ตอนที่ 1492
โก่วร์
ทวีปที่สามบนดาวชางหมางโดดเด่นอยู่ในท่ามกลางทวีปอื่นๆ เพราะว่ามันไม่มีฤดูหนาว ฤดูทั้งหมดในที่แห่งนั้นคล้ายกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ในปีนี้กลับมีหิมะตกลงมา
หิมะนี้ไม่ได้ตกลงมาทั่วทั้งแคว้น แต่ตกลงมายังทะเลทรายแห่งหนึ่งเท่านั้น พร้อมกับหิมะที่ตกลงมา ทารกผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งนี้
นี่คือชีวิตที่เจ็ดของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว และเขาก็เกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ยากจนมากครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีแต่อูฐหนึ่งตัวและสุนัขตัวหนึ่ง บิดาของเขามีอาชีพเป็นผู้นำทางในทะเลทราย
ในวันที่ทารกถือกำเนิดขึ้นมา สุนัขตัวนั้นได้ตายไป ดังนั้นบิดาจึงยืนกรานให้บุตรชายของตนมีนามว่า…โก่วร์ (สุนัข)
ชีวิตของโก่วร์ไม่ได้ดีมากนัก เมื่อเขามีอายุได้สามขวบ บิดาก็ถูกอสรพิษกัดในตอนที่นำทางกลุ่มพ่อค้าเดินทางข้ามทะเลทราย ถึงแม้ว่าจะกลับมาบ้านได้ แต่หลังจากนั้นก็ตายไปอย่างรวดเร็ว
มารดาของเขาดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยใส่ใจมากนักเกี่ยวกับการตายไปของบิดา หลังจากที่บิดาถูกกลบฝังไปแล้ว นางก็ดูแลโก่วร์ต่อไปอีกห้าปี เมื่อเขามีอายุได้แปดขวบ นางก็หลบหนีไปพร้อมกับกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางผ่านมา
ในตอนที่นางจะจากไป ก็บอกกับโก่วร์ว่าบิดาเขาเคยเป็นโจรร้ายมาก่อน แต่ปลอมตัวมาเป็นผู้นำทาง มันได้นำครอบครัวนางเข้าไปในทะเลทราย และสังหารคนทั้งหมดไปยกเว้นนาง จากนั้นก็บังคับนางให้มาเป็นภรรยา
หลังจากนั้นเป็นต้นมา นางก็มักจะเฝ้ารอคอยให้บิดาโก่วร์ตายไปอยู่ตลอดเวลา
โก่วร์มองไปอย่างเงียบๆ ขณะที่มารดาเดินทางออกไปยังที่ห่างไกล หลังจากนั้นเขาก็อยู่คนเดียวเพียงลำพัง ในวันหนึ่งก็มีชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา บอกว่าจะนำเขาไปยังสถานที่ที่มีอาหารให้กิน โก่วร์จากไปพร้อมกับชายชราโดยไม่ลังเลในทันที
เขาคาดเดาว่าจะได้ออกไปจากทะเลทราย แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้ามกับความคาดหวัง ชายชราแค่นำเขาไปยังสถานที่แห่งอื่นที่อยู่ภายในทะเลทรายเดียวกันนั้น ในที่แห่งนั้นเขาถูกผลักไสให้เข้าไปอยู่ในนรกแห่งหนึ่ง
เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กที่อยู่ในช่วงอายุเดียวกัน คนทั้งหมดได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด เพื่อให้กลายเป็น…มือสังหาร!
หลายปีต่อมา โก่วร์ได้เห็นคนมากมายต้องตายไป บ้างก็ถูกสังหารโดยคนอื่น บ้างก็ฆ่าตัวตายไปเอง บ้างก็ตายในช่วงของการฝึกฝน
ถ้าต้องการมีชีวิตรอด ก็ต้องโหดเหี้ยม ถ้าต้องการมีชีวิตอยู่ ก็ต้องสังหาร
โก่วร์ต้องการมีชีวิตรอด ดังนั้นเขาจึงต้องกลายเป็นคนที่โหดเหี้ยม และทำการสังหาร เขาไม่เคยเชื่อถือผู้ใด และด้วยเช่นนั้นจึงไม่มีมิตรสหาย สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ระหว่างตนเองและคนอื่นๆ คือความเป็นศัตรูเท่านั้น ทำให้ต้องต่อสู้กันตลอดเวลา
ทุกๆ ปี กลุ่มเด็กจะถูกนำตัวมาอยู่เรื่อยๆ ทุกๆ ปี จำนวนซากศพก็จะถูกฝังไปเป็นจำนวนมาก
โก่วร์เริ่มไร้ความรู้สึกต่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ จนถึงจุดหนึ่งเด็กคนอื่นๆ เริ่มหวาดกลัวเขา แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังต้องมองมาด้วยสายตาเช่นเดียวกัน
“บางทีข้าอาจจะดูน่าเกลียด” ในวันหนึ่งโก่วร์ครุ่นคิด ใช้นิ้วลูบไล้ไปทั่วใบหน้า เขามีอายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้น แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ทำให้ดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขาอยู่ในที่แห่งนี้เป็นปีที่สอง หนึ่งในบุรุษเหล่านั้นบังคับให้เขาต้องกระทำในเรื่องที่น่าขยะแขยง และเมื่อเขาปฏิเสธ บุรุษผู้นั้นก็กรีดใบหน้าเขา
สองปีต่อมา โก่วร์ก็ตัดศีรษะของบุรุษผู้นั้นลงมา
โก่วร์ยกมือลูบไปที่ข้างศีรษะตนเอง ซึ่งควรจะมีใบหูอยู่ตรงนั้น แต่เขาก็สูญเสียมันไปในช่วงของการฝึกฝน ซึ่งต้องมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรอดชีวิตมาได้ในช่วงท้ายสุด คู่ต่อสู้ดึงใบหูของเขาจนฉีกขาดออก แต่เขาก็กัดลำคอของมันจนขาดไป
โก่วร์มีสีหน้าเย็นชา ขณะที่มองไปยังลำคอของตนเองในกระจก ซึ่งมีรอยแผลเป็นอย่างน่ากลัวด้วยเช่นกัน
อันที่จริงทั่วทั้งร่างของเขาต่างก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น แต่เขาก็ไม่สนใจ
เมื่อโก่วร์มีอายุครบสิบเจ็ดปี ชายชราที่นำเขามายังสถานที่แห่งนี้ก็นำเขาจากไป พร้อมกับเด็กชายสองคนและเด็กหญิงผู้หนึ่ง คนทั้งสามต่างก็เป็นเหมือนกับโก่วร์ ซึ่งเคยสังหารคู่ต่อสู้มานับไม่ถ้วน ในช่วงการฝึกฝนของพวกมัน
คนทั้งสี่ถูกนำตัวไปยังสถานที่ฝึกฝนอีกแห่ง ซึ่งมีกลุ่มผู้เยาว์อื่นๆ ที่มีอายุใกล้เคียงกันอยู่ในที่แห่งนั้น เหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้ง สามปีต่อมา เมื่อโก่วร์มีอายุครบยี่สิบปี ก็เข้าร่วมการทดสอบเป็นครั้งสุดท้าย เขาตัดศีรษะคู่ต่อสู้ลงมานับร้อย ทำให้คนทั้งหมดต้องมองมาด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ชายชราที่นำเขามาเมื่อหลายปีก่อนก็มองมาด้วยสายตาเช่นเดียวกัน
โก่วร์ไม่สนใจ แค่ยืนอย่างเงียบๆ อยู่ที่นั่น
หลายเดือนต่อมา เป็นช่วงที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต เขาถูกส่งไปให้เรียนรู้มารยาทประเพณี และถูกหลางจง (หมอจีนโบราณ) รักษาด้วยการใช้สมุนไพรแปลกๆ เพื่อลบรอยแผลเป็นบนร่างกาย
ถึงแม้ว่าหูของเขาไม่อาจจะฟื้นคืนกลับมาได้ แต่สมุนไพรที่น่ามหัศจรรย์นั้นก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาไปเป็นอย่างมาก และตอนนี้เขาก็ดูคล้ายกับเป็นบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาผู้หนึ่ง
นับจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ถูกส่งไปทั้งใกล้และไกล ทั่วทั้งทวีปเพื่อทำภารกิจลอบสังหาร ด้วยการชี้นำจากชายชรา เขาทำการสังหารเป้าหมายไปมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งบุรุษและสตรี ชราและเยาว์วัย
เขาสังหารผู้คนมาทุกรูปแบบ และไม่เคยสอบถามเกี่ยวกับคนเหล่านั้น สังหารอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ก็รู้สึกเกลียดชังเมื่อมองเห็นเหยื่อมีหูข้างขวา ทุกครั้งที่เขาทำภารกิจสำเร็จ ก็จะตัดหูข้างขวาของเป้าหมายออกไป
เวลาเลื่อนผ่านไป สิบปีต่อมา เขาไม่รู้ว่าตนเองได้สังหารผู้คนไปมากมายเท่าใดแล้ว แต่ก็เริ่มมีข่าวคราวแพร่กระจายออกไป ตอนนี้เขามีนามใหม่แล้วนอกเหนือจากนามว่าโก่วร์
เขาถูกเรียกว่าเกอเอ่อร์ (ผู้ตัดหู)
เป็นนามที่ไม่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง
เขามักจะคิดว่าชีวิตของตนเองจะต้องเป็นเช่นนี้ตลอดไป แต่สองปีต่อมา หลังจากที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว เขาได้เดินทางผ่านเมืองๆ หนึ่งและมองเห็นหญิงขอทานชราผู้หนึ่ง ดวงตานางถูกควักออกมา ลิ้นถูกตัดขาดไป และสองขาก็พิการ
ขณะที่โก่วร์ยืนอยู่เบื้องหน้านาง ได้กลิ่นที่น่ารังเกียจ มองลงไปและเห็นสองขาที่เน่าเฟะของนาง ขาทั้งสองข้างนั้นแตกหักมาหลายครั้งแล้ว ทำให้กระดูกได้อาจจะประสานได้ตามที่ควร
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ใบหน้าโก่วร์ไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ตอนนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนไป มองไปยังหญิงชราด้วยสายตาที่ว่างเปล่า และสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กลับไปยังสำนักงานใหญ่หลังจากที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น เขายังได้สังหารคนอื่นๆ นอกเหนือจากเป้าหมายของตนเองอีกด้วย
เขาสังหารผู้คนในเมืองนั้นไปมากมาย ใครก็ตามที่คุกคามทำร้ายหญิงชราขอทานผู้นั้น ก็จะจบชีวิตลงด้วยการที่ลำคอของพวกมันถูกเฉือนและหูข้างขวาก็ถูกตัดออกไป
มีครอบครัวร่ำรวยแห่งหนึ่งในเมืองนั้น ที่กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นพ่อค้าเร่ร่อน และเคยทำความผิดพลาดอย่างหนึ่งมา เขาสังหารครอบครัวนั้นไปทั้งหมด และในที่สุดก็นำหญิงชรานางนั้นไปกับเขาด้วย
เหตุการณ์นั้นทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วทั้งเมือง มือปราบจำนวนมากเข้ามาในพื้นที่แถบนั้น และสมาคมมือสังหารก็ส่งคนมาสังหารเขาด้วยเช่นกัน
หลายปีต่อมาเขาต้องหลบหนีไปด้วยความเหนื่อยล้า สังหารผู้คนไปมากมาย และพบว่าตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันร้ายแรงอยู่หลายครั้ง
ในที่สุดหญิงชราก็ตายไป ไม่ได้ถูกสังหาร แต่ตายด้วยอาการบาดเจ็บจากก่อนหน้านี้เท่านั้น
ตลอดหลายปีที่นางอยู่กับโก่วร์จนกระทั่งตกตายไป นางไม่เคยรู้จักตัวตนของคนที่ให้การดูแลนาง หลังจากที่นางตายไป เขาก็เขียนตัวอักษรไว้บนป้ายหลุมฝังศพของนางว่า
หมู่ชิน (มารดา) ของข้า
จารึกโดย โก่วร์ (สุนัข)
เขายืนอย่างเงียบๆ อยู่เบื้องหน้าหลุมฝังศพนางเป็นเวลานาน ขณะที่เป็นเช่นนั้น ผู้คนก็เริ่มปรากฏขึ้นในบริเวณนั้น ซึ่งมีใบหน้าที่ดูคุ้นตา แต่ละคนคือนักฆ่าจากสมาคมมือสังหาร
ไม่มีใครพูดจา หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก รังสีสังหารของพวกมันก็ระเบิดออกไป และเริ่มพุ่งตรงมายังโก่วร์ เขามองขึ้นไปและเริ่มต่อสู้คล้ายกับเป็นสุนัขอันดุร้าย
ศัตรูคนแล้วคนเล่าตกตายไป ในที่สุดก็เหลือโก่วร์อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ สำหรับเขาแล้วคู่ต่อสู้เหล่านี้ต่างก็อ่อนแอมากเกินไป เขาส่ายหน้าตัดใบหูของพวกมันและจากไป เดินทางไปยังสถานที่ที่คิดว่าไม่มีใครสามารถจะค้นหาตนเองได้ ซึ่งก็คือทะเลทรายแห่งนั้น เขาเหน็ดเหนื่อยในการสังหารผู้คน และต้องการจะมีชีวิตอยู่ตามลำพังอย่างสงบสุข ในที่สุดเขาก็กลับไปทำงานเช่นเดียวกับบิดาตนเอง และเริ่มเป็นผู้นำทางผู้คนผ่านทะเลทราย
สิบปีผ่านไป ในวันหนึ่งเมื่อเขาตื่นขึ้นมาและเดินออกจากประตูบ้านไปก็พบว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มมือสังหาร ซึ่งถูกนำทางมาโดยชายชราคนเดียวกับที่เคยนำเขาจากไปเมื่อหลายปีก่อน ยืนอยู่ที่นั่นมองมายังโก่วร์พร้อมกับสองขาที่สั่นสะท้านอันเนื่องมาจากอายุที่มากแล้วของมัน
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ชายชราก็พูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “สังหารมัน”
เกิดการสังหารกันขึ้นมา ซากศพหล่นลงไปทั้งซ้ายและขวา และบาดแผลก็เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างของโก่วร์ แต่เขาก็ไม่สนใจ หลังจากที่สังหารคู่ต่อสู้ทั้งหมดไป ก็ถอนหายใจและเดินไปยังชายชรา ชายชรามองไปยังบุรุษที่ตนเองนำไปยังสมาคมมือสังหารในตอนที่ยังเป็นเด็กชายด้วยความขมขื่นอย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าจะรอให้มันกล่าวบางอย่างกับตนเอง
แต่จากนั้นคมมีดก็กรีดเฉือนลงมา
โก่วร์ขมวดคิ้ว ขณะที่มองไปรอบๆ ยังซากศพทั้งหมด เขาจากไป เดินทางไปยังเขตฝึกมือสังหารแรกในทะเลทราย จากนั้นก็เขตที่สอง และในที่สุดก็ไปยังสำนักงานใหญ่ของมือสังหาร
เขาไม่รู้ว่าได้สังหารผู้คนไปมากมายเท่าใด ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปยังวันเก่าๆ ที่มีแต่ไม่สังหารผู้อื่น ตนเองก็ต้องถูกสังหารไป
หลังจากที่สังหารคนทั้งหมดในสมาคมมือสังหาร เขาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก กลับไปยังทะเลทราย และเริ่มทำงานในฐานะที่เป็นผู้นำทางอีกครั้ง หนึ่งปีผ่านไป จากนั้นก็อีกหนึ่งปีและหนึ่งปี ในที่สุดก็ไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่ผ่านไป วันหนึ่งก็ตระหนักว่าตนเองได้กลายเป็นชายชราไปแล้ว และร่างกายก็เสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก เขากำลังมองออกไปยังทะเลทราย คิดไปถึงหูข้างขวาของตนเองที่ควรจะมีอยู่อย่างเลื่อนลอย เกล็ดหิมะเริ่มลอยพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า และเวลาเดียวกันนั้น ลำแสงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นยังที่ห่างไกล ภายในลำแสงนั้นเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง
หิมะตกลงมา และดวงตาของโก่วร์ก็ค่อยๆ ปิดลงไปอย่างช้าๆ
จากนั้นชีวิตที่เจ็ดของเขาก็สิ้นสุดลง ขณะที่วิญญาณลอยออกมาผ่านเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่อีกครั้ง หญิงสาวก็บินตรงมายังร่างเขาด้วยความรวดเร็วสูงสุด
เป็นหญิงสาวที่งดงาม และในที่สุดนางก็มาถึงซากศพของโก่วร์ รู้สึกได้ถึงพลังแห่งการเกิดใหม่ หยดน้ำตาเริ่มไหลลงมานองหน้า
“ซือจุน…” นางคือเยียนเอ๋อร์ ซึ่งได้ค้นหามานานปีแล้วปีเล่า ก่อนที่จะมายังสถานที่แห่งนี้ และรับรู้ได้ถึงความผันผวนอันคุ้นเคย แต่นางก็มาช้าไปเล็กน้อย
นางรู้ว่าอาจารย์ได้เข้าไปสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่เงียบไปนานชั่วขณะ นางก็ฝังซากศพของโก่วร์ จากนั้นก็หันร่างไป ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่เริ่มติดตามกลิ่นอายแห่งการเกิดใหม่ที่กำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว
นางมีความเชื่อว่า…กำลังเข้าไปใกล้อาจารย์ของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ในปีนั้นร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวสร้างเป็นเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เจ็ดได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นชีวิตที่แปดก็เริ่มต้นขึ้นบนทวีปที่สอง ในทุกๆ การถือกำเนิดขึ้นมา กิ่งก้านของรากเซียนก็จะสาดประกายเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม แต่ความทรงจำของเขาก็จะถูกผนึกไว้ลึกมากขึ้น ราวกับว่าเขากำลังพบเจอกับชีวิตใหม่ในแต่ละครั้งอย่างแท้จริง