ตอนที่ 2 สำนักเอกะเทวะ
สำนักเอกะเทวะ ตั้งอยู่ที่เขตชายแดนของแคว้นจ้าว ด้านทิศใต้ของทวีปหนานซาน เมื่อก่อนเคยเป็นสำนักอันดับหนึ่ง ท่ามกลางสี่สำนักใหญ่ มีชื่อเสียงเกริกไกรในอาณาเขตทิศใต้ แต่ชื่อเสียงเริ่มตกต่ำลงเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง และไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งอันรุ่งโรจน์เหมือนในอดีตได้อีก ทุกวันนี้เมื่อเปรียบเทียบกับสำนักอื่นๆ ในแคว้นจ้าว เรียกได้ว่า ด้อยกว่าในทุกด้าน
อันที่จริงสำนักนี้ไม่ได้เรียกว่า สำนักเอกะเทวะ แต่เมื่อพันปีที่ผ่านมา ปรากฏผู้ฝึกตนที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วอาณาเขตทิศใต้ ซึ่งเรียกตัวเองว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะ ได้บังคับให้สำนักนี้เปลี่ยนชื่อเป็นนามของตัวเอง ปรมาจารย์ผู้นี้เหยียบย่ำ และแย่งชิงของวิเศษจากทุกสำนักในแคว้นจ้าวมาเป็นของตัวเอง ไร้ผู้เทียมทานในขณะนั้น
แต่กาลเวลาพันปี ตอนนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป ปรมาจารย์เอกะเทวะได้หายตัวไปเกือบสี่ร้อยปี หากไม่ใช่เพราะยังไม่ยืนยัน ว่าท่านปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไป สำนักเอกะเทวะก็คงโดนสำนักอื่นฮุบกลืนไปนานแล้ว วันแห่งความรุ่งโรจน์ได้ผ่านไปแล้ว
สำนักเอกะในยามนี้ เข้าสู่ยุคตกต่ำ ผนวกกับความความขาดแคลนทรัพยากรบุคคลของแคว้นจ้าว และแรงกดดันจากสำนักอื่นๆ กระทั่งแม้สำนักเอกะเทวะที่ต้องการข้ารับใช้ ยังต้องให้สานุศิษย์ออกไปใช้กำลังลักพาตัวมา เรื่องจะเปิดประตูสำนัก เปิดรับศิษย์เหมือนสำนักทั่วไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมิ่งฮ่าวเดินตามบุรุษชุดยาวสีเขียว ไปตามทางน้อยทอดไปสู่ยอดเขา อันล้อมรอบไปด้วยทิวทัศน์ประดุจสวนสวรรค์ ก้อนหินรูปทรงแปลกตา ต้นไม้รูปร่างประหลาด เติบโตขึ้นอยู่ทุกที่ ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงาม มีตึกใหญ่โตหลังคามุงด้วยหยกเขียว ยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆและสายหมอก เมิ่งฮ่าวถอนหายใจออกมาอย่างต่อเนื่อง น่าเศร้าจริง เจ้าเด็กอ้วนข้างกาย มัวแต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตลอดเวลา ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก
“ข้าจบแล้ว จบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง…”
“ข้าอยากกลับบ้าน มีหม่านโถว รอข้าอยู่ที่บ้าน แล้วก็มีเนื้อมีปลา”
“บ้าจริง ข้าเป็นผู้สืบทอดมรดกของเจ้าของที่ดิน อนาคตก็จะเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวย มีภรรยาสาวสวยนับสิบ ข้าไม่ควรอยู่เป็นข้ารับใช้ที่นี่…”
เด็กหนุ่มอ้วนพึมพำ น้ำตาไหลพรากอยู่บนใบหน้า
เจ้าอ้วนพึมพำต่อไปชั่วเวลาดื่มน้ำชาหมดไปครึ่งถ้วย จนกระทั่งบุรุษชุดยาวสีเขียวหันกลับมา “ถ้าเจ้ายังขืนพ่นสิ่งไร้สาระเช่นนี้ออกมาอีกครั้ง” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ”
เด็กหนุ่มอ้วน ตัวสั่นด้วยความกลัว นัยน์ตาฉายไปด้วยแววแห่งความหวาดกลัว แต่ในที่สุดก็ปิดปากจนสนิท กายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เมื่อเมิ่งฮ่าวเห็นเช่นนั้น ก็คิดว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้สวยงามอย่างที่ตนวาดหวัง แต่ด้วยบุคลิกที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และรักษาความสงบเยือกเย็นไว้
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงจุดครึ่งทาง ก่อนขึ้นยอดเขา เมิ่งฮ่าวมองเห็นอาคารเตี้ยหลายหลังยาวเป็นแถว ปรากฎขึ้นท่ามกลางสายหมอก มีบุรุษใส่ผ้าป่านยาวเจ็ดถึงแปดคน นั่งอยู่ด้านนอกของอาคาร มองดูเหนื่อยๆ เมื่อกลุ่มเมิ่งฮ่าวเดินไปถึง บุรุษพวกนั้นมองเห็น แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ
ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก บุรุษหนุ่มใส่ชุดยาวสีน้ำเงินอ่อนนั่งอยู่บนก้อนหิน ใบหน้ายาวคล้ายม้า เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเหมือนจะแพงและสวยงามกว่าบุรุษหนุ่มคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าหน้าตาดูเย็นชา แต่เมื่อบุรุษชุดยาวสีเขียวนำพวกเมิ่งฮ่าวมาถึง บุรุษหนุ่มชุดยาวสีน้ำเงินอ่อนก็ยืนขึ้นประสานมือแสดงความเคารพ
“ขอคารวะ ศิษย์พี่”
“นี่เป็นข้ารับใช้ใหม่สองคน” บุรุษชุดเขียวกล่าวห้วนๆ “ช่วยจัดเตรียมที่พักให้กับพวกมัน” จากนั้นก็หันหลังกลับและจากไป ไม่เหลือบมองเมิ่งฮ่าว และเด็กหนุ่มอ้วนแม้แต่น้อย
หลังจากบุรุษชุดเขียวจากไป บุรุษหนุ่มหน้ายาวเหมือนม้าก็กลับไปนั่งขัดสมาธิที่ก้อนหินอีกครั้ง มองมาที่เมิ่งฮ่าวและเจ้าอ้วน ด้วยสายตาเย็นชา
“ที่นี่คือเรือนข้ารับใช้ทิศเหนือ” มันกล่าวอย่างเย็นเย็บ น้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“สำนักเอกะเทวะ จะไม่เลี้ยงดูผู้เกียจคร้าน เมื่อพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ ก็ต้องทำงานจนครบสามสิบปี ถึงจะลงจากเขาได้ ถ้าพวกเจ้ากล้าหลบหนี ก็มีพวกสัตว์ป่ามากมายในภูเขาแห่งนี้ และพวกเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน มา…มารับชุดทำงาน จากนี้ไปพวกเจ้าถูกตัดขาดจากโลกมนุษย์ และจงทำงานอย่างสงบในฐานะข้ารับใช้”
เจ้าอ้วนกลัวจนตัวสั่นยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่ง ลึกลงไปในดวงตากลับปรากฎประกายอย่างสุดจะพรรณนา บุรุษหน้ายาวเหมือนม้าสังเกตเห็น มันอยู่ที่นี่มานานหลายปี พบเห็นบุรุษหนุ่มที่ถูกจับมาเป็นข้ารับใช้มากมาย แต่ใครที่สงบนิ่งแบบเมิ่งฮ่าว กลับมีไม่มากนัก
“จิตวิญญาณไม่เลวเลย” มันกล่าวเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้าอาจไม่จำเป็นต้องทำงานใช้แรงงานจนครบสามสิบปี เจ้าสามารถฝึกฝนบำเพ็ญเพียรไปด้วยได้ ถ้าเจ้าสามารถก้าวไปถึงขั้นหนึ่งของการรวบรวมลมปราณ เมื่อนั้นเจ้าก็ไม่ต้องเป็นข้ารับใช้ แต่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายนอกของสำนัก” มันสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ชุดยาวผ้าป่านสองชุดก็ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวและเจ้าอ้วน ด้านหน้าของแต่ละชุดมีแผ่นไม้ขนาดเท่าหัวแม่มือ มีตัวหนังสือเขียนว่า “ข้ารับใช้”
นอกจากนี้ในชุดยาว ยังมีหนังสือบางๆ เล่มเล็กหนึ่งเล่ม หน้าปกเขียนว่า “ตำรารวบรวมลมปราณ”
เมื่อสายตาเมิ่งฮ่าวมองไปที่ตัวอักษรนั้น ก็หายใจหนักหน่วงขึ้น จ้องไปที่หนังสือบางๆ เล่มนั้น นึกไปถึงคำพูดของบุรุษชุดยาวสีเขียวที่พูดถึงหญิงสาวสวยหน้าเย็นซีด ที่ฝึกถึงขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณ
“พวกเราสามารถเป็นศิษย์สายนอก เมื่อฝึกได้ถึงขั้นที่หนึ่ง แต่สตรีนางนั้นกลับฝึกได้ถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว อะไรคือการรวบรวมลมปราณ? บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางนำไปสู่การเป็นเซียน เหมือนเรื่องเล่าที่พูดต่อกันมา”
ถ้านั่นเป็นค่าตอบแทนที่จะได้รับในการทำงานที่นี่ มันอาจไม่ใช่เงินทอง แต่หากนำออกไปได้ ย่อมขายได้ถึงร้อยตำลึงทอง เมิ่งฮ่าวรู้สึกตื่นเต้น รับชุดยาวไปใช้ห่อป้ายไม้และหนังสือบางๆ เล่มนั้น
“เจ้าสองคนไปเข้าพักบ้านหลังที่เจ็ด เริ่มงานพรุ่งนี้ งานของพวกเจ้าคือการตัดฟืน สิบต้นต่อวัน ทุกๆ วัน ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ากิน จนกว่าจะทำงานแล้วเสร็จในแต่ละวัน” บุรุษหน้ายาวกล่าวจบก็หลับตาลง
เมิ่งฮ่าวหายใจเข้าลึกๆ เลียนแบบบุรุษหนุ่ม ทำความเคารพด้วยการประสานมือ จากนั้นก็ลากตัวเจ้าอ้วน เดินไปยังเขตเรือน ตามหาจนเจอบ้านหลังที่เจ็ด หลังจากเปิดประตูและก้าวเข้าไป
ห้องไม่ใหญ่มากนัก ประกอบด้วยหนึ่งโต๊ะ สองเตียงเล็กๆ ดูเรียบง่ายเป็นระเบียบ เมื่อนั่งลงที่เตียง เจ้าอ้วนไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป เริ่มร้องไห้อย่างหนัก
เจ้าอ้วนอายุประมาณสิบสองถึงสิบสามปี เมื่อร้องไห้เสียงดัง ก็แน่นอนว่าดังออกไปถึงด้านนอก
“พ่อของข้าเป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดิน ข้าก็น่าจะเป็นเศรษฐีด้วยเช่นกัน ข้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นข้ารับใช้…” เจ้าอ้วนดูเหมือนจะใจลอยอย่างหนัก และร่างอ้วนๆ เล็กๆ ก็เริ่มสั่นสะท้าน
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าว พยายามพูดปลอบใจ “นึกดูสิว่า ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก พวกเราทำงานเพื่อฝึกวิชาเซียน ผู้คนมากมายอาจจะอิจฉาเราถ้าพวกมันรู้?” แล้วรีบเดินไปปิดประตู
“ข้าใม่ต้องการทำงานรับใช้ใคร ข้ามีเงินทอง” เจ้าอ้วนตอบ “งานแต่งงานของข้าถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ของหมั้นก็ส่งไปแล้ว เจ้าสาวที่น่าสงสารของข้า ยังไม่ทันได้แต่ง ก็ต้องเป็นหม้ายไปซะแล้ว…” ยิ่งร้องไห้มากเท่าใด จิตใจเจ้าอ้วนก็แตกสลายมากขึ้นเท่านั้น
สีหน้าเมิ่งฮ่าวแสดงถึงความประหลาดใจ เจ้าอ้วนอายุยังน้อย ก็จะมีภรรยาแล้ว ย้อนกลับมาคิดถึงตัวเอง โตจนป่านนี้ เขาไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสมือของอิสตรี ทำให้ต้องถึงกับถอนหายใจยาวออกมา การมีเงินทอง ช่างดีเหลือเกิน
ครอบครัวของเจ้าอ้วนร่ำรวยมหาศาล ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาหารหรือเสื้อผ้า ในขณะที่เขาไม่มีอะไรเลย แม้แต่หลังจากเอาบ้านที่เป็นมรดกของบิดาไปขายเมื่อหลายปีก่อน เขาก็ยังเป็นหนี้ท่านลุงโจวอีกหลายตำลึง
เมื่อคิดไปถึงหนี้ก้อนนี้ ทำให้ต้องหัวเราะออกมา ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าลุงโจวอยากได้เงิน ก็ตามมาทวงเถอะ มิฉะนั้นกว่าข้าจะได้กลับออกไป ก็สามสิบปี ท่านลุงโจวก็อาจจะ… ไม่อยู่แล้ว
ยิ่งเมิ่งฮ่าวคิดถึงสถานที่แห่งนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ที่พัก หรืออาหาร ซ้ำยังได้ค่าตอบแทนมูลค่าร้อยตำลึงทอง ตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน ที่นี่เป็นสำนักของเซียน กล่าวได้ว่า เป็นที่ที่ช่วยให้เมิ่งฮ่าวหลุดพ้นออกจากสถานการณ์อันเลวร้ายที่ผ่านมาได้โดยสิ้นเชิง
การร้องไห้ของเจ้าอ้วนเริ่มรบกวนเมิ่งฮ่าว เพื่อหลุดพ้นจากเสียงร้องไห้นั้น เมิ่งฮ่าวจึงหยิบตำราเล่มบางๆ ออกมาจากเสื้อยาวผ้าป่าน เริ่มต้นอ่านช้าๆ อ่านได้บรรทัดแรกของหน้าหนึ่ง ก็ทำให้ตกตะลึง
“ทุกคนควรจะมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ไม่ว่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ใฝ่หาลาภยศสักการะ หรือผู้ฝึกตนที่ต้องการมีชีวิตที่หลุดพ้นเป็นอิสระ ถ้าเข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ เจ้าก็สามารถวางใจในตัวข้า” นี่เป็นคำเกริ่นนำของคู่มือนี้ และเขียนโดยปรมาจารย์เอกะเทวะ
แม้ว่าจะเป็นถ้อยคำสั้นๆ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นทั้งคำเชื้อเชิญและคำอธิบายเกี่ยวกับสำนักเอกะเทวะ เมิ่งฮ่าวรู้สึกมึนงง แต่หลังจากนั้นก็คิดว่าเข้าท่าดี
“สำนักเอกะเทวะ นี่คือความหมายของสำนัก? ทุกคนต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยว เมื่อได้สิ่งยึดเหนี่ยว พวกมันก็จะร่ำรวย มีอำนาจ และเป็นอิสระจากความกังวลทั้งหลาย” เมิ่งฮ่าวตระหนักดีว่า ถ้าตนมีเจ้าใหญ่นายโตเป็นที่ยึดเหนี่ยว ตนก็ไม่ต้องสอบตกติดต่อกันถึงสามครั้ง เมิ่งฮ่าว ทอดถอนใจ รู้สึกนับถือปรมาจารย์เทวะเอกะผู้ซึ่งตนไม่เคยพบเห็นมาก่อนมากยิ่งขึ้น ด้วยคำพูดประโยคนั้น ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าประตูแห่งชีวิตของตน ในที่สุดก็ได้เปิดขึ้นแล้ว
“ในทางกลับกัน ข้าต้องหาใครสักคนที่วางใจได้เมื่ออยู่ที่นี่ หากทำเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลอันใดทั้งสิ้น” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเปล่งประกายมากขึ้น เมื่อเริ่มอ่านตำราเล่มบางต่อไป ในไม่ช้า ก็เริ่มไม่รับรู้ถึงกาลเวลา รวมถึงไม่ได้สังเกตเจ้าอ้วนที่กำลังร่ำไห้อยู่ที่ด้านข้างอีกต่อไป
ในที่สุดเจ้าอ้วนก็ร่ำไห้จนหลับไปในช่วงเที่ยงคืน เปลี่ยนเป็นเสียงกรนที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้องราวกับเสียงฟ้าคำราม เมิ่งฮ่าวปิดตำราลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกอ่อนเพลีย แต่ดวงตาก็ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและพละกำลัง
“ตำราเล่มนี้ ไม่ได้มีค่าแค่หนึ่งร้อยตำลึงทอง หากแต่มากถึงหนึ่งพันตำลึงทอง” เมิ่งฮ่าวกล่าวกับตัวเอง สำหรับใครบางคนที่มักจะฝันถึงการกลายเป็นคนร่ำรวย ของบางสิ่งที่มีค่าหนึ่งพันตำลึงทอง อาจจะมีค่า อันเป็นรองแต่เพียงชีวิตของตัวเอง
เมิ่งฮ่าวกำลังตื่นเต้น แต่เสียงกรนเจ้าอ้วนพลันหยุด จึงมองไปด้วยความแปลกใจ กลับเห็นเจ้าอ้วนลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง โบกสะบัดแขนไปมา พร้อมกับเสียงพึมพำ
“ข้าจะตีเจ้าให้ตาย! กล้าดียังไงถึงกับมาขโมยหม่านโถวของข้า!”
“ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย! กล้าดียังไงถึงกับมาขโมยภรรยาข้า!” พร้อมกับเสียงพูด เจ้าอ้วนลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่ดวงตายังปิดอยู่ ควงหมัดไปมา ปากทองงึมงำ
“ตีเจ้าให้ตาย กล้าแย่งหมานโถวข้า กัดเจ้าให้ตาย กล้าแตะเจ้าสาวข้า” เจ้าอ้วนยืนขึ้นทั้งๆ ที่หลับตา รำเพลงมวยอย่างดุดันไปรอบห้อง จนเผลอกระแทกเข้ากับโต๊ะ แต่ที่เมิ่งฮ่าวต้องเบิกตาโตนั่นคือ อย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าอ้วนคว้าโต๊ะขึ้นมากัดลงไปที่มุมอย่างเต็มแรง ปรากฏป็นรอยฟันลึกไว้เป็นเครื่องหมาย จากนั้นก็เดินกลับไปนอน แล้วเริ่มส่งเสียงกรนต่อไป
เมิ่งฮ่าวดูอยู่สักครู่หนึ่ง ก็แน่ใจว่าเป็นการนอนละเมอ จากนั้นก็มองไปยังรอยกัดที่มุมโต๊ะ ทำให้คิดได้ว่าไม่ควรไปตอแยเจ้าอ้วนในขณะที่มันกำลังนอนหลับ จากนั้นก็มองไปยังตำราอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น
“การรวบรวมลมปราณระดับเก้า เป็นหนทางสู่การเป็นเซียน ทำงานรับใช้เซียนวิเศษ แลกกับโอกาสสำเร็จเป็นเซียนด้วยตัวเอง นี่เป็นผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่เท่าที่เป็นไปได้ ข้าไม่เชื่อว่าหากข้าสำเร็จเป็นเซียน แล้วข้าจะไม่ร่ำรวย” เมิ่งฮ่าวกำตำรา สายตาส่องประกายเจิดจ้า ในที่สุดเขาก็ค้นพบหนทางอื่น นอกเหนือจากการศึกษาเล่าเรียนเพื่อไปสอบเป็นขุนนาง
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเตะออกพร้อมเสียงปัง ดังสนั่นหวั่นไหว
—————–
หมายเหตุ : เอ่อร์เกินใช้ชื่อว่า 靠山宗 (เค่าซานจง) แปลตรงตัวว่า นิกายแห่งการพึ่งพา แต่ผมขอใช้ชื่อว่า สำนักเอกะเทวะ แทนครับ