Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1493

ตอนที่ 1493

รอจนข้าเติบใหญ่ขึ้น

ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวเริ่มชีวิตที่แปดบนทวีปที่สอง

เห็นได้ชัดว่าเขามีความเกี่ยวพันบางอย่างกับหิมะเป็นพิเศษ แต่ละชีวิตของเขามักจะเริ่มต้นขึ้นในท่ามกลางหิมะ และชีวิตในชาตินี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น ในช่วงของฤดูหนาวที่หิมะสุดท้ายตกลงมาบนทวีปที่สอง เด็กทารกผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในค่ายที่มั่นบนภูเขาแห่งหนึ่ง เสียงร้องไห้ในตอนที่ถือกำเนิดขึ้นมานั้นดังก้องกังวานและชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

บิดาของเขาคือโจรภูเขา เป็นรองแต่หัวหน้าโจรเท่านั้น สำหรับผู้นำของกองโจรกลุ่มนี้ก็คือ…มารดาของเขา

เป็นครั้งแรกเมื่อหลี่ฮ่าวมีอายุเจ็ดขวบ ก็ร้องตะโกนบอกบิดามารดาว่า “ข้าต้องการเป็นโจรด้วยเช่นกัน!”

ผลลัพธ์จากการร้องตะโกนขึ้นมานี้ ทำให้มารดาต้องตีก้นเขาติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน

เขามีพี่ชายอยู่หนึ่งคนซึ่งเป็นโจรที่เก่งกาจด้วยเช่นกัน และค่อนข้างจะมีชื่อเสียงอยู่ในค่ายที่มั่นแห่งนี้ ในที่สุดพี่ชายก็ได้รับการยอมรับจากบิดามารดา แต่งตั้งให้กลายเป็นเส่าจ้ายจู่ (หัวหน้าค่ายน้อย)

เมื่อหลี่ฮ่าวเติบโตขึ้น บิดามารดาก็นำสาวใช้มาให้คนแล้วคนเล่า เขาเริ่มเข้าใจหน้าที่ของตนเองอย่างช้าๆ เขาจำเป็นต้องมีทายาทเพื่อให้ตระกูลหลี่คงอยู่ต่อไปตลอดกาล

มันคือภารกิจที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มาพร้อมกับแรงกดดันมากมายด้วยเช่นกัน นั่นคือ…สิ่งที่บิดามารดาเลี้ยงดูเขามาเช่นนี้ ทุกครั้งที่เขาทำภารกิจได้สำเร็จหนึ่งครั้ง ก็จะเห็นความอิจฉาในแววตาของพี่ชายอยู่เสมอ

ด้วยหน้าที่และแววตาของพี่ชาย ทำให้หลี่ฮ่าวรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเขาทำงานหนักมากเท่าใด เป้าหมายในชีวิตก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยพูดไว้ตอนอายุเจ็ดขวบมากขึ้นเท่านั้น

“ข้าไม่ต้องการเป็นโจร ข้าจะทำให้ลูกหลานของตระกูลหลี่กระจายไปทั่วแคว้น! ภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี ตระกูลหลี่ก็จะใหญ่โตมากที่สุดในแคว้นแห่งนี้!”

“หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี คนทั้งหมดภายในแคว้นก็จะพบว่าตนเองมีสายโลหิตเดียวกัน!”

คำพูดเหล่านี้ทำให้บิดามารดาต้องตกตะลึง และทำให้พี่ชายต้องสั่นสะท้าน คนทั้งหมดในค่ายภูเขาต่างก็ประหลาดใจกันไปทั่ว

หลี่ฮ่าวค่อนข้างจะยินดีต่อสีหน้าของคนเหล่านั้น และเริ่มมองเห็นว่าภารกิจของตนเองมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาก็เริ่มทำงานอย่างสุดชีวิต เริ่มทำการค้นคว้า และศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดมากมาย…

ด้วยการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง รวมเข้ากับความพยายามของสาวใช้ ทำให้ทักษะความสามารถของเขามีแต่จะดีเยี่ยมขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีอายุครบยี่สิบปี เขาก็กลายเป็นบิดาของเด็กห้าสิบเก้าคน

ในตอนนั้นเขาไปยืนอยู่บนยอดเขา มองขึ้นไปในท้องฟ้า หยดน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม

เขารู้สึกคล้ายกับเป็นคุนเผิง คุนเผิงที่ไม่ยอมอยู่แต่ภายในค่ายภูเขาอีกต่อไป เพื่อที่จะทำภารกิจให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เขาจะออกจากค่ายภูเขา และเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทั้งแผ่นดิน

บิดามารดาคิดว่านั่นเป็นความคิดที่บ้าคลั่ง และพี่ชาย…ก็มองมาด้วยความหวาดกลัว แต่เขาก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ในความคิดของเขา ครอบครัวไม่เข้าใจหน้าที่ของตนเอง

“พวกท่านไม่เข้าใจว่า คนผู้หนึ่ง…สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ และมีเงื่อนไขว่าคนผู้นั้นต้องเป็นบุรุษ เป็นบุรุษที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และบุรุษผู้นั้นก็ต้องเป็นข้า…

หลี่ฮ่าว!”

ราตรีนั้นเขาออกมาจากค่ายบนภูเขา พร้อมกับความคิดในอุดมคติของตนเอง ปีนลงมาจากยอดเขาเพื่อเข้าไปสู่โลกภายนอก ประสบการณ์จากโลกกว้างช่วยให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง และทำให้รู้สึกว่าภารกิจของตนเองมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม อันที่จริงเขารู้สึกว่าทุกๆ วันที่ผ่านไป คือโอกาสที่ต้องสูญเสียไปอย่างน่าเสียดายนัก

เขาเริ่มต้นในหมู่บ้านใกล้กับเชิงเขา โชคดีที่เขามีหน้าตาที่หล่อเหลา พร้อมกับดวงตาที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้ภารกิจของตนเองประสบความสำเร็จในหมู่บ้านแห่งนี้

แต่เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่า การทำภารกิจนี้จะยุ่งยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง? ยี่สิบปีผ่านไป ตอนนี้เขามีอายุสี่สิบปีแล้ว และต้องพบเจอกับความยุ่งยากมากมาย ผู้คนยังได้พยายามจะสังหารเขาไปอีกด้วย เป็นความลำบากอย่างแท้จริงที่เขาจะเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งหนึ่งร้อยเจ็ดคนได้

ด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเหมือนเช่นเคย เขาจึงตัดสินใจที่จะออกจากหมู่บ้านนี้และเดินทางไปยัง…หมู่บ้านต่อไป

“ไม่เป็นไร ถึงหมู่บ้านจะเล็ก แต่ความฝันข้าก็ยิ่งใหญ่” เขาบอกกับตัวเอง ในหมู่บ้านที่สองแห่งนี้ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการ ใช้ความแข็งแรงทั้งหมดในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา เพื่อให้ผ่านต่อไปได้อีกยี่สิบปี ในหมู่บ้านที่สองแห่งนี้เขามีลูกทั้งหมดหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดคน

ทำให้ต้องร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ แต่ถึงแม้ว่าจะมีอายุหกสิบปีแล้ว ก็ยังคงกัดฟันแน่นนำบุตรชายบุตรสาวที่เติบใหญ่แล้วทั้งหมด และแม้แต่เหล่าหลานๆ เดินทางออกไปยังดินแดนที่ห่างไกลมากขึ้น

เป้าหมายแรกก็คือ…หมู่บ้านที่สามในเทือกเขาแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลเกือบยี่สิบหลี่

หลี่ฮ่าวรู้สึกพึงพอใจในตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมในครั้งนี้ เขาปลูกฝังอุดมการณ์ของตนเองไปยังลูกหลาน นอกจากนั้นก็ตระหนักมานานแล้วว่าไม่อาจจะทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ด้วยตนเอง แต่ด้วยความช่วยเหลือของลูกหลาน ก็น่าจะบรรลุถึงความพยายามอันสูงส่งของตนเองได้

หลี่ฮ่าวและลูกหลานใช้เวลาเพียงแค่สามปีในหมู่บ้านที่สาม ก่อนที่จะครอบครองได้ทั้งหมด จากนั้นหลี่ฮ่าวก็สามารถจะหัวเราะเป็นเสียงดังก้องออกมา แทนที่จะเดินทางไปด้วยตนเอง เขากลับส่งลูกหลานออกไปยังเมืองอื่นๆ แทน

ลูกหลานคนแล้วคนเล่าดำเนินตามความคิดและภารกิจของเขา ออกจากหมู่บ้านเดินทางเข้าไปยังสถานที่อื่นๆ สิบปีผ่านไป ทายาทของเขาแต่ละคนก็จะเติบโตขึ้นไปในทุกๆ ปี และจะถูกส่งออกไปเพื่อเผยแพร่ลูกหลาน

ผ่านไปอีกสิบปี หลี่ฮ่าวก็มีอายุมากกว่าแปดสิบปี และสามารถจะพบเห็นลูกหลานของเขาในทุกอาชีพทั่วทั้งแคว้น สำหรับจำนวนลูกหลานที่แน่นอน แม้แต่ตนเองก็ยังไม่รู้ แต่ก็คิดว่าน่าจะมีนับหมื่นคน

เขามีความสุขกับชีวิตของตนเอง และยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสิบห้าปี เมื่อมีอายุครบหนึ่งร้อยปี ตระกูลของหลี่ฮ่าวก็มีจำนวนอย่างน่าตกใจยิ่งนับแสนคน ถ้ามารวมตัวกันก็สามารถจะกลายเป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งได้ทีเดียว

ในตอนนี้พวกมันกระจายออกไปทั่วทั้งแคว้น ทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม

แต่เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อยในวัยชราของตนเอง เมื่อหิมะเริ่มตกลงมาในฤดูหนาวของปีหนึ่ง ชีวิตของเขาก็เริ่มสิ้นสุดลง แต่ก็มีความพึงพอใจและภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง

“ข้ามีชีวิตอยู่อย่างไม่ธรรมดา และได้เปลี่ยนอนาคตของแคว้น และแม้แต่โลกแห่งนี้ ข้าเพียงลำพัง…เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไป” หลี่ฮ่าวหัวเราะสามครั้ง จากนั้นก็หลับตาลงและตายไป

ร่างจริงเมิ่งฮ่าวตระหนักดีถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ถ้าไม่ติดอยู่บนบุปผาดอกนี้ เขาก็คงจะกลับไปยังดาวชางหมางเพื่อขัดขวางเรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน

เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลังจากมีชีวิตอยู่ตามปกติธรรมดามาเจ็ดชาติ ชีวิตที่แปดของร่างจำแลงตนเองจะกระทำสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้ โชคดีที่ร่างกายเกิดใหม่ของร่างจำแลง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมิ่งฮ่าวโดยตรง

ร่างกายไม่ได้เกิดใหม่ มีแต่วิญญาณเท่านั้น

หลังจากที่ได้ข้อสรุปอันไร้สาระของชีวิตที่แปด ความทรงจำก็ถูกผนึกไว้ และร่างจำแลงก็เริ่มชีวิตที่เก้าอยู่ในทวีปแรก ร่างจริงเมิ่งฮ่าวรู้สึกวิตกเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตสุดท้ายนี้

เมื่อครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปแทรกแซง รับรู้ได้ว่าชีวิตสุดท้ายของร่างจำแลงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่ในตอนนี้เองที่สีหน้าต้องเปลี่ยนไปในทันที และลุกขึ้นมายืนด้วยความประหลาดใจ

เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าชีวิตที่เก้านี้แตกต่างไปจากชีวิตที่สองจนถึงชีวิตที่แปดโดยสิ้นเชิง ชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นผ่านทางวิญญาณที่ไปเกิดใหม่ ร่างกายไม่ได้เป็นของเมิ่งฮ่าว เป็นแต่เพียงวิญญาณเท่านั้น

แต่ขณะที่ชีวิตที่เก้าเริ่มต้นขึ้น เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ว่าชีวิตที่เก้านี้เหมือนกับชีวิตแรกของร่างจำแลง คาดไม่ถึงว่า…ชีวิตนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหิตของเมิ่งฮ่าวเอง แทนที่จะกล่าวว่านี่คือชีวิตที่เก้าของร่างจำแลง ก็น่าจะเหมาะสมกว่าที่จะบอกว่ามันคือร่างจำแลงที่แท้จริงของเขา

วิญญาณเป็นของเขาและโลหิตก็เป็นของเขา

นี่คือสิ่งที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ร่างจำแลงตายไปในช่วงของการเข้าฌานบนเส้นทางเหนือสูงสุด และวิญญาณของเขาก็เข้าไปสู่การเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายเดิมของเขาถูกสร้างขึ้นมาในชีวิตที่เก้านี้ซึ่งเหมือนกับฟางมู่ตอนที่ยังเป็นทารกลอยไปตามลำธาร ซึ่งก่อตัวขึ้นมาจากเมิ่งฮ่าวเอง ถือได้ว่าเป็นคนๆ เดียวกับเมิ่งฮ่าวอย่างแท้จริง

เมิ่งฮ่าวทั้งตกใจและรู้สึกกังวล อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงนี้

อย่างไรก็ตามแค่เรื่องนี้อย่างเดียว ไม่ได้ทำให้เขาต้องสะท้านใจเท่าใดนัก สิ่งที่น่าสั่นสะเทือนมากที่สุดก็คือว่า ชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงนี้แตกต่างไปจากสิ่งใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาทั้งหมดจากก่อนหน้านี้ เขารู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของมันได้อย่างเลือนรางเท่านั้น ราวกับว่าการเชื่อมต่อระหว่างคนทั้งสองบางเบาลงอย่างถึงที่สุด

ร่างจริงเมิ่งฮ่าวไม่อาจจะมองเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงได้อย่างแท้จริง

“ชีวิตที่เก้ามีความสำคัญและวิกฤตมากที่สุด จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกๆ ขึ้นเช่นนี้…” ถึงจะเข้าใจเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น เขากำลังจะมุ่งหน้ากลับไปยังชางหมางพ่าย แต่ทันใดนั้นบุปผาขนาดใหญ่ก็เริ่มเบ่งบานขึ้นมา!

เมื่อเป็นเช่นนั้น กลิ่นอายของเศษกระจกทองแดงชิ้นสุดท้ายก็เริ่มกระจายออกมา ร่างจริงเมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆ

“ข้าจะไม่ไปขัดขวางร่างจำแลง จะปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามปกติ บางทีการสอดแทรกเข้าไปจะทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบก็เป็นได้ ถ้าข้าไม่นำเศษชิ้นส่วนกระจกไปในตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าต้องรอคอยไปอีกนานมากแค่ไหน” ด้วยเช่นนั้นดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยการคิดคำนวน โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ก็ขยับร่างเคลื่อนไหวมุ่งหน้าตรงเข้าไปในบุปผาดอกใหญ่มหาศาลนั้น

จนถึงตอนนี้เมิ่งฮ่าวไม่เคยแทรกแซงชีวิตทั้งหมดของร่างจำแลง ดังนั้นเขาก็จะทำเช่นเดียวกับชีวิตสุดท้ายนี้ เขาจะไม่สอดมือเข้าไปอย่างเด็ดขาด!

เวลาเดียวกันนั้นในเมืองหลวงของทวีปแรก…

เมืองหลวงมีขนาดใหญ่และมีประชากรอยู่อย่างแน่นหนา แต่ตรงอาณาเขตที่อยู่ค่อนข้างจะห่างไกลออกไป หิมะตกลงมาและสายลมก็โชยพัด ขณะที่สามีภรรยาคู่หนึ่งออกมาจากวิหาร หลังจากที่ไปขอพรเพื่อให้มีบุตร

คนทั้งสองแต่งงานกันมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยมีบุตรเลย หลังจากที่ผ่านไปหลายปี คนทั้งสองก็มายังวิหารแห่งนี้หลายครั้ง เพื่ออธิษฐานขอให้มีบุตรอย่างจริงจัง และเริ่มรู้สึกวิตกเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เมื่อไม่กี่ปีมานี้คนทั้งสองไปปรึกษาหลางจง (แพทย์จีนโบราณ) เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจใดๆ

หลังจากที่ออกมาจากวิหาร คนทั้งสองก็มุ่งหน้ากลับไปบ้านด้วยความวิตกกังวล แต่ขณะที่กำลังเดินทางไปนั้น ก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงทารกร้องไห้ เมื่อมองไปก็เห็นทารกกำลังนอนอยู่บนพื้นริมกำแพง

คนทั้งสองรีบอุ้มทารกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร จึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่มองไปอย่างละเอียด ก็ตระหนักได้ถึงความเป็นจริง ใครบางคนทอดทิ้งทารกนี้ด้วยความลำบากใจ อันเนื่องมาจากมันเกิดมาตาบอด

หลังจากที่ครุ่นคิดเล็กน้อย คนทั้งสองก็ตัดสินใจว่าจะนำทารกกลับบ้านไปด้วย สำหรับคนทั้งสองแล้วทารกนี้คล้ายกับเป็นของขวัญจากสวรรค์

ถึงแม้ว่าตลอดชีวิตของทารกนี้จะไม่มีทางได้เห็นแสงสว่าง มีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความมืดตลอดไป แต่คนทั้งสองก็เลือกที่จะกลายเป็นบิดามารดาของมัน ตั้งนามให้มันว่าเสียวเป่า (ของวิเศษน้อย) และเริ่มเลี้ยงดูมันด้วยความรักและอบอุ่น

เสียวเป่าไม่เคยตระหนักว่าตนเองแตกต่างไปจากคนทั้งหมด คิดเพียงแต่ว่า…โลกนี้เป็นสีดำมืดเท่านั้น

เขาคิดว่าคนทั้งหมดเหมือนกับตนเอง ไม่แม้แต่จะเข้าใจว่า…ดวงตาคืออะไร

ถึงแม้ว่าสวรรค์จะพรากการมองเห็นของเขาไป ป้องกันไม่ให้เขามองเห็นโลกแห่งนี้ แต่เขาก็มีความสุขด้วยสองมือที่คล่องแคล่วว่องไว เป็นคนที่ฉลาดและเงียบสงบ

บิดามารดารักเขามาตั้งแต่เริ่มต้น คอยประคองกอดเมื่อเขาหัดเดิน จนกระทั่งมีอายุสี่ถึงห้าขวบ

ชีวิตของเขามีความสุข และจริงๆ แล้วเขาก็คิดว่าตนเองมีความสุขมากที่สุดในโลกแห่งนี้

เมื่อเขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของดวงตะวันบนใบหน้า ก็จะสอบถามว่า “เตียเตีย (บิดา) เหนียงชิน (มารดา) อะไรที่อบอุ่นได้เช่นนี้?”

“นั่นคือแสงอาทิตย์จากดวงตะวัน”

“ดวงตะวัน?”

“มันคือลูกทรงกลมของไฟขนาดใหญ่ ที่อยู่สูงขึ้นไปในท้องฟ้า…”

“ข้าสัมผัสมันได้หรือไม่? แล้วพวกท่านรู้จักมันได้อย่างไร?”

“…เสียวเป่า เจ้า…สวรรค์กำหนดให้ดวงตาเจ้าบอดไป ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถจะมองเห็น แค่รอจนกระทั่ง…เจ้าเติบใหญ่ขึ้น ก็จะสามารถมองเห็นได้เอง”

 

เมื่อเขาได้ยินเสียงนกร้อง ก็จะถามว่า “นั่นเป็นเสียงอะไร?”

“วิหค”

“เหนียงชิน วิหคมีหน้าตาเหมือนอะไร?”

“พวกมันมีปีก ดังนั้นจึงสามารถบินอยู่ในท้องฟ้าได้…”

 

“เอ่อ ข้าเข้าใจแล้ว หลังจากที่เติบใหญ่ขึ้น ข้าก็จะมองเห็นได้ ใช่หรือไม่? ตอนที่พวกท่านเป็นเด็ก เตียเตียเหนียงชินก็ไม่อาจจะมองเห็นด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่? ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากน้อยๆ ของเขา ก็ทำให้จิตใจของบิดามารดาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวถูกแทง พวกท่านจะกอดเขาไว้ และร้องไห้ออกมาอย่างเงียบๆ

เด็กชายไม่ตระหนักถึงความเจ็บปวดนี้ ยังคงมีความสุขเหมือนเช่นเคย นอกจากนี้เขายังคาดหวังด้วยความกระตือรือร้นว่าจะเติบโตขึ้นในที่สุด

วันหนึ่งเขาได้ยินเด็กข้างบ้านบางคนล้อเลียนตนเองว่าเป็นคนตาบอด แต่ก็ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมีความหมายว่าอย่างไร

ราตรีนั้นเมื่อมารดากำลังพาตนเองเข้านอน เขาก็ถามขึ้นมาว่า “เหนียงชิน ตาบอดหมายความว่าอย่างไร?”

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามารดากำลังสั่นสะท้าน และรับรู้ได้ว่านางกำลังเริ่มร้องไห้ออกมา เขายกมือขึ้นมาและปาดเช็ดน้ำตาออกไปอย่างอ่อนโยน

“เหนียงชิน อย่าได้ร้องไห้…ข้าจะไม่ถามคำถามนี้อีกแล้ว” เสียวเป่ากล่าวขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา และไม่เคยถามถึงเรื่องนี้อีกเลยตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!