ตอนที่ 391
เริ่มเข้าไปในเผ่าอูต๋า
ไม่มีใครอยู่รอบๆ บริเวณนั้น มีแต่ความเงียบสงบ เป็นเวลาดึกยามราตรี ทันทีที่เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมาจากการเคลื่อนย้ายทางไกล ร่างเขาก็แวบขึ้นและหายตัวไปในทันที ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งตรงยอดต้นไม้ในที่ห่างไกลออกไป จากนั้นเขาก็ตรวจสอบรอบๆ บริเวณนั้นอย่างละเอียด
มองไม่เห็นยักษ์เถื่อนและกู่ลา ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องขมวดคิ้ว
ขณะที่กำลังพึมพำกับตัวเอง นกแก้วก็โผล่ออกมาจากภายในเสื้อคลุมยาวของเขา มันกระพือปีกและดมกลิ่นไปมา จากนั้นความเบิกบานใจก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของมัน
“มีกลิ่นอายโบราณอยู่ในสถานที่แห่งนี้ อา, อู่เหยียชอบที่นี่ ข้ารู้สึกอยากจะท่องบทกลอนขึ้นมาสักเล็กน้อย…”
“เจ้าชั่วร้าย, ไร้ศีลธรรม, เจ้านกไร้ยางอาย! เจ้าคิดว่าอยากจะท่องบทกลอน!? ช่างเหม็นคลุ้งราวกับอุจจาระนัก!” แน่นอนว่า ระฆังผีโต้งไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะโจมตีนกแก้ว มันเริ่มพูดรัวเป็นเสียงดังมากยิ่งขึ้น
เมิ่งฮ่าวใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านพื้นที่บริเวณนั้น หลังจากทื่ยืนยันได้ว่าไม่มีอันตรายใดๆ อยู่ใกล้ๆ พื้นที่แถบนี้ เขาก็ถอดหน้ากากสีโลหิตออก และหยิบเอาแผ่นหยกที่
เหยียนซงให้เขาออกมา หลังจากที่มองไปโดยละเอียด ก็พบว่ามันประกอบไปด้วยแผนที่ รวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับห้าชนเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์
เมิ่งฮ่าวตรวจสอบแผนที่ จากนั้นก็มองไปยังด้านนอกที่ห่างไกล
“มีบางอย่างที่ไม่ตรงกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ดูเหมือนจะเป็นการตั้งใจทำเช่นนี้ เหยียนซงคงไม่ได้เชื่อถือทุกคนมากมายเท่าใดนัก” เมิ่งฮ่าวหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา
จากนั้นก็หยิบเอาลูกทรงกลมที่เรืองแสงของหลีเทียนออกมา ตรวจสอบมันอย่างละเอียดด้วยวิธีการที่แตกต่างกันหลายอย่าง ก่อนจะในที่สุดเขาก็ไปพูดแทรกการโต้เถียงของผีโต้งและนกแก้ว และสอบถามความคิดเห็นของพวกมัน
นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการได้รับข้อมูลของสิ่งต่างๆ นกแก้วตบไปที่หน้าอกของมัน และจากนั้นก็พ่นก้อนทรงกลมที่ส่องแสงหลากสีออกมา เพื่อตรวจสอบก่อนที่จะโบกสะบัดให้หายไป
“ไม่มีปัญหา ไม่ต้องกังวลใจ เมื่ออู่เหยียออกโรง หนึ่งอู่เหยียมีค่าเทียบเท่ากับสอง!”
“เจ้าสองคน?” ผีโต้งกล่าวอย่างอิ่มเอมใจ “เจ้ามีความสามารถในการแยกร่างออกเป็นสอง? อืมม จริงๆ แล้วเจ้าน่าจะพูดว่า ‘เมื่อซานเหยียออกโรง หนึ่งซานเหยียมีค่าเทียบเท่ากับสาม!” ทันใดนั้น ร่างของมันก็เกิดเป็นเสียงปะทุขึ้น ขณะที่มันกลายร่างเป็นระฆังเล็กๆ สามใบ ซึงพันติดอยู่กับขาของนกแก้วทั้งหมด
ดวงตานกแก้วหดเล็กลงด้วยความดูถูก
“เจ้ารู้หรือไม่ เหตุผลที่ข้าถูกเรียกว่าอู่เหยีย (ปู่ห้า) ก็เป็นเพราะข้าคือนกแก้ว แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า นกแก้วคืออะไร, หือ? คำว่า อู่ (鹉 = นกแก้ว) ออกเสียงเดียวกันกับคำว่า อู่ (五 = ห้า) นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมข้าถึงเป็นอู่เหยีย แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าสารเลว!”
ผีโต้งโกรธเกรี้ยว มันรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกเลือกปฏิบัติอีกครั้ง ระฆังทั้งสามใบส่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดแหลมเล็กขึ้นพร้อมกัน
“ข้าเรียกว่าซานเหยีย (ปู่สาม) และนั่นก็เป็นคำเรียกขานด้วยเช่นกัน เพราะข้าสามารถนับได้ถึงสาม! นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมข้าถึงเป็นซานเหยีย! แล้วยังไง? เจ้ามีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้?!?!”
ในตอนนี้ ดูเหมือนผีโต้งจะค่อนข้างฮึกเหิมและมีความเชื่อมั่นในความคิดของมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะได้พบเห็นนัก ทำให้นกแก้วอ้าปากค้าง
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอ และไม่สนใจสหายตลกทั้งสอง เขามองกลับไปยังแสงลูกทรงกลมในมือ และครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ต่อมา เขาก็มองไปยังแหวนที่อยู่บนนิ้วมือข้างขวา ซึ่งแน่นอนว่า นี่เป็นร่างแปลงของดักแด้ไร้ตา เขาถอดมันออกมาอย่างรวดเร็ว และให้มันกลายร่างกลับไปเป็นดักแด้ไร้ตาเหมือนเดิม จากนั้นเขาก็หลอมรวมมันเข้ากับแสงลูกทรงกลมนั้น
ดักแด้ไร้ตาค่อยๆ จางหายไป แสงเจิดจ้าก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้น มันก็เปลี่ยนเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งภายในเป็นดักแด้ไร้ตา
เมิ่งฮ่าวใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านภาพศักดิ์สิทธิ์นี้ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรมาสะกดพลังของดักแด้ไร้ตาไว้ เขาก็ยกมือขวาขึ้นมา และกดลงไปบนภาพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจากนั้นมันก็ค่อยๆ จมลงไปในผิวหนังที่หลังมือข้างขวาของเขา ต่อมา รอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฎขึ้น
ทันทีที่รอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ปรากฎขึ้น เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายเขากำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่กลิ่นอายของผู้ฝึกตนทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็นกลิ่นอายของภาพศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งเหมือนกับเป็นผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกเป็นอย่างยิ่ง!
เมื่อตรวจสอบโดยละเอียด ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็เต็มไปด้วยความเข้าใจ พื้นฐานฝึกตนของเขายังคงมีอยู่ แต่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยการป้องกันอีกหนึ่งชั้น ไม่ว่านี่จะเป็นวิชาเวทอะไรก็ตาม แต่มันก็กระจายกลิ่นอายของภาพศักดิ์สิทธิ์ออกมา ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวจึงไม่ใช่ผู้ฝึกตนแห่งดินแดนด้านใต้อีกต่อไป แต่เป็นผู้ฝึกตนจากทะเลทรายตะวันตก
“หลี่เทียนผู้นี้มีความสามารถอย่างแท้จริง” เมิ่งฮ่าวคิด ยิ่งเขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งตระหนักว่าวิชานี้ช่างไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาหลังจากนั้น ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายเจิดจ้า ขณะที่เขากลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล นกแก้วและผีโต้งเร่งรีบติดตามไป โต้เถียงกันไปตลอดทาง ซึ่งแน่นอนว่า นกแก้วเป็นฝ่ายที่อยู่เหนือกว่าอย่างต่อเนื่อง
แต่ผีโต้งก็ไม่เคยจะยอมรับความพ่ายแพ้ มันยังคงส่งเสียงโวยวายไปเรื่อยๆ ว่า มันจะเปลี่ยนแปลงนกแก้ว และจะไม่มีวันยอมแพ้
เมิ่งฮ่าวตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าอูต๋าจากแผ่นหยก แต่ก็มีอยู่ไม่มากนัก “ชนเผ่าอูต๋าไม่ได้อ่อนด้อยเท่าใดนักในห้าชนเผ่าแรกเริ่มของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์” เขาพึมพำ “แต่พวกมันก็ไม่ได้โดดเด่นมากมายเท่าใดเช่นกัน อย่างดีที่สุด พวกมันถูกจัดอยู่ในอันดับสองจากล่างสุด…เมื่อดูจากข้อมูลนี้ พวกมันคงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกรุกรานจากชนเผ่าต่างๆ”
“เห็นได้ชัดว่า ชนเผ่าที่ใหญ่กว่าบางเผ่า ต้องการจะฟื้นฟูความรุ่งเรืองในอดีตของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ ด้วยเช่นนั้น จึงต้องมีการกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ภายใน ขณะที่ชนเผ่าต่างๆ พยายามที่จะกลืนกินชนเผ่าอื่นๆ ด้วยพลังการดิ้นรนจากภายในเช่นนั้น…ก็มักจะมีความโหดร้ายและนองเลือดมากกว่าสงครามที่ด้านนอกมากนัก”
“ชนเผ่านี้เน้นไปที่ภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ และมีความเชี่ยวชาญในวิชาการล่องหน…ดังนั้น อูมู่ จึงเป็นคนของชนเผ่านนี้อย่างแท้จริง” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และดวงตาก็เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง หนึ่งในเหตุผลหลักที่เขาเลือกชนเผ่าอูต๋าก็เนื่องมาจากภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ของอูมู่
“ภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ เหมาะสมกับข้ามาก ถ้าข้าได้ครอบครองภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้จากที่นี่ ข้าก็จะได้ก้าวเดินเข้าไปบนวิถีทางของวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสีเป็นก้าวแรก!” เมิ่งฮ่าวเร่งความเร็วขึ้น ขณะที่พุ่งออกไปยังที่ห่างไกล เมื่อทำเช่นนี้ เขาก็ค่อยๆ สะกดข่มพื้นฐานฝึกตนของตัวเองลงจนกระทั่งบรรลุถึงขั้นกลางพื้นฐานลมปราณ
นี่เป็นระดับที่เหมาะสมมากที่สุด เพื่อจะเข้าไปในชนเผ่า ด้วยฐานะผู้ติดตาม คงเป็นเรื่องไม่ดีนัก ถ้าจะมีพื้นฐานฝึกตนสูงมากเกินไป ตรงกันข้าม ถ้ามีพื้นฐานฝึกตนที่ต่ำมากเกินไป เขาก็คงจะถูกเหยียดหยามดูแคลน และคงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้
ยามรุ่งอรุณ แสงแรกกระจายปกคลุมไปทั่วพื้นดิน ผลักดันความมืดมิดให้จางไป ยามกลางคืนกลายเป็นช่วงกลางวันที่อบอุ่น ต้นไม้ใบดอกพริ้วไหวในสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่กระจายออกมา
ชนเผ่าอูต๋าตั้งอยู่ตรงบึงน้ำด้านล่างภูเขา บึงน้ำนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ใหญ่เพียงพอที่จะรองรับคนของชนเผ่าประมาณหนึ่งพันคน กลุ่มควันลอยขึ้นไปในอากาศจากบ้านที่ด้านล่าง เสียงเด็กวิ่งเล่นได้ยินออกมาในสายลมยามเช้าที่เต็มไปด้วยความสงบสุข
เพียงมองแค่แวบแรก ก็ดูเหมือนเป็นหมู่บ้านทั่วไป ไม่มีกำแพงล้อมรอบ มีเพียงต้นเถาวัลย์ที่เลื้อยขึ้นมารวมกันก่อตัวเป็นกำแพง แต่ก็เป็นเพียงต้นเถาวัลย์ธรรมดาทั่วไป ซึ่งจริงๆ แล้วก็เพียงพอที่จะรับมือกับใครบางคนที่แม้จะอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ ถ้าพยายามที่จะมาบุกรุกพวกมัน
ตรงจุดกึ่งกลางของชนเผ่า เป็นรูปปั้นของต้นไม้ขนาดใหญ่!
ต้นไม้นี้ปกคลุมไปด้วยใบไม้มากมายนับไม่ถ้วน แต่ละใบก็ส่องแสงของสัญลักษณ์เวทออกมา บางใบก็มีเส้นใยสีแดงพันไปรอบๆ ซึ่งมีกระดิ่ง และขวดใบเล็กๆ แขวนอยู่ เมื่อสายลมพัดมา ต้นไม้ไม่ได้ส่ายไหว แต่กระดิ่งและขวดเล็กๆ เหล่านั้นก็ส่งเสียงเป็นบทเพลงที่ไพเราะออกมา
มองเห็นบันไดศิลาเลื้อยไปรอบๆ ภูเขาที่ตั้งอยู่ด้านหลังบึงน้ำ เห็นได้ชัดว่าไม่มีอาณาเขตอื่นอีกที่ด้านหลังซึ่งเป็นของชนเผ่าอูต๋า
ที่ด้านหน้าของประตูใหญ่ มีเสาแห่งแสงพุ่งตรงขึ้นไปยังสวรรค์ แม้มองมาจากที่ห่างไกล ก็ยังสามารถเห็นใบไม้มากมายนับไม่ถ้วน หมุนพันไปรอบๆ ภายในลำแสงนั้น กระจายเป็นแรงกดดันอันแข็งแกร่งออกมา
ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านล่างเสาแห่งแสงก็คือ อูไห่ ทุกปีในช่วงเวลานี้ทางเผ่าจะทำการรับสมัครผู้ติดตามเป็นเวลาสิบวัน ผู้ฝึกตนเร่ร่อน หรือแม้แต่ผู้เดินทางมาจากสถานที่ห่างไกล ก็สามารถมาเข้าร่วมกับเผ่านี้ได้ คนทั้งหมดต่างก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันเพื่อจะทำเช่นนี้
จากมุมมองของผู้ติดตาม ชนเผ่าอูต๋าไม่ค่อยจะกระตือรือร้นในการรับสมัครพวกมัน แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ชนเผ่าอูต๋าก็ได้เปลี่ยนท่าทีเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปบ้างเล็กน้อย และยังได้ออกคำสั่งให้มีการรับสมัครเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ อูไห่ไม่ค่อยแน่ใจนักสำหรับเหตุผลในเรื่องนี้
“ไม่จำเป็นเลยจริงๆ” มันคิดพร้อมกับถอนหายใจ “เว้นแต่ว่าจะมีสงครามเกิดขึ้น แล้วทำไมถึงต้องรับสมัครผู้ติดตามมากมายเช่นนี้?” ทุกครั้งที่มันมองไปยังผู้ติดตามใหม่สิบกว่าคน ที่มาเข้าร่วมกับชนเผ่าเมื่อปีที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ มันก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีหญิงสาวในชนเผ่าบางคนดูเหมือนจะสนใจในกลุ่มผู้ติดตามใหม่นี้เป็นอย่างยิ่ง ทำให้อูไห่รู้สึกไม่ค่อยชอบอย่างแท้จริง
ในขณะที่อูไห่กำลังจมอยู่ในห้วงความไม่พอใจนี้ มันก็มองเห็นลำแสงพุ่งผ่านแสงตะวันใกล้เข้ามา ขณะที่เสียงแหลมเล็กแหวกฝ่าอากาศดังมา มันก็มองเห็นบุรุษหนุ่มอยู่ภายในลำแสงนั้น มีหน้าตาหล่อเหลา สวมใส่ชุดยาวสีเขียว และรอยยิ้มที่เจิดจ้า
“สหายเต๋า, ที่นี่คือชนเผ่าอูต่าหรือไม่?”
ดวงตาอูไห่แวบขึ้น ขณะที่มันมองไปยังบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาผู้นี้ ในจิตใจมัน เกิดความรู้สึกดูถูก ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกมักจะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน ยังมีบางคนที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับผู้ฝึกตนจากดินแดนด้านใต้
จากมุมมองของทะเลทรายตะวันตก ผู้ฝึกตนเช่นนั้น ไม่ใช่รูปแบบที่หญิงสาวจะพึงพอใจ ดังนั้น ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่ก็ไม่ทำให้อูไห่รู้สึกว่าเขาเป็นภัยคุกคามสำหรับมัน
อูไห่ชอบผู้ติดตามที่มีลักษณะเช่นนี้ สิ่งที่มันเกลียดก็คือ คนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่ามัน
มันลุกขึ้นมายืน เผยให้เห็นถึงรูปร่างที่สูงใหญ่และแข็งแรง มันมีสองรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งเป็นใบไม้ อีกหนึ่งเป็นเถาวัลย์ กระจายกลิ่นอายพื้นฐานฝึกตนของขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณออกมา
“ใช่แล้ว” มันกล่าว “ที่นี่คือชนเผ่าอูต๋า สหายเต๋า, ท่านต้องการจะเป็นผู้ติดตามของชนเผ่าอูต๋า? พวกเราสืบทอดกันมาอย่างยาวนานจากในอดีต พวกเราเป็นลูกหลานของชนเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าชนเผ่าที่ได้รับความนับถือมากที่สุดในทะเลทรายตะวันตก”
“ไม่มีเผ่าอื่นที่จะเทียบเท่ากับชนเผ่าอูต๋าได้อีกแล้ว ชนเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ได้แตกออกไปอีกหลายเผ่า แต่ก็เป็นเพราะว่าแต่ละเผ่าเหล่านั้น สันทัดในภาพศักดิ์สิทธิ์แต่ละธาตุที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีชนเผ่าไหนที่จะสามารถเปรียบเทียบกับชนเผ่าอูต๋าได้” อูไห่ตบไปที่หน้าอก ดูท่าทางมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ที่ได้เป็นคนของชนเผ่าอูต๋า
เมิ่งฮ่าวยิ้มออกมา ขณะที่มองไปที่มัน จากนั้น เขาก็หันหน้าไปมองที่หมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปปั้นต้นไม้นั้น ท่าทางตั้งอกตั้งใจปรากฎขึ้นบนใบหน้า
เมื่อได้เห็นเช่นนี้ อูไห่ก็กล่าวต่อ “การมาเป็นผู้ติดตามของเผ่าอูต๋า เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด สหายเต๋า ทันทีที่ท่านกลายเป็นผู้ติดตาม ท่านจะได้รับผลึกลมปราณครึ่งก้อน หลังจากผ่านการทดลองงานไปครึ่งปี ถ้าท่านถูกยอมรับ ก็จะกลายเป็นผู้ติดตามเต็มตัว ซึ่งสามารถใช้ภาพศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวทของชนเผ่าอูต๋าได้”
“ท่านคิดว่าอย่างไร? เป็นผลประโยชน์อย่างมากมาย, ใช่หรือไม่? ท่านสนใจหรือไม่?” อูไห่หัวเราะเสียงดังออกมา คำพูดของมันดังออกมาจากจิตใจ เผ่าอูต๋าได้ทำการรับสมัครผู้ติดตามมานานหลายปีแล้ว แค่สองปีล่าสุดนี้เท่านั้นที่หัวหน้าเผ่าซึ่งตระหนี่ถี่เหนียว และคนอื่นๆ จู่ๆ ก็ใจกว้างขึ้นมา
เมิ่งฮ่าวรู้สึกงงงันไปเล็กน้อย ก่อนที่จะมายังที่นี่ เขาได้คิดเกี่ยวกับเรื่องมาสมัครนี้ในหลายมุมมอง และได้เตรียมคำอธิบายไว้มากมาย เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกไล่ออกไป พยายามทำทั้งหมดเพื่อที่จะได้เข้าร่วมกับเผ่าอูต๋าได้อย่างแท้จริง
ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาได้เตรียมตัวมาทั้งหมดไร้ประโยชน์ใดๆ การกลายเป็นผู้ติดตามของเผ่านี้ช่างง่ายดายจนเมิ่งฮ่าวแทบไม่อยากจะเชื่อ
ดูเหมือนสิ่งที่เขาต้องทำทั้งหมดก็คือการพยักหน้า และเขาก็จะกลายเป็นผู้ติดตาม แทบจะง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง
“อย่าบอกข้านะว่า เผ่าอูต๋าไม่ได้กังวลว่า จะมีผู้คนมาด้วยเจตนาร้าย?” เมิ่งฮ่าวคิด “ทดลองงานครึ่งปี, อืม…ก็ดี นั่นคงเป็นจุดสำคัญ แม้จะเป็นเช่นนั้น มันก็ยังคงน่าเหลือเชื่ออยู่ดี” ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือลังเล เท่าที่คิด เรื่องราวดูเหมือนจะง่ายดายมากเกินไป ง่ายจนทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ