ตอนที่ 1494
เสียวเป่า
วันต่อมาเขาเงียบลงไปมากกว่าเดิม เมื่อรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างมาทำให้ใบหน้าตนเองอบอุ่นขึ้น ก็ไม่ถามว่าดวงตะวันคืออะไร เมื่อได้ยินบางสิ่งบางอย่างกำลังส่งเสียงร้อง เขาก็ไม่ถามว่าวิหคคืออะไร
ในที่สุดเขาก็ได้ยินจากคนอื่นๆ จนเข้าใจว่าตาบอดมีความหมายว่าอย่างไร เขาเรียนรู้ว่าท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีดำ แต่เป็นสีฟ้า โลกก็ไม่ได้มืดสนิทด้วยเช่นกัน แต่เต็มไปด้วยสีสันมากมาย
เขายังตระหนักด้วยเช่นกันว่าตนเองแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ คนทั้งหมดสามารถจะมองเห็นโลกตั้งแต่ตอนที่พวกมันถือกำเนิดขึ้นมา ในขณะที่ตนเอง…
เขาคิดไปถึงสิ่งที่บิดามารดาเคยกล่าวไว้ว่า สามารถจะมองเห็นได้หลังจากที่เติบใหญ่ขึ้น นั่นคือเรื่องโกหก แต่เขาก็ไม่ต้องการจะเชื่อว่าเป็นคำโกหก และยังคงบอกกับตนเองอย่างต่อเนื่องว่าหลังจากเติบโตขึ้นมาแล้ว ก็สามารถจะมองเห็นได้
เหตุผลที่เขามองไม่เห็นก็คือว่า…ตนเองยังไม่เติบใหญ่
เขาเริ่มสันโดษมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องการออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ เพราะว่าพวกมันมักจะกลั่นแกล้งตนเอง พวกมันล้อเลียนว่าตนเองไม่อาจจะมองเห็น พูดเล่นว่าตนเองตาบอด แต่ภายในใจก็ยังคงต้องการมีสหาย ดังนั้นจึงทำได้ดีที่สุดก็คือยิ้มออกมาเท่านั้น ไม่ยอมร้องไห้ เมื่อไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ และถูกผลักลงไปบนพื้น เสื้อผ้าถูกฉีกทึ้ง ถูกเล็บข่วนผิวหนังจนเลือดไหลซึม แต่เขาก็แค่ยิ้มออกมาเท่านั้น
ผู้คนล้อเลียนว่าเขาเป็นคนตาบอด และคำล้อเหล่านั้นก็เริ่มโหดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกเลวร้ายจนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ก็พยายามกล้ำกลืนไว้ ไม่ต้องการทำลายมิตรภาพที่ตนเองมี เขาต้องการสหายเหล่านี้เป็นอย่างมาก
ในวันหนึ่งเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเด็กคนอื่นๆ ที่ตนเองได้ยินแต่มองไม่เห็น จู่ๆ ก็มาหา บอกว่าต้องการให้เขาเล่นพิเศษบางอย่างกับพวกมัน
“การละเล่นนี้เรียกว่าตาบอดไล่จับคน เสียวเป่า เจ้าตาบอด ดังนั้นเจ้าต้องคว้าจับพวกเราให้ได้ เข้าใจหรือไม่?”
“ใครก็ตามที่เจ้าคว้าจับไว้ได้ คนผู้นั้นจะต้องกลายเป็นคนตาบอด ใช่แล้ว พวกเรากำลังจะไปยังสถานที่พิเศษเพื่อเล่นกัน รอจนกระทั่งพวกเราบอกว่าไป เจ้าก็เริ่มไล่จับพวกเราได้”
“ข้า…ข้าไม่ต้องการเล่น” เสียวเป่ากล่าว แอบสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ รู้ดีว่าการเป็นคนตาบอดคือสิ่งที่น่ากลัว และไม่ต้องการให้คนอื่นๆ กลายเป็นคนตาบอดด้วยเช่นกัน
“หุบปาก! ถ้าเจ้าไม่เล่นกับพวกเราในตอนนี้ พวกเราก็จะไม่เล่นกับเจ้าอีกต่อไป!” ด้วยการปฏิเสธที่จะพูดคุยถึงเรื่องนี้อีกต่อไป เหล่าเด็กๆ ก็ลากเขาออกไปเล่น เขาไม่รู้ว่าพวกมันกำลังพาตนเองไปยังที่แห่งใด แต่ในที่สุดก็ได้ยินเสียงวิหคร้องขับขาน จากนั้นพวกมันก็ผลักให้นั่งคุกเข่าลงไป
“จดจำไว้ อย่าเริ่มไล่ตามพวกเราจนกระทั่งพวกเราบอกว่าไป” พวกมันเริ่มหัวเราะขึ้นมา จนกระทั่งเสียงนั้นเริ่มจางหายไปในที่ห่างไกล
เขาคุกเข่าอยู่ที่นั่นบนพื้น ไม่ขยับตัวเคลื่อนไหว ด้วยความวิตกว่าจะละเมิดกฏและเริ่มเคลื่อนไหวเร็วมากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกมันอาจจะไม่ยอมเล่นกับตนเองอีก ดังนั้นเขาจึงเฝ้ารอ…เป็นเวลานานมากๆ
ในที่สุดเสียงวิหคก็เริ่มจางหายไป จนรู้สึกหนาวเย็นและหวาดกลัวขึ้นมา
“เริ่มได้แล้วยัง?” เขาร้องตะโกนออกไป แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา
“เริ่มได้แล้วยัง?” เขาสั่นสะท้าน เริ่มรู้สึกหนาวเย็นมากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา
“เริ่มได้แล้วยัง…?” เขาลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ ด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน คิดว่าได้ยินเสียงผู้คนอยู่ใกล้บริเวณนั้น แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา
เขารู้สึกหวาดกลัว ถึงแม้ว่าเดิมทีโลกเป็นสีดำสนิท แต่ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นตามปกติเมื่ออยู่ใกล้กับบิดามารดา ในตอนนี้โลกไม่เพียงแต่จะเป็นสีดำเท่านั้น แต่ยังได้หนาวเย็นอีกด้วย
“เริ่มได้แล้วยัง…? ข้า…ข้าไม่อยากจะเล่นแล้ว…” เขารู้สึกหวาดกลัวจนหยดน้ำตาเริ่มไหลลงมานองหน้า
“พวกเจ้าอยู่ไหนกัน…? ข้าไม่เล่นแล้ว…ข้าอยากจะกลับบ้าน”
“เตีย เหนียง พวกท่านอยู่ไหน…?” เขาร้องไห้ เริ่มเดินตรงไป โบกมือไปมาอยู่ที่เบื้องหน้า แต่ก็คว้าจับได้แต่อากาศ หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ล้มลงไปอีกครั้ง
“เหนียงชิน…ท่านอยู่ไหน…? เสียวเป่ากลัว…” เขาดิ้นรนลุกขึ้นมายืน ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว รู้สึกว่าการอยู่ตามลำพังคือสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด เสื้อผ้าฉีกขาด ศีรษะมีโลหิตไหลซึมออกมา และเขาก็มีอายุเพียงแค่เจ็ดขวบเท่านั้น โบกมือไปมาอยู่ที่เบื้องหน้า เริ่มเดินตรงไปอย่างช้าๆ
สิ่งที่เขาไม่อาจจะมองเห็นก็คือว่าภายในป่าตอนนี้ ตรงเบื้องหน้าของตนเองขึ้นไปเป็นสุนัขป่าเดียวดายตัวหนึ่ง ค่อยๆ เข้ามาใกล้เขาอย่างช้าๆ จ้องมองมาด้วยดวงตาที่ดุร้ายและเย็นชา
เมื่อสุนัขป่ากำลังจะกระโจนมาบนร่างเขา ทันใดนั้นก็สั่นสะท้านขึ้นมา จากนั้นก็ทรุดลงไปบนพื้น ชั่วขณะต่อมาก็กลายเป็นเถ้าธุลีไป หญิงสาวเยาว์วัยสวมใส่ชุดยาวสีเขียวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
นางจ้องมองไปยังเด็กชายด้วยความงุนงง เฝ้ามองดูขณะที่เขาเดินคลำไปตลอดทาง มองเห็นหยดน้ำตาบนใบหน้าของเขา และได้ยินเสียงร้องไห้จนทำให้จิตใจต้องแหลกสลาย หญิงสาวกัดริมฝีปาก และเริ่มร้องไห้ออกมา
“ซือจุน…” นางพึมพำ นี่ก็คือเยียนเอ๋อร์นั่นเอง นางค้นหาอาจารย์มานานนับร้อยปี และในวันนี้ก็รับรู้ได้ถึงร่องรอยอันเลือนลางของเต๋าแห่งการเกิดใหม่ในสถานที่แห่งนี้ ไม่นานนัก…นางก็ค้นพบอาจารย์ที่มาเกิดขึ้นใหม่ของตนเอง
เท้าของเด็กชายที่กำลังร้องไห้สะดุดไปโดนสิ่งของบางอย่าง ทำให้ต้องล้มลงไปที่เบื้องหน้า แต่เยียนเอ๋อร์ก็คว้าจับแขนเขาไว้ด้วยความอ่อนโยน
เสียวเป่าสั่นสะท้านและเอื้อมมือออกไปเมื่อรู้สึกว่ามีใครมาคว้าจับตนเองไว้ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ที่คล้ายกับเป็นมารดาของตน รู้สึกว่ามีความคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างยิ่ง และยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยอีกด้วย
“ท่าน…” เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เยียนเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้า ยิ้มออกมาและถามว่า “เจ้ามีนามว่าเสียวเป่า ใช่หรือไม่?”
“อืม” เขากล่าวตอบพยักหน้าให้ เสียงของหญิงสาวอ่อนโยน และทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป
ในตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงดังออกมาจากที่ห่างไกล เห็นได้ชัดว่ามีคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินมาและร้องตะโกนออกมาเป็นระยะ
“เสียวเป่า เจ้าอยู่ไหน…?”
“เสียวเป่า…เหนียงชินมาแล้ว เจ้าอยู่ไหน…?”
“เสียวเป่า…” บิดามารดาของเขามาพร้อมกับคนอื่นๆ ร้องตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลและหวาดกลัว
“เตีย…เหนียง…” เสียวเป่าสั่นสะท้าน
เยียนเอ๋อร์ลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ตัดสินใจไม่นำเด็กชายจากไป กลับยื่นมือออกไปขยี้ศีรษะเขา
“เตียเหนียงมาหาเจ้าแล้ว เจี่ยเจีย (พี่สาว)…ต้องไปก่อน” นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน
เยียนเอ๋อร์ถอยหลังเพื่อจะจากไป แต่ทันใดนั้นเสียวเป่าก็รู้สึกราวกับว่ากำลังสูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่างไป
“ต้าเจี่ยเจีย…ข้า…ข้าสัมผัสใบหน้าท่านได้หรือไม่?”
ดวงตาเยียนเอ๋อร์สาดประกายขึ้นด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ขณะที่มองไปยังเด็กชาย นี่คืออาจารย์ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตนเอง
นางคุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้าเด็กชาย มือของเขาแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก แต่นางก็ไม่สนใจ เขายื่นมือออกไปและใช้นิ้วเลื่อนผ่านไปบนใบหน้านางอย่างช้าๆ และระมัดระวัง หลังจากที่ผ่านไปนานชั่วขณะก็ยิ้มออกมา เยียนเอ๋อร์มองไปยังเด็กชายอีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้ม หันหลังและจากไป
ชั่วขณะต่อมา เสียวเป่าก็ร้องตะโกนเรียกบิดามารดา ที่กำลังรีบวิ่งตรงมาพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย และกอดเขาไว้แน่น หลังจากที่ออกมาจากเขตผืนป่า เขาไม่เคยสอบถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในวันต่อมาเขาไม่ยอมเล่นกับเด็กคนอื่นๆ อีกเลย พึงพอใจที่จะอยู่ตามลำพัง และมักจะคิดไปถึงหญิงสาวที่ตนเองได้พบในป่าแห่งนั้น
บางครั้งเขารู้สึกราวกับว่านางไม่ได้จากไปจริงๆ แต่อยู่ข้างกายตนเอง กำลังเฝ้ามองมา ถึงแม้ว่านางไม่เคยเปิดเผยตัวตนให้เห็น เขาก็มักจะรับรู้ได้
สิบปีผ่านไป และเสียวเป่าก็เติบโตขึ้น แต่ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความมืด ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ ราวกับว่าสวรรค์ลืมเลือนตนเองไปแล้ว
บิดามารดาเริ่มแก่ชราลงไป ถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น แต่ก็บอกได้ว่าเสียงของพวกท่านเริ่มแตกต่างออกไป เนื่องจากมือที่คล่องแคล่วคู่นั้น ทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ทักษะของช่างไม้เช่นเดียวกับบิดา
เมื่อเสียวเป่าไม่มีอะไรที่ต้องทำ ก็จะใช้การแกะสลักไม้เป็นเหมือนกับงานอดิเรก ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ก็สามารถจะจินตนาการได้ และด้วยเช่นนั้นเขาจึงแกะสลักได้อย่างวิจิตรงดงามและมีชีวิตชีวาอย่างน่าเหลือเชื่อ คล้ายกับเป็นความฝันของเด็กๆ
เขาแกะสลักรูปวิหค บ้านเรือน และกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับตนเอง
ไม่สนใจว่าผู้คนจะเรียกเขาว่าตาบอด ไม่สนใจที่ไม่อาจจะมองเห็นโลกนี้ เขาคิดว่าต้องหาสถานที่ของตนเองในโลกแห่งนี้ซึ่งก็คือการแกะสลักไม้ พวกมันคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา
ถึงแม้ว่ารูปแกะสลักเหล่านั้นไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นจริง แต่ก็เป็นสิ่งที่เขามองเห็นในจิตใจ ยิ่งไปกว่านนั้นถ้าสามารถจะรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างด้วยสองมือของตนเอง เขาก็จะสามารถสร้างมันขึ้นมากลายเป็นรูปแกะสลักที่สมบูรณ์พร้อม
“เหนียงชินเคยบอกว่าสวรรค์ปิดตาของพวกมันไว้ ข้าต้องการแกะสลักสวรรค์พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าสามารถรู้สึกได้” เสียวเป่าหัวเราะและส่ายหน้าไปมา
ข่าวคราวเกี่ยวกับการแกะสลักของเขาเริ่มกระจายออกไปทั่วทั้งเมืองอย่างช้าๆ ทำให้สามารถเริ่มการค้าเล็กๆ ของตนเองได้ บิดามารดาที่ยังคงรักใคร่เขาอย่างต่อเนื่องรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
บุตรชายของพวกท่านอาจจะมองไม่เห็น แต่ก็เป็นคนที่โดดเด่น ในที่สุดก็บรรลุถึงจุดที่ว่าเขาเริ่มดูแลพวกท่านได้ในยามชรา เป็นสิ่งที่สามารถจะสัมผัสได้และพวกท่านก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง จิตใจเต็มไปด้วยความรักอยู่ตลอดเวลา
แต่พวกท่านก็ยังคงวิตกเกี่ยวกับเสียวเป่า ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการดูแลตัวเองได้ตลอดชีวิต แต่พวกท่านก็ยังคงรู้สึกว่าเขาควรจะแต่งงาน
แต่น่าเสียดายด้วยการเป็นคนตาบอด ทำให้มีครอบครัวน้อยมากยินดีที่จะให้บุตรีมาแต่งงานกับเสียวเป่า
สามปีผ่านไป ในที่สุดก็มีใครบางคนทำตัวเป็นแม่สื่อ และได้พบกับหญิงสาวนางหนึ่งจากบ้านหลังเล็กๆ ที่ไหนสักแห่งภายในเมือง ยินดีที่จะแต่งงานกับเสียวเป่า นางมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง และการที่นางยินยอมแต่งงานก็ทำให้บิดามารดาของเสียวเป่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง พวกท่านมอบเงินที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิตให้เป็นสินสมรส และพานางกลับมายังบ้านของตนเอง
นั่นคือวันที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตชราของคนทั้งสอง พวกท่านจัดพิธีวิวาห์ รวมทั้งงานเลี้ยงฉลอง โคมไฟสีแดงถูกแขวนขึ้นไป หลังจากที่เหล่าเครือญาติและเพื่อนบ้านจากไป บิดามารดาของเสียวเป่าก็นำเขามายังห้องวิวาห์
เขารู้สึกวิตกกังวล ตนเองไม่เคยพบกับหญิงสาวนางนี้มาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมโดยบิดามารดา แต่เขาก็เป็นบุตรกตัญญู และยินดีจะทำตามการตัดสินใจของพวกท่าน ถึงแม้ว่าการแต่งงานจะเป็นสิ่งที่ตนเองไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนักก็ตาม
นอกจากนี้เขาก็อยากรู้ด้วยเช่นกันว่า ทำไมหญิงสาวนางนี้ถึงได้ยินยอมแต่งงานกับคนตาบอดเช่นตนเอง
เมื่อเสียวเป่าเข้าไปในห้อง นางกำลังนั่งอยู่บนเตียง สวมใส่ชุดเจ้าสาวพร้อมกับผ้าคลุมหน้าสีแดง ถึงแม้ว่าเขาไม่อาจจะมองเห็นนางได้ แต่ก็สามารถจะรู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของนาง
เขาใช้มือสัมผัสไปตามผนัง เข้าไปใกล้เตียง ยื่นมือออกไปสัมผัสภรรยาของตนเอง
นางสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่กล่าวอะไรออกมา
เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ ก่อนที่จะเลิกผ้าคลุมหน้าของนางขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ข้า สัมผัสใบหน้าท่านได้หรือไม่?”
ดูเหมือนว่าหญิงสาวเยาว์วัยจะวิตกเป็นอย่างยิ่ง ยึดจับเสื้อผ้าของตนเองไว้แน่นด้วยมือทั้งสอง และหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
ความกังวลของนางไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ลึกลงไปในจิตใจ นางไม่มั่นใจว่ากำลังกระทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ แต่นี่คือสิ่งที่นางต้องการอยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาติปัจจุบันนี้…
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวตกลงด้วยเสียงแผ่วเบา
เสียวเป่ายื่นมือออกไป และไต่นิ้วไปบนใบหน้านางด้วยความอ่อนโยน รู้สึกได้ถึงดวงตาของนาง, จมูกของนาง และริมฝีปากของนาง ทันใดนั้นแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างเขา