ตอนที่ 16 ส่งมา!
สีหน้าของผู้ฝึกตนที่มุงดูอยู่รอบๆ เริ่มซีดขาว การโจมตีของเมิ่งฮ่าวที่ว่องไวทรงพลัง ความเด็ดขาดและเหี้ยมโหดภายในนั้น แม้ตัวเมิ่งฮ่าวเองก็ไม่สังเกตเห็น บัดนี้เริ่มเผยตัวตน
ในสายตาของผู้ที่มุงดูเหตุการณ์ ได้ยกให้เมิ่งฮ่าวกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งบนที่ราบสูงแห่งนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ทั่วทั้งบรรดาศิษย์สายนอก ก็ย่อมมีคนที่ยกเว้นบ้าง
ผู้ฝึกตนหลายคนได้คิดย้อนกลับไปในครึ่งเดือนที่ผ่านมา เสมือนรู้จักเมิ่งฮ่าวมากขึ้นเล็กน้อย ด้วยพลังการฝึกตนที่ค่อนข้างสูง เมิ่งฮ่าวกลับยังไม่ใช้กำลังแย่งชิง ถึงแม้การตั้งร้านค้าจะชวนให้ผู้คนหงุดหงิดใจ แต่เขาก็ปฏิบัติต่อพวกมันอย่างอ่อนโยน คนส่วนใหญ่เริ่มมองไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความเคารพยำเกรง
ไม่มีการต่อสู้แย่งชิงกันบนเนินที่ราบสูงในวันนั้น หลังจากที่เมิ่งฮ่าวกลับไป ข่าวที่พลังลมปราณของลู่หงถูกทำลายก็แพร่กระจายออกไปราวกับสายลม โดยเฉพาะเมื่อมันได้อ้างชื่อของหวังเถิงเฟย ทำให้เรื่องนี้ยิ่งถูกพูดคุยถึงมากเป็นพิเศษ และยิ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงยามราตรี ทุกคนในเขตศิษย์สายนอกก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็รู้จักเมิ่งฮ่าว
ณ ยอดเขาตะวันออก ซึ่งปกคลุมด้วยกลุ่มควันของก้อนเมฆหลากสี มันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของสำนักเอกะเทวะ และเป็นสถานที่ของศิษย์สายใน ยอดเขาลูกนี้มีพลังลมปราณกระจายไปทั่วมากกว่ายอดเขาลูกใดๆ ของสำนัก และเป็นสถานที่ที่เจ้าสำนัก เหอลั่วฮว่า มักจะไปนั่งเข้าฌาณโดยลำพัง
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ยังรุ่งเรืองของสำนักเอกะเทวะ ยอดเขาทั้งสี่มักจะเต็มไปด้วยศิษย์สายใน ที่มีระดับขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณขึ้นไป แต่ตอนนี้ มีเพียงศิษย์หญิงสวี่และเฉิน เท่านั้นที่อยู่บนยอดเขาตะวันออก ขณะที่ยอดเขาอื่นๆ ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า
ตรงเชิงภูเขาตะวันออก มีถ้ำแห่งเซียนที่กว้างใหญ่กว่าของเมิ่งฮ่าว แท้จริงแล้วมันเป็นถ้ำแห่งเซียนที่ดีที่สุดในเขตสำนักเอกะเทวะสายนอก เทียบเท่าที่อยู่อาศัยของศิษย์สำนักสายใน
ด้านในถ้ำมีน้ำพุลมปราณเช่นกัน แต่ไม่แห้งขอด ทว่ามีพลังลมปราณอันหนาแน่น เข้มข้น
และท่ามกลางศิษย์ทั้งหมดของสำนักเอกะเทวะสายนอก มีเพียงคนเดียวที่คู่ควรกับการครอบครองสถานที่เช่นนี้ ก็คือ หวังเถิงเฟย ผู้ที่ฟ้าคัดสรรนั่นเอง
มันนั่งขัดสมาธิในชุดยาวสีขาว อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของมัน สีหน้าเรียบสงบ มองไปยังลู่หงที่นั่งคุกเข่าเบื้องหน้ามัน สีหน้าลู่หงซีดขาวและร่างกายสั่นเทิ้ม พลังลมปราณของมันถูกทำลายโดยเมิ่งฮ่าวไปจนหมดสิ้น
“…ข้าวิงวอนต่อศิษย์พี่หวังให้ช่วยผดุงความยุติธรรมให้ข้าด้วย” มันพูดผ่อนลมหายใจ “มันเจ้าเล่ห์มากกว่าที่ท่านคิดไว้ ไม่ได้หนีไปในตอนกลางวัน”
ทุกครั้งที่ลู่หงมองไปที่ศิษย์พี่หวัง ก็รู้สึกว่าช่างเป็นบุคคลที่สมบูรณ์พร้อมไร้ที่ติ ความรู้สึกนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในขณะที่พลังฝึกตนของหวังเถิงเฟยยิ่งมาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“ถ้ามันหนีไป” หวังเถิงเฟยกล่าวด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “มันจะเป็นการละเมิดกฎของสำนัก ข้าจะส่งใครไปสังหารมันก็ได้” มันยิ้มด้วยสีหน้าที่น่าดู เป็นมิตร และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ที่ทำให้มันดูสูงส่ง
ลู่หงไร้คำพูดที่จะกล่าว มันโขกศีรษะ สีหน้าเต็มไปด้วยการวิงวอน ร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
“เอาเถิด” หวังเถิงเฟยกล่าว “บุคคลผู้นี้ลงมือเหี้ยมโหด สมควรต้องสั่งสอนตักเตือน ต้องรบกวนศิษย์พี่ซ่างกวนเดินทางสักเที่ยว แต่เห็นแก่ศิษย์พี่หญิงสวี่ อย่าได้ทรมานมันนัก สั่งให้เมิ่งฮ่าวทำลายพลังลมปราณของตนเอง คืนหยกวิเศษมา ตัดแขนและขาอย่างละข้าง เพื่อแทนคำขอโทษต่อเจ้า ลู่หง เพียงพอหรือไม่?”
มันพูดด้วยเสียงอ่อนโยน ราวกับว่าเรื่องทุกเรื่องในสำนักเอกะเทวะ ต้องเป็นไปตามคำพูดคำเดียวของมัน ไม่ว่าจะพลังลมปราณของเมิ่งฮ่าวก็ดี แขนและขาของเมิ่งฮ่าวก็ดี เพียงแค่มันเอ่ยปาก ก็จะไม่เป็นของเมิ่งฮ่าวอีกแล้ว มันยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเคย สมบูรณ์ไร้ที่ติ
“ข้าน้อยขอขอบคุณเป็นอย่างมาก เจ้าผู้นั้น…จิตใจชั่วร้ายสารเลว…” ลู่หงกัดฟัน ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ถ้างั้นก็จะขับไล่มันออกจากสำนัก” หวังเถิงเฟยกล่าวเสียงเรียบเฉย ราวกับว่ามันกำลังพูดคุยเรื่องไร้สาระทั่วไปอยู่ “ปล่อยมันเข้าป่า แตกดับไปเองตามธรรมชาติ”
ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิ อยู่ในถ้ำแห่งเซียนที่ภูเขาทิศใต้ มองดูขวดน้ำเต้าหยกในมือด้วยสีหน้าหมองคล้ำ การก้าวข้ามไปถึงขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณ แล้วไปต่อสู้ เขาได้ใช้พลังลมปราณไปจนเกือบหมด แต่ในที่สุดก็ได้น้ำเต้าวิเศษมาชดเชย
ดูเหมือนว่าทุกอย่างช่างง่ายดายไปหมด ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาสู่สำนักเอกะเทวะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นเพราะความฉลาดและการมองการณ์ไกลของเขาเอง ถ้าเป็นบุคคลอื่น ก็คงตกอยู่ในอันตรายตั้งแต่วันแรกของวันแจกจ่ายเม็ดยาแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็ได้รับการปกป้องจากพลังลึกลับของกระจกทองแดง จากการที่จ้าวอู่กังจะมาแย่งชิงทรัพย์สมบัติของเขาหน้าถ้ำแห่งเซียน ถ้าจ้าวอู่กังไม่ตาย อนาคตของเมิ่งฮ่าวคงมืดมัว และสูญเสียสิ่งของทุกอย่างไป นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สังหารคน
ถ้าเขาไม่ได้เปิดร้านขายเม็ดยา เขาก็คงไม่ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เบื้องหลังสายลมแห่งความสำเร็จ ซุกซ่อนความยากลำบากที่มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้
แต่บัดนี้ ประดุจพายุร้ายกำลังจะพัดกระหน่ำ เมิ่งฮ่าวมองลงไปอย่างเงียบเชียบที่ขวดน้ำเต้าหยก คิดไปถึงศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง ผู้ที่ฟ้าประทาน หวังเถิงเฟย คิดถึงความสมบูรณ์เพียบพร้อมของมัน เมิ่งฮ่าวรู้สึกเหมือนกับมีแรงกดดันของภูเขาทั้งลูกได้กดทับลงมาที่เขา จนเกือบจะไม่สามารถหายใจได้
เมื่อกลางวัน เขามีความคิดจะหนีออกจากสำนัก แต่ก็รู้ว่า เขาไม่ใช่ข้ารับใช้ แต่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์สายนอกแล้ว การหลบหนีถือเป็นการละเมิดกฎอย่างร้ายแรง นั่นเป็นการทำให้ผู้อาวุโสของสำนักไล่ล่าติดตาม และเขาต้องตายอย่างแน่นอน
“ถ้าข้ารู้แต่เนิ่นๆ ว่า ลู่หง มีหวังเถิงเฟย อยู่เบื้องหลัง…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ หลังจากนั้นสักพัก ความมุ่งมั่นอันแน่วแน่สาดประกายอยู่ในแววตา
“ยังไงข้าก็จะทำเหมือนเดิม ถ้าข้าไม่โจมตีมัน มันก็จะสังหารข้า ข้าไม่ได้บังคับมัน มันต่างหากที่บังคับข้า ยังไงก็ได้สร้างความแค้นต่อกันไว้แล้ว นอกเสียจากว่าข้าจะปล่อยให้เฉาหยางปล้นทรัพย์สินของข้าไป ไม่อย่างนั้น ผลทุกอย่างก็คงต้องออกมาเป็นเช่นเดิม หรือต่อให้ฆ่ามัน สุดท้ายข้าก็ไม่สามารถหยุดความอิจฉาของคน เพราะกิจการการค้าอันรุ่งเรืองมิได้ และผลลัพธ์ก็ต้องออกมาเช่นเดิม” สายตาของเขาเปล่งประกาย มองภายในถ้ำเงียบๆ มีประกายซึมหมอง
“แย่นักที่ศิษย์พี่หญิงสวี่กำลังปลีกวิเวกนั่งเข้าฌาณอยู่…” เมิ่งฮ่าวเงียบขรึม สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากทำลายพลังลมปราณของลู่หงก็คือตามหานาง แต่ก็ได้รับแจ้งจากศิษย์สายใน ว่านางกำลังนั่งเข้าฌาณ ไม่สะดวกแก่การรบกวน
“ขวดน้ำเต้าหยกนี้…” มันมีพลังอย่างเหลือเชื่อ เมื่อได้ทดสอบด้วยพลังลมปราณของเขา มันระเบิดพลังเวทออกมาจนทำให้หัวใจเขาเต้นรัว มันคิดว่า บางทีมันอาจเขย่าระดับห้าของการรวบรวมลมปราณ แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ขวดน้ำเต้าหยกนี้ไม่สามารถใส่ลงในถุงเก็บสมบัติได้ มีแต่แขวนไว้บนร่างกายเท่านั้น น่าเศร้าใจนัก เขาไม่มีหินลมปราณเหลืออยู่เลย เขาใช้มันทั้งหมดไปกับการก้าวข้ามระดับสามของการรวบรวมลมปราณ มิฉะนั้นเขาอาจะลองใช้กระจกทองแดง สร้างขวดน้ำเต้าหยกขึ้นมาอีกใบ
“สำนักนี้ไม่ใช่โลกมนุษย์ปุถุชน มันง่ายมากที่จะเสียชีวิตอยู่ที่นี่ ถ้าข้าสามารถป้องกันหายนะครั้งนี้ โดยการส่งมอบขวดน้ำเต้าหยกนี้ออกไป ข้าก็ควรทำ…” เขาไม่อยากที่จะทำแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางเลือก ในขณะที่กำลังหมกมุ่นกับความคิดนี้ เสียงอันน่ากลัวก็ลอยผ่านประตูหินของถ้ำแห่งเซียนเข้ามาในยามราตรีที่มืดมิด
“ข้าคือซ่างกวนซ่ง นำบัญชาของศิษย์พี่หวังมาที่นี่ เมิ่งฮ่าว เจ้าจงออกมาจากถ้ำแห่งเซียน และคุกเข่าคารวะ”
เสียงนั้นเย็นเยียบ ทำให้ทั่วทั้งถ้ำหนาวยะเยือกในพริบตา เมิ่งฮ่าวสองตาสาดประกาย เงยหน้าขึ้น สีหน้าไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เขาคิดไว้อยู่แล้วว่า ต้องมีใครสักคนมาตามหาเขา
เมิ่งฮ่าวเงียบไปชัวครู่ จากนั้นก็พูดขึ้นช้าๆ “คืนนี้ดึกมากแล้ว ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ศิษย์พี่ ถ้ามีสิ่งใดที่ต้องการกล่าว ก็กล่าวออกมาเถอะ”
“ช่างหยิ่งยโสนัก” เสียงนั้นเอ่ยขึ้น เห็นได้ชัดเจนว่าไม่พอใจ พ่นลมออกจากจมูกด้วยความเย็นชา
เมิ่งฮ่าวไม่พูดจา ยังคงอยู่ในความเงียบ
“ถ้าเจ้าไม่เปิดประตู ก็ดี ข้าจะแจ้งคำสั่งของศิษย์พี่หวังให้ฟัง เมิ่งฮ่าว เจ้าเป็นศิษย์สำนักสายนอก ไม่ทุ่มเทใส่ใจที่จะฝึกฝนตัวเอง สร้างความวุ่นวายในเขตส่วนรวมระดับต่ำ สหายร่วมสำนักรุมตำหนิติเตียน อีกทั้งอุปนิสัยอันอันเลวทรามต่ำช้า เหี้ยมโหดทารุณ อย่างไรก็ตาม เห็นแก่ที่อายุยังน้อย จึงไม่พิจารณาลงโทษให้ถึงแก่ความตาย ให้ส่งมอบหยกสมบัติ ทำลายพลังลมปราณของตัวเอง ตัดแขนและขาออกอย่างละข้าง ขับออกจากสำนัก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเอกะเทวะอีกต่อไป”
เมื่อเสียงอันน่ากลัวนั่นกระทบโสตประสาทของเมิ่งฮ่าว โดยเฉพาะถ้อยคำในครึ่งหลัง สีหน้าของเขาก็หม่นคล้ำ จากนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดตอนท้าย ประกายตาก็โกรธแค้น
“บัญชาของศิษย์พี่หวัง เปรียบได้กับกฎของสำนักหรือ” เมิ่งฮ่าวอดกลั้นโทสะ พูดเสียงหนักแน่น
“บัญชาของศิษย์พี่หวัง ก็คือกฎของสำนัก” คนด้านนอกพูดต่อ โดยไม่แยแสความคิดของเมิ่งฮ่าว “พรุ่งนี้จะเป็นวันแจกจ่ายเม็ดยา เจ้าต้องไปคุกเข่าเอ่ยคำขอโทษ และโขกศีรษะให้กับลู่หง จากนั้นก็รอรับการลงโทษ” จากนั้นมันก็สะบัดชายเสื้อหันกลังกลับและจากไป
เมิ่งฮ่าวนั่งคิดใคร่ครวญอยู่ในความเงียบ เวลาผ่านไป และรุ่งอรุณมาเยือน สายตาเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาไม่รู้ว่าต้องทำประการใดดี อีกฝ่ายไม่เพียงต้องการขวดน้ำเต้าหยกคืน และต้องการเห็นเขาตาย โดยปราศจากความปรานี เขาต้องทำลายพลังลมปราณ ตัดแขนตัดขา และถูกขับไล่ออกจากสำนัก ให้ไปอยู่ในภูเขารกร้าง อย่างไร้ทางรอด
“ข้าควรทำอย่างไรดี…” เมิ่งฮ่าวกำหมัดแน่น สองตาแดงก่ำ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอ่อนแอและหมดหนทาง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหวังว่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ ถ้ามีความแข็งแกร่งมากขึ้น เขาก็คงไม่ถูกข่มเหงแบบนี้ เขาครุ่นคิดเนิ่นนาน
“อย่าบอกนะว่า ทางเลือกเดียวของข้าก็คือการหลบหนี…” สายตาเขาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เขายืนขึ้น เดินออกไปจากถ้ำแห่งเซียน แต่เมื่อเขาเดินออกไป ก็ต้องหยุดเดินด้วยความลังเล
“ไม่, นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง…” เขาก้มหน้าคิดสักพัก จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในถ้ำนั่งขัดสมาธิ
ตอนเช้าเมิ่งฮ่าวลืมตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดขึ้นมา เขาไม่ได้นั่งกำหนดลมหายใจฝึกโคจรลมปราณ แต่ใช้เวลาทั้งคืนในการครุ่นคิดใคร่ครวญ แต่พลังการฝึกตนของเขาต่ำเกินไป เขาคิดหาวิธีอื่นไม่ออก นอกจากการหลบหนีออกจากสำนัก แต่ก็แน่นอนที่ศัตรูของเขาก็คงคิดว่าเขาต้องทำแบบนั้น การหลบหนีมีค่าเท่ากับตาย ซ้ำร้ายเมื่อตายแล้ว ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศต่อสำนัก
เสียงระฆังดังมาจากที่ห่างไกล วันแจกจ่ายเม็ดยามาถึงแล้ว เมิ่งฮ่าวรู้ดีว่า ถึงเขาจะหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งเซียน มหันตภัยครั้งนี้ก็ยังคงจะเกิดขึ้นอยู่ดี
“ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าพลังการฝึกตนของข้าต่ำเกินไป ชายชาตรีที่แท้จริง เมื่อไม่ควรทนก็จงอย่าทน!” ถอนหายใจแผ่วเบา เขาถูกบีบไปจนสุดทาง โดยไม่เหลือพื้นที่ให้ถอยหนีอีก ขณะนี้เขากลับสงบจิตใจลง จากนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มองไปรอบๆ ถ้ำแห่งเซียน เปิดประตูศิลาออกเงียบๆ มองออกไปยังท้องฟ้า และแนวป่าที่เหมือนทะเลสีมรกต
เวลาผ่านไป เขาก้าวเดินออกไปข้างหน้า แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็สังเกตเห็นคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากแนวป่าด้านหลัง จ้องมาที่เขาด้วยความเย็นชา
“เจ้าไม่ได้หนีไป นับว่ายังไม่โง่เขลานัก” เมิ่งฮ่าวจำเสียงของคนผู้นี้ได้ มันคือซ่างกวนซ่ง ยังไม่จากไป แต่รอคอยอยู่รอบๆ นี้
เมิ่งฮ่าวเคยเห็นมันมาก่อนหน้านี้ มันเป็นหนึ่งในศิษย์ที่เดินมาพร้อมกับหวังเถิงเฟยในวันนั้นที่ภูเขาทิศตะวันออก ท่านปู่ของมันเป็นหนึ่งในศิษย์ผู้อาวุโสของสำนัก มันเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งคืน เพื่อรอให้เมิ่งฮ่าวหนีไป ถ้าเมิ่งฮ่าวหนีไป จะถูกตราหน้าว่าเป็นศิษย์ผู้ทรยศ และหมดสิ้นทางรอด
เมิ่งฮ่าวหันหลังกลับ และเดินตรงไปที่เขตสำนักสายนอก
ซ่างกวนซ่งหัวเราะเสียงเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย ในความเป็นจริง มันได้จากไปเมื่อยามราตรี ทั้งยังได้ไปพบปู่ของมัน ซ่างกวนซิว หากเมิ่งฮ่าวเลือกที่จะหลบหนีไปในยามราตรี เขาก็จะตกเข้าไปในกับดัก และประสบกับความตายอันน่ากลัว
ซ่างกวนซ่งเดินตามเมิ่งฮ่าวไปตลอดเส้นทาง เมื่อพวกเขาเดินไปถึงเขตสำนักสายนอก ศิษย์คนอื่นๆ มองมา คนแล้วคนเล่า แต่ละคนแสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป ดูเหมือนว่าทุกคนได้คิดถึงเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะรู้สึกสงสารเห็นใจเมิ่งฮ่าว ทุกคนแสดงสีหน้าเยาะเย้ยมาที่เขา
ในไม่ช้า เขาก็มาถึงพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสของสำนักสายนอก เสาที่สลักรูปมังกรส่องแสงสว่าง ศิษย์สายนอกยืนอยู่เต็มรอบบริเวณนั้น ที่ห่างไกลออกไป เมิ่งฮ่าวเห็นหวังเถิงเฟยในชุดสีขาว ล้อมรอบไปด้วยกลุ่มศิษย์สายนอก
มันยืนอยู่ตรงนั้น แสงแดดส่องไปกระทบชุดยาวสีขาวของมัน ทำให้ส่องประกายคล้ายหิมะ เส้นผมที่ยาวของมันสยายไปบนไหล่ มองดูงามสง่าไร้ที่ติ เหมือนกับภาพวาดของเทพเซียน กิริยาท่าทางของมัน ทำให้ผู้คนสนใจที่จะรู้จักมัน มองดูเหมือนผู้ที่ถูกเลือกอย่างแท้จริง
มันพูดคุยอย่างอ่อนโยนกับศิษย์รอบๆ ตัวมัน แสดงท่าทีเป็นมิตรกับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงพื้นฐานพลังการฝึกตนของแต่ละคน บางครั้งมันก็พยักหน้า บอกเคล็ดลับเกี่ยวกับการฝึกตน ทำให้ทุกคนปฏิบัติต่อมันด้วยความนับถือเป็นอย่างยิ่ง
ศิษย์หญิงสาวทั้งหมด ก็ดูเหมือนว่าจะหลงไหลในตัวมัน พวกนางดูเหมือนต้องการที่จะไปยืนเคียงข้างมัน ราวกับว่าทุกกิริยาท่าทางของมันทำให้พวกนางเคลิบเคลิ้ม
แม้แต่ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่บนแท่นเวทีสูง ก็มองลงมาที่มันด้วยความรักและชื่นชมยอมรับ
ไม่ว่าหวังเถิงเฟยจะไปที่ไหน มันก็จะกลายเป็นศูนย์กลางของจุดสนใจ มันดูดี สุภาพเรียบร้อย สมบูรณ์พร้อมไร้ที่ติ หลอมรวมเข้าด้วยกันเปล่งประกายเจิดจ้า จนเกือบจะเผาไหม้ดวงตาเมิ่งฮ่าว เขากำมือเป็นหมัดจนแน่น
เมื่อศิษย์สายนอกมาถึงทั้งหมด หวังเถิงเฟยไม่เคยเหลือบมองมาที่เมิ่งฮ่าวแม้แต่ครั้งเดียว มันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวมองดูมันอยู่ แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับหวังเถิงเฟย เหมือนกับมดที่จ้องมองคชสาร คชสารย่อมไม่ต้องก้มลงมองกลับ
เมื่อการแจกจ่ายเม็ดยาเสร็จสิ้น และเสาลวดลายมังกรเริ่มมืดลง เสียงสุภาพของหวังเถิงเฟยก็ดังไปทั่วในอากาศ
“ส่งมา!”
มันเป็นคำพูดธรรมดา แต่เมื่อดังออกมา ทุกคนรอบข้างก็ตะลึง สังเกตเห็นว่า สายตาของหวังเถิงเฟย ค่อยๆ จับลงบนตัวเมิ่งฮ่าว ที่อยู่ท่ามกลางฝูงคน