Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 359

ตอนที่ 359

โจวเต๋อคุนและเมิ่งฮ่าว

เมื่อเห็นสีหน้าเมิ่งฮ่าว หานเสวี่ยชานกำลังจะเอ่ยปาก และพูดอะไรออกมา แต่จู่ๆ ก็นิ่งคิด แววตาเกิดความเวทนาสงสารขึ้น

นางถอนหายใจให้กับตัวเองคิดว่า “ดูเหมือนมันจะยิ้มอย่างปกติธรรมดา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันกำลังปกปิดความอิจฉาในตัวตานติ่งต้าซือไว้ น่าเห็นใจนัก!” จากนั้นนางก็คิดเกี่ยวกับการที่เขาได้ช่วยชีวิตนางไว้สองครั้ง และจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่น่าเบื่อเท่าใดนัก และแน่นอนว่ายังมีภาพเหตุการณ์ในสนามรบซึ่งกำลังฉายวนไปมาอยู่ในหัว

จิตใจนางทันใดนั้นก็อ่อนโยนลง

นางคิดเกี่ยวกับคำพูดของเมิ่งฮ่าวและกิริยาท่าทางของเขาเมื่อครู่นี้ และจากนั้นก็ตระหนักว่านางได้ทำให้เขารู้สึกลำบากใจอยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงได้แสดงปฏิกิริยาเช่นนั้นออกมา “ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหวัง” นางกล่าวปลอบใจ “ตานติ่งต้าซือเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งในโลกนี้ อ้าย, อย่าทำให้ตัวเองต้องหมดกำลังใจไปเลย”

เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่มีทางที่เขาจะบอกหญิงสาวนางนี้ว่า บุคคลที่กำลังนั่งอยู่ที่เบื้องหน้านางผู้นี้ เป็นคนที่นางรักและต้องการจะแต่งงานด้วย, เป็นทายาทผู้สืบทอดอย่างแท้จริงของตานกุ่ยต้าซือ, เป็นผู้ที่ได้ครอบครองเปลวไฟอมตะ, เป็นผู้ที่สามารถร่ายเวทแปลงเต๋าแห่งการปรุงยา และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในดินแดนด้านใต้, ตานติ่งต้าซือ

หานเสวี่ยชานรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นนางก็นึกถึงปัญหาขึ้นมา ขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “ท่านจะทำอย่างไร? ถ้าท่านพ่ายแพ้แก่โจวต้าซือ ก็ไม่มีทางที่ท่านจะได้รับตัวไหมหิมะเยือกเย็น แม้แต่ท่านยายก็ไม่อาจจะทำอันใดได้ นอกจากนั้น

ตอนนี้ก็มีดักแด้อยู่เพียงแค่สองตัวที่จะถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมาได้ และต้องใช้เวลาเป็นปี มิฉะนั้น ข้าก็จะช่วยให้ท่านได้สักหนึ่งตัว แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงพวกมันได้อย่างไร…”

นางกำลังจะกล่าวต่อไป เมื่อมองเห็นสีหน้าของเมิ่งฮ่าว ราวกับว่ามีบางอย่างที่ไม่อาจจะยอมรับได้ และเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

สีหน้าเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันที นางกระทืบเท้าด้วยท่าทางไม่สบายใจ “ก็ดี, ลืมมันไปเถอะ” นางกล่าว “ถ้าท่านไม่ร้อนใจ แล้วข้าจะไปกังวลใจแทนท่านทำไม?”

ท่าทางของนางเป็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่ว่าฉื่อชิง หรือฉู่อวี้เยียนซึ่งมีท่าทีหุนหันพลันแล่นเป็นอย่างมาก เขาต้องประเมินนางใหม่อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

“ท่านกำลังดูอะไร?” นางกล่าว จ้องมาที่เขาอีกครั้ง หัวใจที่อ่อนเยาว์ของนางเริ่มเต้นถี่เร็ว โดยไม่ทันตระหนักถึงมัน นางก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง และทำสีหน้าน่ากลัวขึ้นมา

“ข้ากำลังมองดูความสวยงามของเจ้า” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบพร้อมหัวเราะ ขยิบตาให้

“ท่าน…” ใบหน้านางกลายเป็นสีแดงขึ้นในทันที และจิตใจก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ถอยหลังออกไปสองสามก้าว หยุดนิ่งชั่วขณะก่อนที่จะระเบิดออกมา

“ท่านกำลังเกี้ยวพาราสีข้า!”

เมิ่งฮ่าวเกาศีรษะ รอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าการล้อเล่นกับหญิงสาวนางนี้ช่างน่าสนุกสนานนัก เขากระแอมไอและกำลังจะกล่าวขึ้น แต่จู่ๆ หานเสวี่ยชานก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “ท่านยายบอกว่า จากกฎของตระกูล ใครก็ตามที่มาเกี้ยวพาคนในตระกูลหานเสวี่ย ก็จะถูกทำให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง! มีทางเดียวที่จะป้องกันได้ก็คือท่านต้องรักษาคำมั่นสัญญา!”

เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินกฎที่ไร้สาระเช่นนี้

“ท่านต้องจดจำไว้!” หานเสวี่ยชานกล่าวประจบ “ท่านให้สัญญากับข้าแล้ว!” ดวงตานางสาดประกายด้วยความเจ้าเล่ห์ ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว ยกมือปิดรอยยิ้มไว้ หมุนตัวไปรอบๆ และเดินจากไป ช่วงขาที่เรียวยาว, เอวที่คอดกิ่ว และสะโพกที่อวบอิ่ม ช่วยขับเน้นถึงวัยอันสดใสของนาง และทำให้นางมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่งขณะที่เดินออกไป

เมิ่งฮ่าวมองนางจากไป หัวเราะให้กับตัวเอง จากนั้นก็มองลงไปยังบัตรเชิญในมือ นามของโจวเต๋อคุนถูกเขียนอยู่ด้านบนอย่างมีสีสัน ขณะที่ทำเช่นนั้น รอยยิ้มของเขาก็เจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม

“ก็ดี สามวันนับจากนี้ ข้าจะไปพบโจวต้าซือผู้นี้ พวกเราจะได้เห็นกันว่า เต๋าแห่งการปรุงยาของมันจะมีความก้าวหน้าไปบ้างหรือไม่ ในช่วงหลายปีที่อยู่ในดินแดนสีดำนี้” ด้วยรอยยิ้ม เขาเก็บบัตรเชิญไว้ หลับตาลงและนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ท่ามกลางดอกบัว พยายามค้นหาความรู้แจ้งที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของพวกมัน

ยักษ์เถื่อนส่งเสียงกรนอย่างแผ่วเบาขณะที่มันหลับอยู่ ไกลออกไปด้านข้าง กู่ลาผู้น่สงสารกำลังแล่เนื้ออยู่เพื่อเตรียมให้อาหารเมื่อมันตื่นขึ้นมา

สีหน้ากู่ลาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันคิดถึงชีวิตในทะเลทรายตะวันตก แต่หลังจากที่ได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างหานเสวี่ยชานและเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้น มันก็เต็มไปด้วยความสนใจที่อยากจะเห็นตานติ่งต้าซือผู้ลึกลับนั้น

“ถ้าข้าต้องกลายเป็นทาส” มันคิดกับตัวเอง “มันก็ควรจะเป็นผู้ถูกเลือกของเต๋าแห่งการปรุงยาจากดินแดนด้านใต้ นั่นถึงจะคู่ควรกับคนอย่างข้า, กู่ลา โอ ช่างน่าเสียดายนัก…”

เวลาผ่านไป ในที่สุดก็เป็นเวลาสามวันหลังจากนั้น หานเสวี่ยชานมาเยี่ยมเยียนสองครั้งในช่วงเวลาสามวัน

แต่ทุกครั้งนางก็มองเห็นท่าทางเฉยชาไม่ใยดีของเมิ่งฮ่าว นางแทบคลุ้มคลั่ง ครั้งสุดท้ายที่นางมาเป็นวันที่สาม, วันนัดการประลอง สีหน้านางสลดลงขณะที่เดินมา, ยื่นส่งแผ่นหยกให้ และจากนั้นก็จากไปโดยไม่พูดจาใดๆ

แผ่นหยกนั้นเป็นสูตรยาที่เรียบง่ายหนึ่งสูตร เมิ่งฮ่าวสัมผัสได้ถึงเต๋าแห่งการปรุงยาของโจวเต๋อคุนจากสูตรยานั้น เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าหานเสวี่ยชานได้มันมาอย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่า นางต้องการให้เขามีโอกาสในการศึกษามัน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องพ่ายแพ้อย่างเลวร้ายมากนัก

“จริงๆ แล้วนางก็เป็นหญิงสาวที่มีจิตใจดี” เขาคิดพร้อมหัวเราะ ศึกษาแผ่นหยกสักครู่ก่อนที่จะบดขยี้มันให้กลายเป็นผุยผง จากนั้นก็ลุกขึ้น และบินขึ้นไปยืนบนศีรษะของยักษ์เถื่อน “เอาละ, ไปกันเถอะ ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายแล้วข้าอาจจะช่วยชี้แนะบางอย่างให้กับโจวเต๋อคุนได้ ขึ้นกับว่าทักษะในเต๋าแห่งการปรุงยาของมันได้ถดถอยลงไปมากน้อยแค่ไหน” เขาส่ายหน้า ขณะที่ยักษ์เถื่อนทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น ดูท่าทางอึกอักเล็กน้อย มันลุกขึ้นยืน ด้วยความสูงถึงสามสิบจ้างของมันทำให้ดูคล้ายกับเป็นภูเขาลูกน้อยๆ ส่งเสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ขณะที่มันยื่นมือลงไป จับเอาชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ขึ้นมา โยนเข้าไปในปาก

“เนื้อ…เนื้อ…” มันพึมพำเสียงอู้อี้ จากนั้นก็เดินทอดน่อง ออกไปจากลานบ้าน

เสียงระฆังดังก้องออกไป ภายในอาณาเขตเมืองเซิ่งเสวี่ย ขณะที่ได้ยินเสียงระฆัง ผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันนัดหมายที่โจวเต๋อคุนจะทำการปรุงเม็ดยา ทันใดนั้น พวกมันก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาในทันที

ดสองสามวันมานี้ เมืองเซิ่งเสวี่ยได้จัดเตรียมอาวุธและวิชาเวทจำนวนมากมาย มาฝึกฝนตามความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป โดยมีจุดประสงค์ก็คือใช้สำหรับต่อต้านการรุกรานของโม่ถู่กง

สิ่งของเหล่านั้นจะช่วยให้ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ เนื่องจากศักดิ์ฐานะในอดีตของพวกมันเป็นหนึ่งในตระกูลอันยิ่งใหญ่ของจิ่วเหมิง, ตระกูลหานเสวี่ยจึงมีสิ่งของเช่นนั้นอยู่มากมาย

ทุกคนรับรู้ว่าโจวเต๋อคุนกำลังจะปรุงเม็ดยาให้ผู้คนทั้งหมดสิบคน ซึ่งขึ้นกับความสำเร็จในการสู้รบของพวกมัน ข่าวคราวนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น ตอนนี้เมื่อเสียงระฆังดังออกมา ผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ก็แห่กันไปยังลานสี่เหลี่ยมจัตุรัสเมืองหานเสวี่ย ซึ่งอยู่ในทิศตะวันออกของเมือง

เมื่อเมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้นบนยักษ์เถื่อนที่กำลังเดินย่ำเท้ามา ทำให้กลายเป็นจุดเด่นพอสมควร แม้แต่ผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไป ก็ยังมองเห็นรูปร่างที่ใหญ่โตของยักษ์ตนนี้ได้

เสียงพึมพำดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่ยักษ์เถื่อนก้าวเท้าตรงมาอย่างรวดเร็ว มันไม่จำเป็นต้องบินมา เพียงแค่หนึ่งก้าวของมันก็ทำให้เคลื่อนกายตรงไปได้ถึงสามสิบกว่าจ้าง

เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบนศีรษะยักษ์ สายลมพัดเป็นเสียงหวีดหวิวที่ข้างหู เกล็ดหิมะเต้นไปมาในอากาศที่หนาวเย็น เขาไม่สนใจพวกที่มองมาทั้งหมด เพียงส่งผ่านคำสั่งอย่างเงียบๆ ไปยังยักษ์เถื่อน ด้วยดวงตาที่ปิดอยู่

ภายในช่วงสูดลมหายใจเข้าออกสิบครั้ง เขาก็ลืมตาขึ้นมา พบว่ายักษ์เถื่อนกำลังก้าวเท้าข้ามแม่น้ำที่จับตัวกันจนเป็นน้ำแข็ง วิ่งเข้าไปในเมือง จากนั้นพวกเขาก็มาถึงเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัสเซิ่งเสวี่ย

เขตสี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนนับร้อยมานานแล้ว รวมตัวกันเป็นรูปวงกลมอย่างหนาแน่น การปรากฎตัวของยักษ์เถื่อน ทำให้พวกมันต้องเปิดทางให้ในทันที ใครก็ตามที่มองเห็นยักษ์ซึ่งสูงสามสิบจ้างวิ่งตรงเข้ามา ราวกับภูเขากำลังตกลงมา ก็ต้องรีบถอยไปด้านหลังโดยไม่ต้องขบคิดใดๆ

ตรงจุดกึ่งกลางของลานสี่เหลี่ยมว่างเปล่า เมื่อพิจารณาถึงศักดิ์ฐานะในเมืองเซิ่งเสวี่ยของโจวเต๋อคุน ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่จำเป็นต้องมานั่งรอคอยใคร

ทันทีที่ยักษ์เถื่อนเข้าไปในลานสี่เหลี่ยม ร่างเมิ่งฮ่าวก็แวบขึ้นขณะที่เขาบินตรงไป ดวงตาของผู้ฝึกตนนับร้อยจ้องนิ่งมา ขณะที่เขาพุ่งทะยานผ่านพวกมันไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เกิดเป็นความเงียบขึ้นโดยสิ้นเชิง เมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามาในจุดกึ่งกลางลานสี่เหลี่ยมจัตุรัส

เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว แต่หิมะก็ยังคงตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนกับที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ตกลงไปบนร่างของผู้มาเฝ้าชม และไปเกาะอยู่บนเส้นผมของพวกมัน

เมิ่งฮ่าวมองไปยังพวกมันอย่างสงบนิ่งขณะที่เขารอคอย

“นั่นก็คือผู้เชี่ยวชาญด้านพิษ ที่จะใช้การช่วยปรุงยาพิษเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวไหมหิมะเยือกเย็น จากตระกูลหานเสวี่ย”

“ถ้าคนผู้นี้ไปอยู่ที่เมืองอื่น มันอาจจะทำให้เกิดความประทับใจอันยิ่งใหญ่ขึ้นได้ แต่โชคร้าย นี่คือเมืองเซิ่งเสวี่ย และพวกเราก็มีโจวเต๋อคุนต้าซืออยู่”

“ในการต่อสู้วันนั้น โจวต้าซือกำลังปรุงเม็ดยาถึงจุดสำคัญอยู่ จึงไม่ได้มาร่วมต่อสู้ด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไม โจวต้าซือถึงไม่มีโอกาสได้แสดงพลังแห่งพิษของท่านได้เหมือนกับคนผู้นี้”

พวกที่มุงดูพูดคุยกันในช่วงสั้นๆ ก่อนที่สี่ลำแสงได้ปรากฎขึ้น สี่คนปรากฎขึ้นมาในลานสี่เหลี่ยม ติดตามด้วยสมาชิกตระกูลหานเสวี่ยอีกสิบกว่าคน

หนึ่งในนั้นเป็นหานเสวี่ยชาน ซึ่งมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความกังวล

สำหรับบุคคลทั้งสี่ พวกมันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นสี่ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหานเสวี่ย ผู้อาวุโสอันดับแรกยืนอยู่ที่นั่น

ร่างเตี้ยเล็กราวกับคนแคระ แต่ก็กระจายพลังจากพื้นฐานฝึกตนออกมาจนดูเหมือนจะสะกดข่มผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ไว้ คนทั้งหมดจ้องมองไปยังผู้อาวุโสอันดับแรกในทันทีด้วยความเคารพเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

ผู้อาวุโสอันดับสองและสี่ รวมถึงหญิงชรา ซึ่งเป็นผู้อาวุโสอันดับสาม ทั้งหมดต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญวิญญาณแรกก่อตั้ง การปรากฎตัวของพวกมันทำให้ทุกคนหยุดพูดในทันที

สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงเรียบนิ่งเหมือนเช่นเคย จากตอนที่สี่ผู้อาวุโสมาถึง หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกห้าครั้งผ่านไป โจวเต๋อคุนก็ปรากฎตัว มันเดินเนิบนาบเข้ามาในลานสี่เหลี่ยม ขนาบข้างด้วยหญิงสาวที่งดงาม ดูแล้วสูงส่งสง่าอย่างน่าเหลือเชื่อ

ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่มามุงดู มองไปที่มันด้วยสีหน้าเคารพเลื่อมใส ยิ้มออกมาและประสานมือคารวะ

“ขอคารวะโจวต้าซือ!”

“ขอบคุณมากสำหรับเม็ดยาที่ท่านแจกจ่ายให้, โจวต้าซือ ข้าเกือบจะทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนแล้ว ถ้ามีสิ่งใดที่ท่านต้องการ ข้าจะจัดหามาให้เพื่อเป็นการตอบแทน!”

“ฮา ฮา, แค่ไม่พบกันเพียงไม่กี่วัน, โจวต้าซือ ท่านยิ่งดูสง่ามีราศีมากขึ้นกว่าเดิม”

คำพูดเช่นเดียวกันนี้ดังเต็มอยู่ในอากาศ ทำให้โจวเต๋อคุนยิ้มอย่างภาคภูมิใจออกมา หลังจากที่เข้ามาในลานสี่เหลี่ยม มันก็ทักทายสี่ผู้อาวุโส และจากนั้นก็มองอย่างหยิ่งยโสมายังเมิ่งฮ่าว

“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” มันกล่าวเสียงราบเรียบ ด้วยท่าทางวางตัวเป็นผู้อาวุโสของเต๋าแห่งการปรุงยา

“ฟางมู่” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบพร้อมไอออกมาเบาๆ เขามองไปยังโจวเต๋อคุน และแอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาเคยกังวลใจเกี่ยวกับมันมาเป็นเวลานาน แต่จากที่เห็น มันกำลังไปได้ดีเลยทีเดียว

เมื่อได้ยินนาม ฟางมู่ ก็ทำให้โจวเต๋อคุนจ้องมองมาด้วยความตกตะลึง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!