารถมองเห็นดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างมากมาย มองเห็นเทือกเขานับไม่ถ้วน หรือแม้แต่แม่น้ำและทะเล

ในที่สุดสายตาของเมิ่งฮ่าวก็พร่าเลือนไปจนกระทั่งไม่อาจจะมองเห็นได้อีก จากนั้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้ง…เขาก็ไปอยู่ภายในโลกของตะเกียงสัมฤทธิ์

เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกมา และพลังที่ยากจะอธิบายได้ก็กดทับลงมาบนร่าง จนรู้สึกราวกับว่าภูเขานับไม่ถ้วนกำลังพยายามบดขยี้ตนเอง ราวกับมีหัตถ์ยักษ์กำลังกดทับลงมาบนศีรษะ แรงกดดันนั้นผลักให้เมิ่งฮ่าวตกลงมาจากอากาศ ทำให้ร่างพุ่งลงไปบนพื้นดิน

ชั่วขณะต่อมา ก็กระแทกลงไปบนพื้น

เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น หลังจากนั้นก็ไปนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น เส้นเลือดเขียวโผล่ขึ้นมาบนลำคอและใบหน้า เมิ่งฮ่าวส่งเสียงแผดร้องคำรามออกมา ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากที่ช่วงเวลาธูปไหม้หมดสามดอกผ่านไป ในที่สุดเขาก็ตะเกียกตะกายคลานขึ้นมาจากที่แห่งนั้น

แค่ความพยายามเช่นนี้ก็ทำให้เสื้อผ้าของเมิ่งฮ่าวต้องเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ร่างกายสั่นสะท้าน รู้สึกราวกับว่ากระดูกแทบจะแตกกระจายออกไป ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง

แรงกดดันอันเข้มข้นนี้เกินกว่าสิ่งใดๆ ที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะคาดคิดได้ และมีน้ำหนักมากอย่างน่ากลัวเท่าที่เมิ่งฮ่าวเคยแบกรับมา ภายใต้แรงกดดันนี้ ทำให้ทุกครั้งที่เขาโคจรหมุนวนพลังการฝึกตน ก็คล้ายกับว่าเส้นลมปราณแทบจะระเบิดออกไป

ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ดวงตาของเมิ่งฮ่าวก็ยังคงแน่วแน่ และยังแวบประกายความบ้าคลั่งออกมาอีกด้วย กัดฟันแน่น ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาชั่วธูปไหม้หมดไปสองดอก แต่สุดท้ายก็สามารถจะยืนอยู่ที่นั่น ส่งเสียงกู่ร้องออกมาอย่างเต็มกำลัง

ช่วงเวลาเดียวกันนั้น หนึ่งในเจ็ดตะเกียงวิญญาณที่ยังคงเหลืออยู่ก็กำลังมอดดับลงไป

การดับไปของตะเกียงวิญญาณ ได้ปลดปล่อยพลังชีวิตใหม่ให้ไหลท่วมอยู่ภายในร่าง ทำให้เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น และช่วยให้สามารถจะยืนตัวตรงอยู่ในที่แห่งนั้นได้

ดวงตาเริ่มแดงก่ำมากขึ้น แต่จิตใจก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“นี่คือเส้นทางเหนือสูงสุด หือ?…คาดไม่ถึงเลยว่าหนี่งในตะเกียงวิญญาณซึ่งข้าคิดว่ายากที่จะดับลงไปได้ จะสามารถทำได้สำเร็จในทันทีที่เข้ามา”

เมิ่งฮ่าวมองออกไปรอบๆ และพบว่าตนเองถูกห้อมล้อมด้วยดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า นอกจากเมิ่งฮ่าวแล้วก็มองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ อีกเลย

แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะอยู่ในที่แห่งนี้เพียงลำพัง เคยมีผู้ฝึกตนอื่นๆ จากชางหมางพ่ายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เมื่อในอดีตที่ผ่านมา และยังคงอยู่ด้านในหลังจากที่ผ่านไปนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน

หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆ เขาก็เริ่มก้าวเดินตรงไป รู้สึกเหมือนกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ เส้นทางที่เดินไปนี้ยาวมากเป็นอย่างยิ่ง และก็เริ่มเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ตะเกียงสัมฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ

จากสถานะในตอนนี้ของเมิ่งฮ่าว การเดินไปตลอดความยาวของตะเกียงสัมฤทธิ์ และจากนั้นก็บรรลุถึงส่วนที่สองของเส้นทางเหนือสูงสุด ดูเหมือนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้

แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ หอบหายใจออกมา กัดฟันแน่น เดินผ่านความเวิ้งว้างนี้ไปตามลำพัง…

ปีนั้นมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ในชางหมางพ่าย

ฟางมู่ซึ่งได้สร้างเป็นตำนานที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชางหมางพ่าย เขาได้เรียกสวรรค์ชั้นที่สิบของชางหมางไถจากเก้าสำนักให้ตกลงมาได้ทั้งหมด ก้าวเข้าไปบนเส้นทางเหนือสูงสุดพร้อมกับพื้นฐานฝึกตนที่อยู่ในอาณาจักรโบราณ

การจากไปของเขาทำให้ผู้ถูกเลือกจากสำนักต่างๆ ในชางหมางพ่ายต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา การที่ต้องมาอยู่ในยุคเดียวกันกับฟางมู่ ทำให้พวกมันรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน ราวกับว่าสววรรค์กำลังกดทับลงมาบนร่างพวกมัน

ตอนนี้พวกมันสามารถจะผ่อนคลายลงได้บ้าง ถึงจะเป็นการชั่วคราวก็ยังดี ไม่มีใครสามารถจะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าฟางมู่จะสร้างเป็นตำนานบทใหม่อยู่บนเส้นทางเหนือสูงสุด หรือว่าจะหายสาบสูญไปตลอดกาลหรือไม่ กาลเวลาเท่านั้นที่สามารถจะบอกได้

อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้นก็คือว่า เจ้าสำนักและคนอื่นๆ ที่เหลือซึ่งเข้าไปในเขตสุสาน ในที่สุดก็กลับออกมาแล้ว คนทั้งหมดอยู่ภายในเขตสุสานมานานนับสิบปี แต่ก็ไม่อาจจะบรรลุถึงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้าได้ ไปถึงแค่ดินแดนที่เจ็ดเท่านั้น ไม่อาจจะเปิดเป็นเส้นทางไปสู่ดินแดนที่แปดได้

เมื่อพวกมันกลับออกมา สมาชิกทั้งหมดไม่เพียงแต่จะลดน้อยลงไปเท่านั้น แต่ละคนยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนไป๋อู้เฉินที่กำลังเผชิญหน้ากับความตายอยู่ในตอนนี้

อย่างไรก็ตามกลุ่มคนทั้งหมดที่รอดชีวิตออกมาได้ ต่างก็มีพื้นฐานฝึกตนที่ก้าวหน้าขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นอายเหนือสูงสุดปรากฏขึ้นบนร่างพวกมันอย่างเลือนราง ทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนขนานใหญ่อยู่ในชางหมางพ่าย

ในปีนั้นพื้นฐานฝึกตนของปรมาจารย์ชื่อเฟิงมีความก้าวหน้าขึ้นไปด้วยเช่นกัน มันได้ครอบครองแก่นแท้ที่เก้า และกลายเป็นตี้ปาจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับแปด)

ตรงด้านนอกชางหมายพ่าย ที่ไหนสักแห่งนอกท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอันไร้ขอบเขต ร่างจริงเมิ่งฮ่าวอยู่ตรงตำแหน่งที่ตั้งเศษชิ้นส่วนที่สี่ของกระจกทองแดง กำลังบินตรงไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด ใบหน้าซีดขาวและโลหิตก็ไหลซึมออกมาจากมุมปาก ฝูงปลวกขนาดใหญ่กำลังไล่ล่าติดตามมา กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในเส้นทางของพวกมันด้วยความตะกละ

ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวมีชุดเกราะสีดำปกคลุมไปทั่วทั้งแขนและหน้าอกแล้ว ทำให้มีพลังการต่อสู้ที่น่าเหลือเชื่อมากขึ้น ตอนนี้การสังหารผู้ฝึกตนเก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุด ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาอีกต่อไป แต่ฝูงปลวกเหล่านี้ก็ทำให้ตนเองต้องหลบหนีจากมาอย่างกระเซอะกระเซิง

เหตุผลหลักก็คือว่าพวกมันมีจำนวนที่มากมายจนไม่อาจจะนับได้ ยิ่งไปกว่านั้น…แต่ละตัวต่างก็กระจายเป็นกลิ่นอายอันโหดเหี้ยมออกมา ตัวที่อ่อนแอมากที่สุดอยู่ในอาณาจักรเซียน และที่แข็งแกร่งมากที่สุด…ก็มีเก้าแก่นแท้!

จำนวนของพวกมันมากมายจนยากจะอธิบายได้…

โชคดีที่เขาได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีก่อนที่จะเข้ามายังพื้นที่แห่งนี้ หลังจากที่เร่งความเร็วพุ่งออกไปในช่วงเวลาสั้นๆ ก็บรรลุถึงสถานที่ที่เขาติดตั้งค่ายกลเวทไว้จากก่อนหน้านี้ แสงของการเคลื่อนย้ายทางไกลแวบประกายขึ้นมา และจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็หายตัวไป ชั่วขณะต่อมาฝูงปลวกก็เขมือบประตูเคลื่อนย้ายทางไกลไปจนหมดสิ้น

เห็นได้ชัดว่าแม้แต่แสงระยิบระยับของประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ก็เป็นสิ่งที่ฝูงปลวกคิดว่าเป็นอาหารของพวกมัน เสียงขบเคี้ยวดังก้องออกมา และในชั่วพริบตาค่ายกลเวทก็ถูกกลืนกินไปจนหมดสิ้น

อย่างไรก็ตามพวกมันก็ยังไม่อาจจะกลืนกินร่างจริงเมิ่งฮ่าวได้ ฝูงปลวกแผดร้องด้วยโทสะออกมา ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงร้องนี้จะต้องสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างแท้จริง

แต่หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก พวกมันก็ยอมแพ้อย่างที่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก และกลับรังของตนเองไป พื้นดินถูกขุดเป็นโพรงนับไม่ถ้วนจนพรุนไปหมด

ตรงสถานที่แห่งอื่นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต แสงระยิบระยับแวบประกายขึ้นมา และร่างจริงเมิ่งฮ่าวก็พุ่งโซเซออกมา กระอักโลหิตหนึ่งคำ จากนั้นก็หลับตาลงและโคจรหมุนวนพลังการฝึกตน เสียงกระหึ่มคล้ายเสียงฟ้าร้องคำรามได้ยินออกมาจากภายในร่าง ขณะที่ตุ่มหนองจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนผิวหนัง พวกมันเริ่มบิดตัวไปมา และจากนั้นปลวกตัวเล็กๆ ก็โผล่ออกมาจากภายใน แต่ละตัวกรีดร้องและจากนั้นก็ระเบิดไป

หลังจากที่กำจัดและทำลายปลวกไปนับร้อยตัว ร่างเมิ่งฮ่าวก็เปียกชุ่มไปด้วยโลหิต แต่เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็สาดประกายเป็นแสงเจิดจ้าขึ้น และร่างกายก็ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

“ไม่รู้ว่าปลวกเหล่านั้นคงอยู่มานานกี่ปีแล้ว ช่างมีจำนวนมากมายมหาศาล จนยากที่จะคาดคิดได้…” จากนั้นก็มองลงไปยังชุดเกราะที่ปกคลุมอยู่ ขณะที่มันจางหายไปและกลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระจกสี่ชิ้น

เมิ่งฮ่าวค้นพบเศษชิ้นส่วนกระจกชิ้นที่สี่อยู่ภายในรังปลวก และดึงมันออกมาจากภายในร่างของราชินีปลวกตัวนั้น

“ด้วยเศษกระจกทั้งสี่ชิ้นนี้ ทำให้ข้ามีอยู่ครึ่งหนึ่งแล้ว…ตอนนี้ก็ต้องไปหาชิ้นส่วนที่ห้า”

“ร่างจำแลงข้ากำลังเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด…ใครจะไปคาดคิดได้ว่าเส้นทางนั้นจะยากเย็นเช่นนี้…? ถ้าข้าคาดเดาได้ถูกต้อง การสร้างเวทรุ่นเก้าให้สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้เพียงลำพัง”

“ข้าต้องเก็บรวบรวมเศษชิ้นส่วนกระจกที่เหลือ แค่สองชิ้นนี้ก็ทำให้ข้าต้องใช้เวลานับสิบปี แต่เกรงว่ากว่าจะได้ครอบครองสี่ชิ้นสุดท้าย…คงจะใช้เวลานับร้อยปี” เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะนั่งลงขัดสมาธิเพื่อสูดลมหายใจเข้าออก หลังจากผ่านไปนานสักพัก เขาก็ลุกขึ้นมายืนและพุ่งตรงไปยังทิศทางของเศษชิ้นส่วนที่ห้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!