Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 154

ตอนที่ 154

เส้นทางของแต่ละคน

เมิ่งฮ่าวไม่ตอบโต้ เขามองลงไปยังฉื่อชิง และส่งรอยยิ้มน้อยๆ ให้นาง เขาถอยไปด้านหลังพร้อมกับนาง ทำให้ชายชราที่อยู่ในขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ ส่งเสียงแค่นออกมา และจากนั้นก็บินตรงมายังเมิ่งฮ่าวราวกับพญาปักษา

มันมีความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ และแสดงถึงพลังขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นแปดส่วนกระจายออกมาในอากาศ เห็นได้ชัดว่ามันมีเสาแห่งเต๋าแปดต้นอยู่ภายในร่าง

ณ ตอนนี้ เมิ่งฮ่าวได้พุ่งไปถึงสองผู้ฝึกตนขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณ พวกมันหัวเราะ และหนึ่งในสองก็ขยับมือร่ายเวทอาคมอย่างรวดเร็ว มีดน้ำแข็งอาคมนับร้อยก็ปรากฎขึ้น และเริ่มหมุนวนไปมา ก่อตัวเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่ วังน้ำวนนั้นพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว มีดแต่ละเล่มเต็มไปด้วยพลังของพื้นฐานลมปราณขั้นกลาง

บุรุษอีกผู้หนึ่ง ตบไปที่ถุงสมบัติ เกิดเป็นตัวต่อสีดำห้าตัว มีขนาดใหญ่เท่าศีรษะคน พร้อมด้วยเหล็กไนสีแดง ส่งเสียงบินหึ่งๆ ออกมา

“เจ้าช่างไม่ประมาณตนนัก!” บุรุษที่สร้างมีดน้ำแข็งพูดขึ้น วังน้ำวนมีดน้ำแข็ง ส่งเสียงแหลมเล็กแหวกฝ่าอากาศตรงมายังเมิ่งฮ่าว เขาโอบฉื่อชิงไว้ด้วยแขนขวา โบกสะบัดมือซ้าย มังกรเปลวไฟขนาดใหญ่มหึมาก็ปรากฎขึ้น ตามไปด้วยมีดสายลม อย่างน่าตกใจ มังกรเปลวไฟไม่ได้มีสีแดงเพียงอย่างเดียว แต่สลับด้วยริ้วสีทอง! เนื่องจากคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ มังกรนี้จึงกลายเป็นมังกรทอง

มีดสายลมหลอมรวมเข้ากับมังกร ทำให้มันขยายความยาวเป็นหนึ่งร้อยจ้าง ยิ่งไปกว่านั้น มีรอยนูนปรากฎขึ้นบนด้านข้างซ้ายและขวาของมังกรเปลวไฟ ทันทีที่มีดสายลมแตะสัมผัสไปที่มังกร มีดสายลมก็ระเบิดออกมา กลายเป็นปีกขนาดใหญ่สองข้าง คลี่สยายปีกออกไป นี่คือมังกรปีกวารี

เมิ่งฮ่าวได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิชานี้ เมื่อคุนเผิงได้ปลุกทายาทมังกรปีกวารีในตัวเขาให้ตื่นขึ้น

สิ่งต่อมาที่ปรากฎขึ้นพร้อมกับมังกร ก็คือทะเลเปลวไฟ ซึ่งเกิดขึ้นจากพลังของเสาแห่งเต๋าที่สมบูรณ์ ผู้ฝึกตนขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณไม่มีทางที่จะต้านทานมันได้

ตูม!

วังน้ำวนมีดน้ำแข็งแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ ในทันที กลายเป็นหมอกควันที่ถูกดูดกลืนโดยทะเลเปลวไฟ มังกรปีกวารีที่เป็นเปลวเพลิงส่งเสียงดังกระหึ่ม สองผู้ฝึกตนขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณล่าถอยออกไป สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เพียงชั่วพริบตา มังกรปีกวารีก็พุ่งตรงไปและกลืนกินหนึ่งในพวกมันไปด้วยการกัดเพียงแค่ครั้งเดียว

เสียงแผดร้องอย่างน่าสังเวชใจดังออกมา ขณะที่ร่างของมันกลายเป็นเถ้าถ่าน

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นแค่ช่วงการจุดประกายไฟเพียงเท่านั้น ไม่ว่าชายชราขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ หรือบุรุษที่มีตัวต่อห้าตัว ต่างก็ไม่ทันจะมีปฏิกิริยาใดก่อนที่มันได้จบลงไป

ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เมิ่งฮ่าวหันตัวกลับมา และก้าวตรงไปยังห้าตัวต่อที่ส่งเสียงอย่างดุร้าย พวกมันพุ่งตรงมาที่เขา แต่ขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้ ร่างของพวกมัน ทันใดนั้น ก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่น่าตกใจ และไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้ พวกมันถอยกลับในทันที มีบางอย่างที่แม้แต่เจ้านายของพวกมันก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน

ในขณะที่ความตกใจปกคลุมใบหน้าของมัน ใบหน้าปีศาจที่กำลังหัวเราะและร้องไห้ก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของเมิ่งฮ่าว เห็นได้ชัดเจนหนึ่งข้าง และอีกข้างก็สลัวเลือนลาง ทันใดนั้นพวกมันก็ทำให้เมิ่งฮ่าวแผ่พุ่งรังสีที่แปลกประหลาดออกมา ห้าตัวต่อส่งเสียงร้องแหลมเล็กออกมา และร่างของพวกมันก็สั่นสะท้านมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าพวกมันกำลังจะสูญเสียความสามารถในการบินไป ทันใดนั้น พวกมันก็หันตัว และโจมตีกันเองอย่างดุร้าย

ขณะที่ภาพแปลกๆ นี่เกิดขึ้น เมิ่งฮ่าวก็ก้าวเท้าไปในท่ามกลางตัวต่อ ยกมือซ้ายขึ้น และกรีดนิ้วให้เป็นรอยแผล ที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต ทันใดนั้น พื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมดก็ปกคลุมไปด้วยคลื่นโลหิต เมื่อมันปรากฎขึ้น เมิ่งฮ่าวก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของบุรุษวัยกลางคน เขายกนิ้วชี้ด้านซ้ายขึ้นมา และกดลงไปที่หว่างคิ้วของบุรุษผู้นั้น

ร่างของมันสั่นสะท้าน และดวงตาก็เบิกโพลงขึ้น ร่างของมันเริ่มแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเมิ่งฮ่าวดึงนิ้วกลับ ทั่วทั้งร่างของมันก็กลายเป็นโลหิต ไหลลงไปบนพื้นดิน

เมิ่งฮ่าวหันร่าง และมองไปยังชายชราขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณที่มีสีหน้าตกใจ เพียงแค่หายใจเข้าออกไม่กี่ครั้งผ่านไปตั้งแต่เมิ่งฮ่าวลงมือ เขาก็ได้สังหารสองผู้แข็งแกร่งขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณไปเรียบร้อย

วิธีการของเขาช่างโหดร้าย, วิชาของเขาช่างแปลกประหลาด ความหนาวเย็น ทันใดนั้น ก็ปรากฎขึ้นในร่างของชายชรา กระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ มันเข้าใจแล้วว่า ทำไมเซี่ยเจี๋ยแห่งสำนักชิงหลัวถึงได้จับตาดูเมิ่งฮ่าว ในวันที่อยู่บนหลัวผาน และยังได้พยายามที่จะล่อให้เขาทำบางอย่างเพื่อเปิดเผยความสามารถออกมา เห็นได้ชัดว่า เซี่ยเจี๋ยรู้เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับเมิ่งฮ่าว

“ยังต้องการต่อสู้หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวถามเสียงเยือกเย็น นิ้วชี้ของเขายังคงเปล่งประกายของแสงโลหิตออกมา ส่องไปทั่วร่างของเขา

ชายชราไม่ตอบคำ เมื่อพิจารณาถึงพื้นฐานฝึกตนของมัน มันก็สามารถสังหารสองผู้ฝึกตนขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน แต่มันไม่สามารถกระทำได้อย่างสบายเช่นนั้น ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในจิตใจของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเห็นท่าทางสงบนิ่งไร้ความหวาดกลัวของเมิ่งฮ่าว มันรีบประสานมือคารวะ เคลื่อนที่ไปด้านหลังหลายก้าว เพื่อเปิดทางให้เมิ่งฮ่าวผ่านไป

“ข้านามว่า ฉือโหย่วเต้า สำหรับเรื่องราวในวันนี้ ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าเชื่อว่าพวกเราคงจะได้เจอกันอีกในไม่ช้า” มันพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง

เมิ่งฮ่าวขบคิดสักพักจากนั้นก็พยักหน้า แสงสีโลหิตเริ่มจางหายไป ขณะที่เขาพุ่งออกไปในที่ห่างไกล ในวงแขนของเขา ฉื่อชิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก กับพลังการต่อสู้ของพื้นฐานฝึกตนของเขา

นางลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะโพล่งขึ้นมา “เจ้า…เจ้ามีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ระดับไหนกันแน่?”

“ข้าอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับต้นพื้นฐานลมปราณ” เขากล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ตอนนี้เขาช่างแตกต่างเป็นอย่างมากกับเมิ่งฮ่าวคนเดิม เขาได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เนื่องจากประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในแง่ที่เขาได้จัดการกับศัตรู แต่จิตใจที่เขามีต่อสหายก็ยังคงเป็นนักศึกษาคนเดิมเหมือนเช่นเคย และไม่มีการเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

ในความเป็นจริง การสังหารอย่างโหดร้ายของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับพิษภายในร่างของเขา บางคนที่โดนพิษจากดอกปี่อ้านสามสี ก็จะกลายเป็นผู้ที่มีความอำมหิตโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงวันที่กลายร่างเป็นดอกปี่อ้านสามสีอย่างแท้จริง

“เจ้าสังหารคนที่อยู่ในขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณได้อย่างไร…?” ฉื่อชิงถาม คิ้วของนางขมวดขึ้น

“โอ, มีเหตุผลมากมาย” เขากล่าวอย่างง่ายๆ “ถึงข้าจะอยู่ในขั้นต้นของพื้นฐานลมปราณ แต่ข้าก็สามารถต่อสู้กับขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณได้”

เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงภูเขาลูกนั้น จากจุดสูงสุดของยอดเขา เมิ่งฮ่าวมองเห็นกลุ่มคนมากมายอยู่ในบริเวณนั้น และเห็นหอคอยสีดำขนาดใหญ่ซึ่งกำลังถูกสร้างขึ้นมา

เขาสามารถบอกได้ว่ามีศิษย์สำนักชิงหลัวเกือบหนึ่งพันคน นั่งขัดสมาธิอยู่รอบๆ หอคอยสูงนั้น ตามด้วยเสียงสวดมนต์จากคัมภีร์ดังก้องออกมา แต่เขาก็ไม่สามารถรู้ถึงรายละเอียดของเสียงสวดมนต์นั้น

“ข้าไม่อาจเข้าไปใกล้กว่านี้” เขากล่าว สายตาเขาเลื่อนจากยอดเขานั้นลงมาที่ฉื่อชิง “น่าจะไม่มีผู้ฝึกตนเร่ร่อนอยู่พื้นที่บริเวณนี้ ท่านน่าจะเดินทางต่อไปได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ รับนี่ไปด้วย มันเป็นยันต์ล่องหน ท่านสามารถใช้มันได้ หลังจากที่บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ” เขายื่นยันต์ล่องหนส่งไปให้นาง

นางรับมันไว้ นางยังคงมีเสื้อยาวของเมิ่งฮ่าวคลุมอยู่บนร่าง มันค่อนข้างตัวใหญ่ แต่นางก็ยังคงมีความงดงาม นางมองไปที่เมิ่งฮ่าว และกำลังจะอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่นางก็โน้มตัวไปข้างหน้า และกอดเขาไว้อย่างแผ่วเบาแทน ศีรษะของนางซบลงไปที่หน้าอกของเขา และนางก็ได้ยินเสียงหัวใจของเขากำลังเต้นอยู่

นี่ไม่ใช่การโอบกอดด้วยกิเลสตัณหาของหนุ่มสาว แต่เป็นการโอบกอดของพี่สาวที่มีต่อน้องชาย, ผู้เป็นครอบครัวเดียวกัน

ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างขึ้น และความมืดมิดก็ค่อยๆ จางหายไป เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังเส้นผมที่นุ่มสลวยสวยเป็นเงางามของฉื่อชิง ดูเหมือนเส้นผมของนางจะรู้ว่าเขากำลังมองดูอยู่ หรือบางทีก็เป็นเพราะสายลม มันลอยขึ้นมาลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเขาอย่างนุ่มนวล

เวลานานผ่านไป และจากนั้นฉื่อชิงก็ก้าวถอยไปด้านหลัง และมองเขาด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

“เจ้าต้องระวังตัวให้มากไว้” นางกล่าว “ออกไปจากสถานที่นี้ในทันทีที่ไปได้” จากนั้นนางก็หันหลัง ก้าวขึ้นไปบนกระบี่บิน และพุ่งไปยังภูเขา นางเหินขึ้นและร่อนลงไม่กี่ครั้ง ในที่สุด ก็เข้าไปในป่าเล็กๆ ตรงเชิงเขา เมื่อนางโผล่ออกมาจากอีกด้านของราวป่า ชุดยาวของเมิ่งฮ่าวก็หายไป และนางก็สวมใส่ชุดยาวตัวใหม่ของสำนักชิงหลัว

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นตลอดเวลา มองดูนางหายลับตาไปยังที่ห่างไกล ความรู้สึกถึงการจากลาเต็มอยู่ในจิตใจ และผ่านไปสักพัก เขาก็รู้สึกเหมือนกำลังกลับไปยังสำนักเอกะเทวะ ตอนที่กำลังถูกสลายสำนัก

ตอนนี้ เขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ ที่มีพื้นฐานสมบูรณ์ เขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป แต่เป็นบุรุษหนุ่ม ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ช่วยให้เขาเข้าใจว่า ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี ทุกคนต่างก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง

เส้นทางของเขาอาจจะต้องเดินไปด้วยตัวเองเพียงคนเดียว บางทีเส้นทางของเขาอาจจะไปทับกับเส้นทางของคนอื่น และนั่นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ในตอนนี้ เขาจำเป็นต้องเดินทางเพียงคนเดียว จนกว่า…เขาจะมีพลังที่แข็งแกร่งอย่างเพียงพอที่จะสร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมา เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออีกทางเลือกก็คือมีชีวิตอยู่แต่เต็มไปด้วยการทอดถอนใจ

เขามองฉื่อชิงจนกระทั่งนางไปถึงจุดนัดพบของสำนักชิงหลัว ความมุ่งมั่นเติมเต็มอยู่ในดวงตา เขาเงยหน้าขึ้น มองขึ้นไปในท้องฟ้า ที่นั่น ดวงตะวันที่ลอยขึ้นมา และดวงจันทร์ที่กำลังตกลงไปเกือบจะซ้อนทับกัน

ดวงตาของเมิ่งฮ่าวเริ่มส่องประกาย

“เมื่อข้าได้มาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องไปตรวจสอบให้แน่ชัด ถ้าต้นแบบแห่งกาลเวลาเป็นเรื่องจริง ข้าก็จะใช้กระจกทองแดงและต้นชุนชิว เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่าของวิเศษแห่งกาลเวลา! และสำหรับใบไม้สายฟ้า หลู่เทาก็อยู่ในที่นี้ด้วยเช่นกัน ข้าอาจจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม” เขาหันหลังและพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ใช้ตำแหน่งของดวงตะวันและจันทราเพื่อนำทางไป

เขามุ่งหน้าไปสักพัก ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังก้องอยู่ในอากาศ และแรงดึงดูดก็เริ่มปรากฎขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ เมิ่งฮ่าวมองเห็นด้วยตาตัวเองว่า ผู้ฝึกตนขั้นต้นของพื้นฐานลมปราณ ที่ไม่สามารถต่อต้านมัน ร่างของคนผู้นั้นระเบิดออก และเสาแห่งเต๋าที่ไร้ตัวตนก็ลอยออกมาจากร่างที่เหลืออยู่นั้น

“แรงดึงดูดนี้เริ่มรุนแรงมากขึ้น ข้าเกรงว่าในที่สุด ข้าก็ไม่อาจต้านทานมันได้” เขาขมวดคิ้ว พยายามสะกดข่มแรงสั่นสะเทือนของเสาแห่งเต๋า และบินตรงไปด้วยความรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในที่สุด ดวงตะวันและจันทราก็ไม่ได้ซ้อนทับกันอีกต่อไป แต่ตอนนี้เมิ่งฮ่าวก็รู้แล้วว่าต้องไปทิศทางใด เขาตระหนักเป็นอย่างดีว่าเขากำลังเข้าไปใกล้จุดหมายปลายทางมากขึ้นเรื่อยๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!