ตอนที่ 169
อา…สวรรค์, เจ้าไม่รู้จริงๆ ?
ในเวลาเดียวกันนั้น, ที่ด้านนอกของหมู่บ้านตระกูลเซี่ยว ฉือลั่วตีบินไปด้วยใบหน้าที่ดุร้าย ห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มคนในตระกูล มันชำเลืองมาที่ด้านหลัง ดวงตาของมันเต็มไปด้วยโทสะอันน่ากลัว
“เซี่ยวฉางเอิน ถ้าเจ้าขอความช่วยเหลือจากคนภายนอกได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน! ผู้ฝึกตนพ่อมดอันต่ำต้อย ถ้าเพียงแค่เจ้าไม่มีสมุนวิญญาณ ข้าก็จะสามารถสังหารเจ้าได้อย่างง่ายดาย ด้วยผู้ฝึกตนชนิดนั้น สิ่งหลักที่ต้องกังวลก็คือสมุนวิญญาณเท่านั้น ถ้ากำจัดมันไปได้ ข้าจะตัดศีรษะเจ้าในทันที!” มันแค่นเสียงอันเย็นชาออกมา จากนั้นก็มองไปยังคนในตระกูลที่ติดตามมา “พวกเจ้ามุ่งหน้ากลับไปก่อน เรื่องนี้มันยังไม่จบ!”
คนตระกูลฉือแยกย้ายกันไป ฉือลั่วตีโบกสะบัดแขนเสื้อ กลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งตรงไปยังที่ห่างไกล
“ข้าต้องไปขอความช่วยเหลือจากท่านซ่างหลัว ซึ่งอยู่ในขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ ที่มีเสาแห่งเต๋าเจ็ดต้น ท่านต้องจัดการผู้ฝึกตนพ่อมดนั้นได้อย่างง่ายดาย ปัญหาก็คือ ท่านเป็นผู้ที่มีบุคลิกที่แปลกพิสดาร และไม่ค่อยยินยอมช่วยเหลือใคร…แต่เมื่อคิดไปถึงค่าตอบแทนที่จ่ายไปสำหรับเรื่องนั้น เมื่อหลายปีมาแล้ว ท่านต้องตกลงอย่างแน่นอน มันคุ้มค่ามาก ถ้าข้าได้ครอบครองทะเลสาบลมปราณ!” เมื่อมันตัดสินใจได้แล้ว ฉื่อลั่วตีก็เร่งความเร็วขึ้น
มันบินไปเกือบหนึ่งวัน ก่อนที่จะมาถึงเชิงเขาโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง นกแร้งจำนวนหนึ่งบินเป็นวงกลมอยู่ที่ด้านบน เบื้องหน้าเป็นแผ่นไม้ยาวสองจ้าง ด้านบนมีซากศพอยู่หนึ่งซาก
เห็นได้ชัดว่า ซากศพนั้นเน่าเปื่อยมาแล้วหลายเดือน มันดูท่าทางน่ากลัวเป็นอย่างมาก นกแร้งหลายตัวเกาะอยู่บนแผ่นไม้ กำลังจิกกินซากศพนั้นอยู่ พวกมันชำเลืองมายังฉือลั่วตี ด้วยดวงตาที่เปล่งแสงอันลี้ลับออกมา เห็นได้ชัดว่า พวกมันไม่ได้หวาดกลัวมนุษย์เลย
“ฉือลั่วตี ขอเข้าพบท่านซ่างหลัว” มันกล่าว มองไปที่ซากศพ ด้วยจิตใจเต้นรัว มันจำสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ของซากศพนี้ได้ว่า เป็นของผู้นำตระกูลแถบนี้ ซึ่งมีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ
คำพูดของมันกระจายออกไปในภูเขาโดดเดี่ยวนั้น หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงแหบพร่าก็ดังออกมา
“เจ้าผู้นี้ เคยดูถูกข้าเมื่อหลายเดือนมาแล้ว ดังนั้น ข้าจึงจับมันมายังที่นี่ ข้ามัดมันไว้เพื่อเป็นการลงโทษ แต่นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะอ่อนแอมากเช่นนี้ มันตายหลังจากผ่านไปเพียงแค่สองเดือน เจ้า, มีเรื่องใด นำเจ้ามาที่นี่ในวันนี้!?”
ฉือลั่วตีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่มันโค้งตัวลงต่ำ คารวะไปยังภูเขาโดดเดี่ยวลูกนั้น
“ผู้อาวุโส, ข้าได้เผชิญกับปัญหาบางอย่าง ข้ามาขอร้องให้ท่านซ่างหลัวช่วยสังหารใครบางคน” มันพูดจาตรงๆ มันรู้ว่าท่านซ่างหลัวไม่ชอบการอธิบายยืดเยื้อ
“สังหารใครบางคน…..โอ้ ฮา ฮา ฮา ฮา ฮา!” เสียงหัวเราะแสบแก้วหูดังกังวานออกมา “จากความสัมพันธ์ที่พวกเรามีต่อกันเมื่อปีนั้น ข้าจะช่วยเหลือเจ้า แต่ก็มีข้อเรียกร้องบางอย่าง จริงๆ แล้ว ก็เป็นข้อเรียกร้องที่มากมายยิ่ง”
“ข้าเข้าใจ” ฉือลั่วตีกล่าว ยกถุงสมบัติขึ้น โยนออกไป และก่อนที่มันจะตกลงไปกระทบพื้น มันก็หมุนคว้างออกไปในที่ห่างไกล ถูกหยิบฉวยไปด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น
“รอข้าอีกไม่กี่วัน” เสียงแหบพร่านั้นกล่าว “หลังจากที่ข้าจัดการกระดูกของคนผู้นี้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าก็จะไปพร้อมกับเจ้า” ทันใดนั้น กลุ่มแร้งก็คาบซากศพขึ้น และบินเข้าไปในภูเขาโดดเดี่ยวนั้น
ฉือลั่วตีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง ดวงตามันสาดประกายเจิดจ้า
“เซี่ยวฉางเอิน ลองดูว่าครั้งนี้เจ้าจะต่อสู้ได้อย่างไร!” ดวงตามันเต็มไปด้วยรังสีสังหาร ฉือลั่วตีนั่งลงขัดสมาธิเข้าฌาณ
ในเวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปยังภูเขาหมู่บ้านตระกูลเซี่ยว เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิด้วยเช่นกัน อยู่ในห้องเล็กๆ ใกล้กับทะเลสาบ แสงริบหรี่รายล้อมรอบตัวเขา ช่วยให้มองออกไปนอกห้องได้ แต่ป้องกันไม่ให้คนที่ด้านนอก มองเข้ามายังด้านในได้
แสงนี้เกิดมาจากกระดาษยันต์ทั้งเก้าแผ่น ยันต์อาคมนี้ถูกวาดโดยหญิงสาวตระกูลเซี่ยว และนำส่งมาให้เมิ่งฮ่าวด้วยตัวนางเอง หลังจากติดตั้งยันต์อาคมเรียบร้อย นางก็จากไปพร้อมการคารวะด้วยความเคารพ
หลังจากที่นางไปแล้ว เมิ่งฮ่าวก็พ่นหมอกสายฟ้าออกมา กระจายออกไปปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมด ในที่สุด เขาก็เปิดถุงสมบัติออกมาได้โดยไม่ต้องกังวลใดๆ เขาหยิบเม็ดยาหลัวตี้ ซึ่งได้รับจากสำนักชิงหลัวออกมา และตรวจสอบดูอย่างละเอียด
ขณะที่เขามองไปที่เม็ดยา ผีโต้งที่เป็นหมวกอยู่บนศีรษะเขาก็เริ่มพูดขึ้น “เฮ, เมื่อครู่นี้ข้าพูดถึงตรงไหนนะ? อืม, พวกเรามาต่อเรื่องจากเมื่อวานกันดีกว่า, เจ้าไม่อาจทำเช่นนั้น มันผิดศีลธรรม! เจ้าไม่อาจโยนข้าลงไปบนพื้น นั่นมันมากเกินไปแล้ว!”
เมิ่งฮ่าวไม่โต้ตอบ เจ้าผีโต้งไม่ยอมหยุดพูดเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่ามันสามารถจะพูดเรื่องเดียวกันได้ทั้งวัน มีเพียงเรื่องเดียวถ้ามันไม่พูดซ้ำ มันก็พูดวนไปมา และดูเหมือนมันจะพูดอย่างไม่เคยเบื่อเลย
“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะโยนข้าไปโดนเด็กทารก…?”
“มันยังเป็นเรื่องแย่สำหรับหญ้าและต้นไม้…”
“พวกปลาตัวน้อยๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านั้นต่างก็ไม่รู้เรื่องด้วย…”
รู้สึกเหมือนกับมีเสียงหึ่งๆ ดังอยู่ที่ข้างหูเมิ่งฮ่าวตลอดเวลา เขาพยายามที่จะไม่สนใจมัน แต่เสียงของหมวกผีโต้ง ก็ดูเหมือนจะดังมากยิ่งขึ้น จนในที่สุด มันก็ตะโกนออกมา เสียงของมันดังมากจนทะลุผ่านเกราะหมอกสายฟ้าออกไปที่ด้านนอก เมื่อพวกมันได้ยินเสียง คนในตระกูลเซี่ยวทั้งหมดต่างก็มองตากันไปมา
“หุบปาก!!” เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่น จับหมวกโยนลงไปบนพื้น
“อี๋? ข้ายังพูดไม่จบ เอ, ถึงไหนแล้วนะ? อืม, เปลี่ยนเรื่องดีกว่า เจ้าไม่อาจทำเช่นนั้น มันผิดศีลธรรม…” เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า ใบหน้าเขาน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืน และเริ่มกระทืบลงไปบนหมวก
ใบหน้าที่ชอบอวดภูมิความรู้ของชายชรา ทันใดนั้นก็ปรากฎขึ้น ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะกระทืบมันด้วยความดุร้าย แต่มันก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องอย่างน่าสังเวชใจออกมา ดูเหมือนมันจะพูดอย่างสัตย์ซื่อออกมามากขึ้น “เจ้าไม่อาจทำเช่นนั้น มันช่างโหดร้ายนัก! มันผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง!”
“เจ้าต้องการอะไร?” เมิ่งฮ่าวกล่าว ถอยหลังออกไปสองสามก้าว กัดฟันแน่น “เจ้าหลบหนีมาได้แล้ว ทำไมยังมาติดตามข้า? ไปให้พ้น ไป!”
“อี๋? ข้าได้ผูกมัดเจ้าให้เป็นนายของข้า ผูกมัดเจ้านายก็หมายถึงผูกมัดชีวิต ข้าต้องผิดศีลธรรมเป็นอย่างมากถ้าข้าจากไป ข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ขัดต่อหลักการ ขัดต่อ…” เมิ่งฮ่าวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ และจ้องไปในท้องฟ้าด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า เวลาธูปสองดอกไหม้หมดผ่านไป ในที่สุดเขาก็มองกลับมาที่หมวกใบนั้น
“…ขัดต่อนิสัย ข้าเพิ่งจะบอกเจ้าไปเจ็ดร้อยสี่สิบห้าเรื่อง ในสิ่งที่ข้าไม่ยอมทำ เห็นหรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ที่เจริญแล้วแค่ไหน? จริงใจเพียงใด? ด้วยคำพูดที่กล่าวมา ข้าจะไม่มีทางทิ้งเจ้าไป”
เมิ่งฮ่าวไม่ได้พูดสิ่งใด ทันใดนั้น เขาก็ยกมือขึ้น และเรียกมังกรเปลวไฟออกมา พุ่งเข้าไปที่เจ้าหมวก ครั้งนี้เสียงร้องอย่างโหยหวนก็ดังออกมา แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยคำพูดที่ไม่รู้จักจบสิ้นอย่างรวดเร็ว หมวกไม่ได้ถูกทำลายไป ขณะที่เมิ่งฮ่าวจ้องไปที่มัน เส้นเลือดก็โผล่ออกมาจากหน้าผาก เขามักคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้อารมณ์ของเขาได้ระเบิดออกมา เขากระโดดขึ้นและลงหลายครั้งไปบนหมวก, กระทืบมัน
แต่…ไม่นานหลังจากที่เขาหยุด คำพูดก็ยังคงพรั่งพรูออกมาต่อไป หมวกกลับมาอยู่บนศีรษะเมิ่งฮ่าว ครั้งนี้มันได้เปลี่ยนสีไป ตอนนี้มันเป็นสีเขียว และมีรูปร่างดึงดูดใจมากขึ้นกว่าเดิม
(หมวกเขียว ในภาษาจีน คล้ายกับความหมายว่า ภรรยาคบชู้)
ใบหน้าเมิ่งฮ่าวหมองคล้ำลง
“ดูนะ, เด็กน้อย, ไม่ต้องดิ้นรนไป ข้าเป็นคนดี ข้าพยายามที่จะช่วยเจ้า เจ้ากำลังอยู่บนเส้นทางที่ชั่วร้าย แต่ข้าก็ยินดีที่จะใช้พลังของข้าช่วยเหลือเจ้า เด็กน้อย บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้ระวังว่า มีคนรุ่นหนุ่มสาวมากมายแค่ไหน ที่ได้ก้าวพลาดไป และจากนั้นก็ต้องมานั่งเสียใจไปตลอดชีวิต ข้าจะช่วยให้เจ้าผ่านพ้นความขมขื่นเหล่านั้น ข้าจะช่วยให้เจ้าเป็นอิสระจากเจ้านกบัดซบนั่น ข้าเคยทำผิดพลาดในชีวิตสุดท้ายของข้า และชีวิตก่อนหน้านั้น และชีวิตก่อนหน้าของก่อนหน้านั้นด้วย เจ้านกบัดซบที่น่ารังเกียจนั่น เป็นเพียงนกตัวเดียวที่ข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงมันได้เลย!” ดูเหมือนว่ามันกำลังกัดฟันอยู่ในตอนนี้ “ในชีวิตครั้งนี้ ข้าต้องเปลี่ยนมันให้จงได้!”
“ใครเป็นนกที่เจ้ากำลังพูดถึง?!” เมิ่งฮ่าวกล่าว ใบหน้าเคร่งเครียด ความรู้สึกแปลกๆ พุ่งขึ้นมาจากข้างใน เจ้าหมวกนี้ไม่อาจสังหาร ไม่อาจโยนทิ้งไป มันช่างน่ารำคาญเป็นอย่างมากอย่างแท้จริง
“เจ้าไม่รู้?” หมวกถาม ทันใดนั้น มันก็บินออกมาจากศีรษะเมิ่งฮ่าว รูปร่างของมันเปลี่ยนกลับไปเป็นผีโต้งในทันที ใบหน้าโบราณปรากฎขึ้น และดูท่าทางไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่มันจ้องไปยังเมิ่งฮ่าว “อา, สวรรค์ เจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าบัดซบนั่นเป็นใคร, มันน่าสังหารนัก, เจ้าตัวหน้าด้านไร้ยางอาย…” ผีโต้งเริ่มสั่นสะท้าน ขณะที่มันส่งเสียงก่นด่าสาบแช่งออกมาเป็นชุด เมิ่งฮ่าวถอนหายใจยาวออกมา และมองขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก ในที่สุดเขาก็มองกลับมายังผีโต้ง
เจ้าผีโต้งในที่สุดก็กำลังสรุปรายละเอียดของมัน “…น่าจะโยนลงไปในส้วม, เจ้านกบัดซบ? เจ้าไม่รู้ว่ามันเป็นใครจริงๆ?”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังผีโต้งเป็นเวลานาน ก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ “ข้าไม่รู้”
“เจ้าไม่รู้จริงๆ?” ผีโต้งถามด้วยความตกใจ “เจ้าจริงๆ แล้ว ไม่รู้จริงๆ? เป็นไปไม่ได้! เจ้าไม่รู้, ไม่รู้, ไม่รู้จริงๆ?”
“ข้า ไม่ รู้!” เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่น มันช่างน่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ในการที่พยายามจะสื่อสารกับเจ้าผีโต้งนี้
“สวรรค์! เจ้ามีกลิ่นสาบของมันอยู่ในร่าง แต่เจ้าก็ไม่รู้ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้าไม่รู้ได้อย่างไร? สวรรค์, สวรรค์ เจ้าไม่รู้, ไม่รู้, ไม่รู้จริงๆ?” ดวงตาของมันเบิกโพลง และเต็มไปด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ
เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาหลับตาลง และนั่งขัดสมาธิต่อไป พร้อมเสียงปัง ผีโต้งก็เปลี่ยนร่างกลับไปเป็นหมวกสีเขียวเจิดจ้า และลอยกลับไปอยู่บนศีรษะของเขาต่อไป
ถ้าดูจากการที่เมิ่งฮ่าวสวมใส่ชุดยาวนักศึกษา หมวกนี้ก็ค่อนข้างสะดุดตาเป็นอย่างมาก ใครก็ตามที่มองเห็นมัน ต้องมองมาซ้ำสองอย่างแน่นอน
เวลาธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป
“แต่, เจ้าไม่รู้ได้อย่างไร?”
ธูปไหม้หมดสองดอก
“…เหลือเชื่อ! เจ้าไม่รู้จริงๆ…”
หนึ่งชั่วยาม
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรบ้าง? โอ, ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากำลังละอายใจอยู่นั่นเอง ฟังนะ มันไม่ใช่ปัญหา ข้าเป็นคนดี ข้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าสามารถทำได้ เพื่อดึงเจ้าออกมาจากเส้นทางที่ชั่วร้ายนั้น ข้า…”
ใบหน้าของเมิ่งฮ่าวน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาได้มาถึงจุดสิ้นสุดความอดทนแล้ว อารมณ์เขาระเบิดออกมา เขาส่งเสียงแผดร้อง คว้าจับเจ้าหมวกนั่นโยนออกไปข้างนอก ตบไปที่ถุงสมบัติ กระบี่บินนับร้อยปรากฎขึ้น และพุ่งตรงไปที่หมวก มือของเมิ่งฮ่าวขยับร่ายเวทอาคม และมังกรเปลวไฟ พร้อมมีดสายลมก็ปรากฎขึ้น
เสียงระเบิดดังกระหึ่มกึกก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้จิตใจของคนในตระกูลเซี่ยวทุกคนเกิดความหวาดกลัวขึ้น ดวงตาเซี่ยวฉางเอินเบิกกว้าง ถึงแม้มันจะไม่อาจเห็นว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น เสียงระเบิดนั้นก็ช่างน่าตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
หญิงสาวนางนั้นดูท่าทางงุนงง และจากนั้นสีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของนาง
เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่น เดินตรงไปข้างหน้า กรีดนิ้วจนมีโลหิตไหลออกมา ฉับพลันนั้น ดรรชนีโลหิตก็ปรากฎขึ้น มืออีกข้างก็ขยับด้วยเวทผนึกอสูรรุ่นแปดอย่างรวดเร็ว
เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังก้องออกไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพี ไม่นานหลังจากนั้น ระลอกคลื่นจางหายไป ทั่วร่างของเมิ่งฮ่าวก็กระจายความขมขื่นออกมา ขณะที่เขาจ้องไปยังผีโต้ง ซึ่งกำลังกระโดด ผลุบ ผลุบ ผลุบ อย่างขะมักเขม้นอยู่ไปมา
“ช่างแปลกนัก เจ้าไม่รู้จริงๆ มันเป็นไปได้อย่างไร? จริงๆ แล้ว เจ้าก็ไม่รู้!”