ตอนที่ 1491
สวี่หลิวอวิ๋น
ในท่ามกลางพายุหิมะสุดท้ายในช่วงฤดูหนาวบนทวีปที่หก ม่านชีวิตที่หกของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวก็เปิดขึ้นมา
เขาไปเกิดในตระกูลสวี่ที่เจริญรุ่งเรือง ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและมีทรัพย์สมบัติมากมายในอาณาเขตแห่งนั้น และเป็นผู้ควบคุมการค้าที่ได้กำไรอย่างมหาศาล ผลกำไรส่วนใหญ่ของพวกมันมาจากดอกเบี้ยด้านการเกษตร
ตระกูลสวี่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในแคว้นของโลกมนุษย์ ซึ่งตั้งอยู่ข้างคลองการค้าขาย พวกมันมั่งคั่งร่ำรวยเป็นอย่างยิ่ง
ทารกที่ถือกำเนิดขึ้นมาในตระกูลเช่นนี้ ถูกลิขิตให้มีชีวิตอยู่อย่างไร้ความทุกข์ยากใดๆ และมักจะมีทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการ
โชคดีที่ในชีวิตนี้ ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวไม่ได้เป็นคุณชายที่เอาแต่ใจเช่นเดียวกับในชีวิตที่สี่ เขาเติบโตขึ้นกลายเป็นบุรุษหนุ่มที่ชาญฉลาด ซึ่งค่อนข้างจะโดดเด่นแม้แต่ในตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น ในที่สุดเขาก็เริ่มช่วยเหลือบิดาในเรื่องการค้าขายของครอบครัว
ขณะที่เวลาเลื่อนผ่านไป เมื่อเขามีอายุมากขึ้น ก็เริ่มเป็นผู้ดูแลกิจการค้าขายทั้งหมดของตระกูล เขาสามารถทำได้ดี แต่เวลาเดียวกันนั้น ก็เริ่มมีความโหดเหี้ยมมากขึ้น เป็นความโหดเหี้ยมที่ไม่ได้แสดงออกต่อสมาชิกของตระกูล แต่มีต่อคู่แข่งทางการค้าของตนเอง
เขาเชี่ยวชาญในเรื่องการยึดการค้าของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของตนเอง ในที่สุดการค้าทั้งหมดในเมืองนั้นก็ถูกตระกูลสวี่กลืนกินไป แน่นอนว่าความสำเร็จเช่นนั้นไม่ได้สร้างขึ้นมาโดยปราศจากการฆ่าฟัน ในที่สุดสองมือของชีวิตที่หกของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวก็แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต
วิธีการทำการค้าเช่นนี้ตรงกันข้ามกับบิดาของเขาโดยสิ้นเชิง และความจริงแล้วก็เกิดการต่อต้านไปทั่วทั้งตระกูล แต่เขาก็ไม่ถือว่าเรื่องนี้ร้ายแรงแต่อย่างใด ยังคงทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ เมื่ออายุได้สามสิบ ตระกูลสวี่ก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยมากที่สุดในพื้นที่แถบนั้น!
ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าควรจะช่วยนักศึกษาและเหล่าปัญญาชนของตระกูล ดังนั้นจึงสร้างสำนักศึกษาขึ้นมา เมื่อเวลาเลื่อนผ่านไป การช่วยชนชั้นนักศึกษาของเขา ทำให้ตนเองมีอิทธิพลต่อราชสำนัก
ในที่สุด แผนการของเขาก็ยืดขยายออกไปจนปกคลุมไปทั่วแม้แต่ชนชั้นนักรบในแคว้นนั้น
เขาแต่งงาน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกผูกพันกับภรรยาของตนเอง กระทำไปก็เพื่อสร้างพันธมิตรด้านการค้าเท่านั้น ด้วยความหวังว่าจะทำให้อิทธิพลของตระกูลพุ่งทะยานสูงขึ้นไปมากกว่าเดิม
และนั่นคือสิ่งที่เป็นอยู่ เมื่อตอนที่เขาอายุสี่สิบปี การค้าของตระกูลประสบความสำเร็จไปทั้งหมด ตลอดช่วงเวลานั้นเขาได้ขยายการค้าไปมากมายหลายอย่าง แต่ในที่สุดพื้นฐานส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นด้านการเกษตรอยู่เสมอ
ภายใต้การนำของเขา ตระกูลได้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลวง และกลายเป็นขุนนางค้าขายของผู้ครองแคว้น
ในฐานะที่เป็นขุนนางด้านการค้า จึงยากที่จะมีใครมาเทียบกับตระกูลสวี่ได้ในแง่ของผลกำไร นอกจากผลประโยชน์ในด้านวัตถุแล้ว ตระกูลสวี่ก็ยังได้ประโยชน์จากศักดิ์ฐานะใหม่อีกด้วย
เมื่ออายุได้สี่สิบห้า สวี่หลิวอวิ๋นก็อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต สมาชิกในตระกูลมากมายที่กลายเป็นขุนนางอยู่ภายใต้ผู้ครองแคว้นในตอนนี้ และนักศึกษามากมายที่เขาเคยช่วยเหลือได้กลายเป็นขุนนางด้วยเช่นกัน
ตระกูลสวี่พุ่งทะยานสูงขึ้นไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่พึงพอใจเต็มไปด้วยความสุขแล้ว แต่หลังจากที่รู้สึกสับสนว่าต้องทำอะไรต่อไป ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าพายุกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว
พายุลูกนั้นเกิดขึ้นมาในรูปแบบของความอดอยาก ที่เริ่มจะคลืบคลานเข้ามา
ฤดูหนาวของปีนั้น สวี่หลิวอวิ๋นยืนอยู่ในคฤหาสน์มองออกไปยังหิมะที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้า ตรงด้านหลังเป็นสมาชิกของตระกูลนับสิบ ยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น บางคนเป็นขุนนางในราชสำนัก บางคนเป็นผู้ควบคุมกิจการร้านค้าภายในเมืองหลวง และบางคนก็เป็นผู้สืบทอดสายตรงของตระกูล ซึ่งถูกส่งออกไปควบคุมกิจการในส่วนอื่นๆ ของแคว้น และยังมีแม้แต่นักรบที่แข็งแกร่งอีกด้วย
ยังมีผู้คนที่ควบคุมกองกำลังในตระกูลอึกด้วย ถึงแม้ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าสามารถจะควบคุมไปทั่วทั้งแคว้น แต่ก็ใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง
ใครก็ตามในกลุ่มพวกมันสามารถจะถือได้ว่ามีความโดดเด่นอย่างถึงที่สุด แต่ขณะที่พวกมันมองไปยังบุรุษที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า จิตใจก็เต็มไปด้วยความเคารพนับถือและเกรงขาม เขาคือบุรุษที่ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบปี สร้างเป็นเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกยอมรับเป็นอย่างดีในราชสำนัก และยังถูกผู้ครองแคว้น, เสนาบดี และขุนนางอื่นๆ อีกมากมายดูถูกอีกด้วย แต่กลุ่มคนที่สำคัญของตระกูลต่างก็รู้ดีว่า…เขามีพลังอันน่ากลัวที่สามารถจะใช้ออกมาได้ในแง่ของความร่ำรวยและการสร้างผลกำไร
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ชีวิตที่หกของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่าสวี่หลิวอวิ๋น ในที่สุดก็กล่าวขึ้นมาว่า
“นี่คือโอกาสดี บางทีตระกูลสวี่อาจจะสามารถก้าวต่อไปได้อีกขั้น และสามารถจะควบคุมทั่วทั้งแคว้นได้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าต้องมีความเป็นไปได้ด้วยเช่นกันว่า…พวกเราจะถูกกวาดล้างออกไป” เขากล่าวขึ้น หลังจากที่ผ่านไปนานชั่วขณะ ดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความดุร้าย
“ปฏิบัติการ!”
ในทันทีที่พูดจบ กองกำลังทั้งหมดของตระกูลสวี่ ทั้งที่อยู่ด้านในและด้านนอกของเมืองหลวง ต่างก็มุ่งเน้นไปที่ภารกิจอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ…ปิดกั้นพื้นที่ทำนาของพวกมันจากส่วนสาธารณะ ในท่ามกลางความอดอยากทั้งปวง!
มันคือแนวคิดตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งดูเหมือนว่าจะชุ่มโชกไปด้วยโลหิต การปิดกั้นพื้นที่ทำนาในท่ามกลางความอดอยาก ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นมาเป็นอย่างมาก จนถึงจุดที่ผู้คนมากมายต้องถูกบังคับให้ขายที่ดินของตนเองเพื่อจ่ายเป็นค่าข้าว
ซึ่งอาจจะทำให้ผู้คนมากมายต้องตายไปเนื่องจากความหิวโหย คนในครอบครัวและตระกูลถูกทำลายล้างไป แต่ในท่ามกลางตระกูลผู้ร่ำรวย ตระกูลสวี่จะมีโอกาสดีมากที่สุด
เพื่อที่จะปฏิบัติได้ตามแผนการนั้น ตระกูลสวี่ต้องพยายามทำทุกวิถีทางมานานนับสิบปีเพื่อวางแผนสร้างพันธมิตรและกำจัดคู่ต่อสู้ให้พ้นทางไป ในที่สุดหลังจากที่ความอดอยากผ่านพ้นไปหลายเดือน…พวกมันก็มีที่ดินเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทรงอำนาจอยู่ภายในแคว้นนั้นจนแทบจะไร้คู่แข่ง
พวกมันมีกองกำลังส่วนตัว และมีที่ดินอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก ทั้งซื้อมาและจากคราบน้ำตาและโลหิตของเจ้าของคนเดิม
ด้วยการมอบของขวัญเป็นจำนวนมาก เพื่อเอาใจกลุ่มคนชั้นสูง ด้วยแผนการอันซับซ้อนทำให้สวี่หลิวอวิ๋นมีเส้นผมเป็นสีดอกเลามากขึ้นกว่าเดิม แต่ภายในใจก็ยังไม่ยอมหยุดที่จะคิดแผนการใหม่ๆ ขึ้นมา
ความสงบสุขดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสิบห้าปี
ตลอดช่วงเวลานั้นสวี่หลิวอวิ๋นไม่ได้ทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายเท่าใดนัก ทำให้น้อยคนมากที่จะรู้สึกสงสัยเขา ทำให้เขามีโอกาสที่จะขยายกิจการของตระกูลออกไปอย่างเงียบๆ
ในปีหนึ่งตอนที่สวี่หลิวอวิ๋นอายุหกสิบปี เขาไปยืนอยู่ในลานบ้านอีกครั้ง เฝ้ามองดูหิมะตกลงมา สมาชิกของตระกูลนับร้อยยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลัง ใครก็ตามที่รู้จักตัวตนและศักดิ์ฐานะของบุคคลเหล่านี้ก็จะต้องตกตะลึง พวกมันคือกลุ่มคนที่สามารถทำให้แคว้นแห่งนี้ต้องสั่นสะเทือนไปทั่ว
“นี่คือโอกาสดี…” สวี่หลิวอวิ๋นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง นี่คือคำพูดเดียวกันกับที่เขาเคยพูดออกมาเมื่อสิบห้าปีก่อน หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก เขาก็พยักหน้า
การพยักหน้านี้ทำให้สงครามแย่งชิงบัลลังก์ปะทุขึ้น สิบปีผ่านไปในชั่วพริบตา ผู้สืบทอดที่เขาให้การหนุนหลังในสงครามนั้นกลายเป็นผู้ครองแคว้นคนใหม่ และได้แต่งงานกับธิดาแห่งตระกูลสวี่ ผู้ครองแคว้นคนใหม่ยังได้มองว่าสวี่หลิวอวิ๋นคือบิดาบุญธรรมของตนเองอีกด้วย
ทั่วทั้งราชสำนักต่างก็จงรักภักดีต่อเขา แม้แต่เสนาบดีก็เช่นกัน คำพูดของเขามีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าราชโองการของผู้ครองแคว้นซะอีก
ในตอนนี้เขาทรงอำนาจเช่นเดียวกับชีวิตที่สองของตนเอง ถึงแม้ว่าจะไม่เด่นชัดเหมือนในช่วงชีวิตนั้น แต่ในตอนนี้เขาได้ดำเนินการอย่างลับๆ สายตาที่เย็นชาของเขาสามารถจะมองลงไปยังทั่วทั้งแคว้นได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวผู้ใด
ตลอดช่วงชีวิตนี้เขากลายเป็นคนไร้จิตใจ ผิดหลักจรรยา ไร้บุตรธิดา เมื่อมีอายุครบเจ็ดสิบปี ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าพูดกับเขา โดยที่ไม่ก้มศีรษะลง
เวลาผ่านไปอีกห้าปี และร่างกายสวี่หลิวอวิ๋นก็เริ่มเสื่อมโทรมลงไป ในที่สุดก็ป่วยหนัก เกิดเป็นความปั่นป่วนขึ้นมาภายในตระกูล เมื่อมีกลุ่มคนทำการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ
ในช่วงฤดูหนาวของหนึ่งปีต่อมา เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากอาการป่วย ผู้รับใช้ชราช่วยพยุงให้เขาไปยืนอยู่ในลานบ้าน เฝ้ามองไปขณะที่หิมะตกลงมา นี่คือครั้งที่สามในชีวิตที่เขาต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสำคัญ
“หลังจากที่ข้าตายไป ตระกูลจะต้องตกอยู่ในห้วงกลียุค หลังจากที่ผ่านไป…อาจจะไม่มีตระกูลสวี่อยู่ในแคว้นนี้อีกต่อไป” เขารู้ดีว่าเหตุผลทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะว่าตนเองไม่มีทายาทสืบทอด
“มีทางเลือกเดียวก็คือ…ยึดครองแคว้นนี้ ใช้กองกำลังของแคว้นระงับความวุ่นวายของตระกูล ด้วยเช่นนั้นถ้าความปั่นป่วนวุ่นวายเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ในตระกูลสวี่เท่านั้น แต่รวมถึงแคว้นทั้งหมด แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับตระกูลสวี่ ไม่ว่าจะมีใครเป็นผู้ดูแล อย่างน้อยที่สุดตระกูลก็ยังคงจะดำเนินได้ต่อไป”
สวี่หลิวอวิ๋นซึ่งเป็นชีวิตที่หกของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ครั้งนี้เขาใช้เวลาใคร่ครวญนานกว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งสอง เวลาผ่านไปนานมากๆ ในที่สุดก็ถอนหายใจ คิดเกี่ยวกับโลหิตที่ต้องหลั่งไหลออกมาจากแผนการแรกของตนเอง เพื่อให้ได้ครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมด
ในที่สุดเขาเลือกที่จะไม่โค่นล้มแคว้นนี้ มีท่าทางแก่ชราลงไปมากขึ้นกว่าเดิม จ้องมองไปยังหิมะที่กำลังตกลงมา ซึ่งเป็นหิมะสุดท้ายแห่งฤดูหนาวปีนี้ หลับตาลง และกลิ่นอายก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ
หนึ่งวันหลังจากที่เขาตายไป ตระกูลสวี่ก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เป็นความปั่นป่วนวุ่นวายที่ทำให้แคว้นต้องสั่นสะเทือนไปทั่ว ในที่สุดผู้ครองแคว้นก็สอดมือเข้ามา ใช้เวลาอยู่หลายเดือน ทั้งตระกูลก็ถูกสังหารไปเกือบหมดสิ้น
ในที่สุดผู้ครองแคว้นซึ่งเป็นบุรุษวัยกลางคนอยู่ในตอนนี้ ก็ได้รับข่าวสารมาว่าสมาชิกของตระกูลสวี่ที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้าย ได้กลับไปยังเมืองที่พวกมันจากมา พวกมันกลับไปยังคฤหาสน์หลังเดิมของตนเอง ชื่อเสียงที่พวกมันสร้างขึ้นมาเกือบหนึ่งร้อยปีคล้ายกับเป็นบุปผาในกระจกเงาจันทร์ในสายน้ำเท่านั้น (หมายถึงไม่เป็นความจริง เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น)
นี่คือชีวิตที่หกของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว…การมาถึงของเขาทำให้ตระกูลสวี่พุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของความยิ่งใหญ่ และการจากไปของเขา ก็นำความยิ่งใหญ่นั้นไปพร้อมกับตนเองด้วย ราวกับว่าช่วงเวลาไหลเวียนย้อนกลับ ทำให้ตระกูลสวี่กลับไปยังสถานะดั้งเดิมของพวกมัน
เมื่อชีวิตที่หกสิ้นสุดลง เครื่องหมายผนึกชิ้นที่หกก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวเข้าไปสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ และเริ่มต้นชีวิตที่เจ็ดต่อไป
ตลอดช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนั้น เยียนเอ๋อร์ได้เดินทางไปในท่ามกลางทวีปต่างๆ เข้าไปยังโลกมนุษย์เพื่อค้นหากลิ่นอายอาจารย์ของตนเอง
นางเชื่อมั่นว่าจะสามารถค้นพบชีวิตใหม่ของเขาได้อย่างแน่นอน
ถ้านางไม่อาจจะค้นหาเขาได้ในชีวิตแรก นางก็จะไปค้นหาเขาในชีวิตหลังจากนั้น และต่อจากนั้นไปเรื่อยๆ…จนกระทั่งพบกับเขา
ร่างจริงเมิ่งฮ่าวยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนใบไม้ตรงด้านนอกในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต กำลังเข้าฌานเพื่อรอคอยให้บุปผาเบ่งบาน
ดอกไม้แรกตูมนั้นเริ่มปรากฏให้เห็นว่า กำลังจะบานขึ้นมาแล้ว
สำหรับเจ้าสำนักและผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ แห่งชางหมางพ่าย พวกมันกลับเข้าไปในเขตสุสานอีกครั้ง ด้วยความตั้งใจที่จะไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้าให้จงได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความเชื่อมั่นโดยสิ้นเชิงก็ตาม พวกมันต้องลองพยายามดู
ถ้าล้มเหลวก็จะพยายามอีกครั้ง และอีกครั้งไปเรื่อยๆ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นขณะที่เริ่มต้นการเดินทางของพวกมัน
เวลาเดียวกันนั้น ตี้จิ่วจงก็ยังคงขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง มีขนาดใหญ่มากขึ้นไปเรื่อยๆ ในตอนนี้กองกำลังของพวกมันมีขนาดใหญ่ รวมทั้งผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังเป็นจำนวนมาก พวกมันทำการยึดครองอาณาจักรและโลกต่างๆ ไปอย่างต่อเนื่อง
นั่นคือตอนที่ชีวิตที่เจ็ดของเมิ่งฮ่าวเริ่มต้นขึ้นในทวีปที่สาม