ตอนที่ 152
พูดคุยใต้แสงจันทร์
ฉื่อชิงมองไปยังเซียหยุนซุ่ย ขณะที่แทงกระบี่ทะลุผ่านศีรษะของนางไป จากนั้นก็ก้าวถอยหลังออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว เซียหยุนซุ่ยตกตายไป และฉื่อชิงก็ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ
เมิ่งฮ่าวมองไปที่นาง และจากนั้นก็เดินไปยืนอยู่ที่ข้างกายนาง พวกเขานั่งลงด้วยกัน เถาวัลย์ลากร่างของเซียหยุนซุ่ยลงไปในพื้นดิน และเริ่มกลืนกินลงไป
แสงจันทร์แขวนอยู่บนท้องฟ้าสูงขึ้นไป และทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบ ไม่มีใครสังเกตเห็นระลอกคลื่นของการต่อสู้ด้วยเวทอาคมครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนสงบสุขนี้ก็เป็นสถานที่อันกว้างใหญ่
“ครั้งแรก?” เมิ่งฮ่าวถาม เงาร่างของคนทั้งสองซ้อนทับกันใต้แสงจันทรา
นางเงียบไปสักพักก่อนที่จะพยักหน้า
“ครั้งแรกที่ข้าสังหารใครบางคน จิตใจของข้าก็ทุกข์มากเป็นเวลานาน” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา ขณะที่เขามองไปที่นาง ภาพจากสำนักเอกะเทวะก็ลอยขึ้นมาในจิตใจ
สายลมพัดโชยมา ชะล้างกลิ่นคาวของโลหิตให้จางหายไป เส้นผมของฉื่อชิงพริ้วขึ้น เสียดสีไปบนใบหน้าของเมิ่งฮ่าว ยากที่จะบอกว่ามันได้ปกคลุมไปรอบๆ ใบหน้า หรือจิตใจของเขา
“แล้วเจ้าล่ะ, หลังจากที่สำนักล่มสลายไป?” ฉื่อชิงถาม หันหน้ามามองเขา ใบหน้าของนางซีดขาว แต่สำหรับเมิ่งฮ่าว มันช่างสวยงามยิ่งนัก
เขายังจำได้ถึงค่ำคืนเมื่อหลายปีมาแล้ว เมื่อเขาได้เดินร่วมทางกับนาง กลับไปยังภูเขาตะวันออก ขณะที่เขามองนางเดินจากไป เขาได้คิดกับตัวเองว่า เขาจะแต่งงานกับนาง
มันเป็นความทรงจำเมื่อหลายปีมาแล้ว ราวกับจะนานมากทีเดียว ยากที่จะบอกได้ว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝันในวัยเยาว์หรือไม่
“จริงๆ แล้ว มันเกิดขึ้นในสำนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขารู้สึกผ่อนคลาย ดินแดนสงบสุขแห่งนี้เป็นสถานที่อันตราย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยกังวลนัก ราวกับว่าเขาได้กลับไปอยู่ที่สำนักเอกะเทวะ บนยอดเขาตะวันออก ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์
“โอ?” ฉื่อชิงกล่าว ดูท่าทางตกใจ นางจ้องไปยังเมิ่งฮ่าว ลืมปิดบังตัวเองด้วยสีหน้าที่เย็นชาชั่วคราว
สำหรับเมิ่งฮ่าว ความว่างเปล่าของนางช่างเต็มไปด้วยความสวยงาม มันแตกต่างเป็นอย่างมากกับศิษย์พี่หญิงฉื่อในความทรงจำของเขา ความเย็นชาของนางเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใกล้ แต่ความงุนงงของนางในตอนนี้ทำให้นางดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งฮ่าวหัวเราะออกมา
“ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าไม่เข้าใจท่านอย่างถ่องแท้เลย, ศิษย์พี่หญิง” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม มองไปที่นาง เขาไม่ใช่นักศึกษาอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว เขาได้พบเจอกับเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง และได้กลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา
ในแง่ของความฉลาดและความรอบรู้ เขาได้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาสามารถบอกได้ว่าความเย็นชาที่พบเห็นจากฉื่อชิงนั้น เป็นนางตั้งใจแสดงให้เห็นเอง
เขามองไปที่นาง เห็นผิวสีขาวราวน้ำนมภายใต้รอยฉีกขาดจากเสื้อผ้าของนาง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้หญิงในลักษณะเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขามองไปยังฉู่อวี้เยียน เขายังคงรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ แต่เมื่อได้เห็นฉื่อชิงในตอนนี้ ดวงตาของเขาก็แตกต่างกันออกไป
สายตาของฉื่อชิงประสานกับเมิ่งฮ่าวสักพัก จากนั้นนางก็มองไปยังที่อื่น จิตใจเต้นรัว ใบหน้าแดงเข้ม และนางก็กำมือไปจับเสื้อผ้าแน่นขึ้น เห็นได้ชัดว่านางกำลังตื่นเต้น
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมาเบาๆ จากนั้นก็ตบไปที่ถุงแห่งจักรวาล หยิบเสื้อผ้าออกมา และวางครอบลงไปที่ไหล่ของนาง
นางไม่พูดจา ยินยอมให้เขาห่อหุ้มนางด้วยเสื้อยาวตัวนั้น นางเงยใบหน้าที่งดงามมองไปยังดวงจันทร์ ขณะที่แสงจันทร์ส่องแสงลงมาบนตัวนาง เมิ่งฮ่าวมองไปที่เส้นผม และลักษณะที่น่ารักของนาง พวกเขาต่างก็จมอยู่ในความงามอันละเอียดอ่อนนี้ จนเกรงว่าแม้แต่สายลมก็อาจจะทำลายบรรยากาศเช่นนี้ไป
“เจ้าได้สังหารคนในสำนัก? ใคร?” ฉื่อชิงพยายามแสร้งเป็นไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวกำลังมองดูนางอยู่ แต่ใบหน้าของนางก็แดงเข้มขึ้น
“ศิษย์สายนอกแซ่จ้าว” เมิ่งฮ่าวกล่าว นึกไปถึงความตายอย่างน่ากลัวของศิษย์พี่จ้าวโดยกระจกทองแดง “มันต้องการจะครอบครองถ้ำแห่งเซียนที่ท่านให้ข้า”
“เจ้าช่างกล้าหาญจริงๆ” นางกล่าว หันหน้ามา และละสายตาจากดวงจันทร์มองมาที่เมิ่งฮ่าว “เจ้าได้สังหารคนภายในสำนักจริงๆ” นางพูดจาอย่างกระตือรือล้น และหลังจากนั้นนางก็กลับไปป็นคนที่เย็นชาเหมือนเดิม แต่เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นความเรียบง่ายไม่ซับซ้อนอยู่ภายใต้ความเย็นชานั้น
“อืม…จริงๆ แล้ว ข้าไม่ได้สังหารเพียงแค่คนเดียว” เขากล่าวพร้อมกับกระแอมไอเบาๆ
“โอ?” ศิษย์พี่หญิงฉื่อจ้องมองมาด้วยความนิ่งอึ้งอีกครั้งนานสักพัก ราวกับว่านางเพิ่งจะรู้จักเขาเป็นครั้งแรก นางมองไปที่เขาด้วยความระมัดระวัง คิดอยู่ชั่วครู่ “ดังนั้น เจ้าจึงคุ้นเคยกับมัน?” นางรีบพูดเสริม “ที่ข้าหมายถึงก็คือ หลังจากที่สังหารมาหลายครั้ง เจ้าก็ไม่รู้สึกลำบากใจอีกแล้ว?”
“พวกเรามาพูดเรื่องอื่นกันเถอะ” เมิ่งฮ่าวกล่าว เขารู้ว่านางอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวเหล่านั้นมาก แต่สำหรับบุรุษและสตรี มานั่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ พูดถึงแต่เรื่องสังหารผู้คน ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก
“โอ” นางกล่าว พยักหน้า มองไปที่เขา ความเย็นชาได้ปกปิดบุคลิกส่วนตัวที่แท้จริงของนางไป แต่ในตอนนี้ ทันใดนั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
“ข้าจะให้ท่านได้เห็นของบางอย่าง” เมิ่งฮ่าวตบไปที่ถุงแห่งจักรวาล และเม็ดยาคงโฉมก็ปรากฎขึ้นในฝ่ามือ พร้อมรอยยิ้ม เขายื่นส่งมันไปยังศิษย์พี่หญิงฉื่อ
เมื่อนางได้เห็นเม็ดยานั้น นางก็จ้องดูด้วยความตกใจ ดวงตาของนางจ้องนิ่งไปบนเม็ดยา ขณะที่นางค่อยๆ ยกมือขึ้นมา และหยิบมันไปจากเขา จากนั้น นางก็ปิดตาลง
ยากที่จะบอกได้ว่า นางกำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็ลืมตาขึ้น และมองมายังเมิ่งฮ่าวเป็นเวลานาน, นานมากๆ
นี่เป็นครั้งที่สาม ที่เมิ่งฮ่าวได้มอบเม็ดยาคงโฉมให้นาง
นางเก็บมันไว้อย่างเงียบๆ จากนั้น ก็พูดเสียงแผ่วเบา “ไม่กี่ปีมานี้ ข้าได้ข่าวว่าแคว้นจ้าว…หายไป”
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ จากนั้น ก็เริ่มอธิบายให้นางฟัง เกี่ยวกับปรมาจารย์เอกะเทวะ นางนั่งอยู่ที่นั่นภายใต้แสงจันทร์ รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อเขาบอกนางว่าจริงๆ แล้ว ปรมาจารย์เอกะเทวะเป็นเต่าที่โหดร้ายตัวใหญ่มหึมา ปากของนางก็อ้าขึ้น และความไม่อยากเชื่อก็ปกคลุมไปบนใบหน้า สำหรับเมิ่งฮ่าว นางช่างมีความงดงามเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูด
ในทางกลับกัน ฉื่อชิงก็มองเข้าไปในดวงตาของเขา เมื่อดวงตาของคนทั้งสองประสานกัน ทันใดนั้น นางก็หันหน้า และจ้องออกไปยังที่ห่างไกล จิตใจของนางเต้นรัว เกิดความรู้สึกแปลกๆ และตื่นเต้นขึ้น นางรู้สึกว่าความรู้สึกเช่นนี้นางไม่คุ้นเคย ซึ่งจริงๆ แล้ว นางก็รู้สึกชอบมันเล็กน้อย
“ข้าได้เห็นศิษย์พี่เฉินบ้าง…” ทันใดนั้นนางก็เอ่ยขึ้น ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดเรื่องอะไรดี “สถานที่นี้เป็นดินแดนสงบสุขโบราณ…โอ, ใช่แล้ว ทำไมพื้นฐานฝึกตนของเจ้าถึงได้อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ…?”
เมิ่งฮ่าวมองไปที่นาง รอยยิ้มอันอบอุ่นปรากฎขึ้นบนใบหน้า
“จ้าวซานเหอ คือใคร?” เขาถามเสียงแผ่วเบา
“มันเป็นศิษย์แกนหลักของสำนักชิงหลัว” นางตอบ ท่าทางรังเกียจปรากฎขึ้นในดวงตา “ตระกูลของมันมีรากฐานอันลึกล้ำอยู่ในสำนัก มันเป็นคนที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจมาก ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มันได้ใช้เม็ดยาพื้นฐานลมปราณ เป็นเหยือล่อบังคับให้ศิษย์สตรีมากมาย…”
“เม็ดยาพื้นฐานลมปราณ…” เขามองไปที่นางสักพัก เขาบอกได้ว่านางได้บรรลุวงจรระดับเก้าขั้นรวบรวมลมปราณอย่างสมบูรณ์ ด้วยเม็ดยาพื้นฐานลมปราณ นางก็สามารถนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง และบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณได้อย่างแน่นอน
“เม็ดยาชนิดนั้นมีค่าเป็นอย่างมาก” นางกล่าว ความกลุ้มใจปรากฎขึ้นบนใบหน้า “แม้แต่ศิษย์สายในก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะได้มันสักหนึ่งเม็ด มีแต่ต้องได้จากใครบางคนที่อยู่ระดับอาวุโสขึ้นไป หรือได้ทำงานพิเศษบางอย่างให้สำนัก หรือมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ใจ”
“หลังจากปรมาจารย์เจินนำข้ากลับมายังสำนักชิงหลัว นางก็ไม่สนใจข้าอีกเลย แต่บุคลิกของข้าไปตรงกับผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ ซึ่งเป็นรุ่นอาวุโส ดังนั้นนางจึงได้รับข้าเป็นศิษย์ นางสัญญาว่าจะให้เม็ดยาพื้นฐานลมปราณแก่ข้า แต่นางก็จากสำนักไปเมื่อหลายปีก่อน และไม่เคยกลับมาอีกเลย จากข่าวลือที่ได้ยินมา นางตายไปแล้ว…”
เมิ่งฮ่าวตบไปที่ถุงแห่งจักรวาล ทันใดนั้น เม็ดยาพื้นฐานลมปราณสามเม็ด ก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ เขายื่นส่งพวกมันไปให้นาง
“ข้ามีเม็ดยาพื้นฐานลมปราณบางส่วน” เขากล่าว
ฉื่อชิงจ้องไปที่เม็ดยาทั้งสามโดยไม่พูดจา นางตกใจ ไม่เคยคิดว่าเมิ่งฮ่าวจะมีเม็ดยาพื้นฐานลมปราณ ทั้งมีถึงสามเม็ด เม็ดยาพวกนี้อาจจะทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ถ้ามันปรากฎขึ้นภายในสำนักชิงหลัว
“นั่น…” ฉื่อชิงหายใจเข้าแรงขึ้น เมื่อนางเห็นสัญลักษณ์ที่ด้านข้างของเม็ดยา ดวงตาเบิกกว้าง “นั่นเป็นเม็ดยาที่ปรุงขึ้นโดยเจ้าโอสถจอมปีศาจ”
“ข้ามีเพียงสามเม็ด แต่ถ้ายังไม่พอ ข้าก็จะหามาให้ท่านเพิ่มอีก เมื่อพวกเราออกไปจากที่นี่” เขายิ้ม วางเม็ดยาลงไปบนมือของฉื่อชิง สำหรับคนอื่นๆ เม็ดยาพวกนี้ช่างมีค่าอย่างมหาศาล
“มันเพียงพอ, จริงๆ แล้ว หนึ่ง…หรือสองเม็ด ก็พอแล้ว” นางกำลังจะกล่าวมากกว่านั้น แต่เมิ่งฮ่าวก็จับมือนางให้กำเม็ดยาเหล่านั้นไว้
“ข้าไม่ต้องการเม็ดยาพวกนี้ ท่านเก็บมันไว้ ถ้าท่านต้องการ ข้าจะยืนเฝ้าคุ้มครองท่าน ขณะที่ท่านใช้มัน”
“ถึงแม้จะเตรียมการมาอย่างสมบูรณ์พร้อม ทั้งมีร่างกายที่ประณีต และอยู่ในระดับเก้าขั้นรวบรวมลมปราณมาถึงสิบสองปี ก็จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หลายเดือน สถานที่นี้ไม่เหมาะสม ข้าจะรอจนกว่ากลับไปยังสำนัก และเสาะหาสถานที่อันเหมาะสมเพื่อทะลวงผ่านมัน”
นางมองมาที่เขาด้วยสายตาอันลึกซึ้ง “เจ้าไม่อาจอยู่ที่นี่นานนัก เมิ่งฮ่าว เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก สำนักชิงหลัวรู้ถึงการคงอยู่ของสถานที่นี้มากนานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ ข้าคิดว่าในเร็วๆ นี้พวกมันเพิ่งจะได้แผนที่โบราณมา”
“ด้วยแผนที่นั้น พวกมันก็สามารถเปิดทางเข้าได้ เดิมที ที่นี่เป็นดินแดนสงบสุข แต่ผ่านไปหลายปีมันก็เปลี่ยนไป และตอนนี้มันก็กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวส่องประกาย ขณะที่เขาฟังนางอธิบาย
“ตามที่คาดไว้ มันมีบางอย่างที่เกี่ยวกับวิญญาณอันดุร้ายในสมัยโบราณ ข้าไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร และมีข่าวลือมากมายในสำนักเกี่ยวกับมัน ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่า เหตุผลที่พวกมันรวบรวมผู้ฝึกตนเร่ร่อนขั้นพื้นฐานลมปราณมามากมาย ไม่ใช่เพื่อค้นหาของวิเศษ แต่เพื่อใช้สร้างหอคอยร้อยวิญญาณ!”
“มันไม่ได้เป็นความลับมากนักสำหรับศิษย์สายใน และแม้แต่ศิษย์สายนอกบางคนก็ยังรู้เรื่องนี้ แต่พวกมันก็ไม่สนใจพวกผู้ฝึกตนเร่ร่อนเหล่านั้น จริงๆ แล้ว ก็มีผู้ฝึกตนเร่ร่อนบางคนที่รู้เรื่องนี้”
“หอคอยร้อยวิญญาณจริงๆ แล้ว ก็เป็นเรื่องที่อธิบายได้ง่ายดายยิ่ง โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการใช้วิชาเวทที่หลากหลาย รวบรวมหนึ่งร้อยเสาแห่งเต๋าเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นหอคอยร้อยวิญญาณ”
“จุดประสงค์ของการสร้างหอคอยนี้เป็นความลับสุดยอด ข้าคิดว่าแม้แต่ศิษย์สายในก็ไม่รู้เรื่องนี้ ท่ามกลางศิษย์แกนหลัก มีเพียงสองหรือสามคนที่รู้เพียงเล็กน้อย” นี่เป็นทุกเรื่องที่ฉื่อชิงรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดินแดนสงบสุขแห่งนี้
ทันใดนั้น เสียงกระหึ่มกึกก้องขนาดใหญ่ก็ได้ยินมาจากสถานที่บางแห่งไกลออกไป
เมื่อเสียงนั้นดังออกมา พื้นดินในดินแดนสงบสุขเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรงในทันที ในเวลาเดียวกันนั้น แรงดึงดูดอันลี้ลับก็ปรากฎออกมา ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย เขารู้สึกว่าเสาแห่งเต๋าภายในร่างกำลังสั่นสะท้าน ราวกับว่ามีบางสิ่งพยายามที่จะดึงพวกมันออกไป