Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 4

ตอนที่ 4

กระจกทองแดง

หอเก็บของวิเศษ เต็มไปด้วยสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อเข้าไป สายตาเขาก็ต้องพร่ามัวเนื่องมาจากแสงอันระยิบระยับ แคร่หยกที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเต็มไปด้วยสิ่งของละลานตา เช่น ขวดวิเศษ, ดาบเล็ก, หยกประดับ และเพชรพลอย เมิ่งฮ่าวเริ่มหายใจหนักขึ้น หัวใจเต้นถี่รัว รู้สึกราวกับว่าโลหิตทั่วร่างฉีดพุ่งขึ้นสมอง เขาได้แต่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น

ในช่วงชีวิตของเมิ่งฮ่าว เขาไม่เคยเห็นทรัพย์สมบัติมากมายเช่นนี้มาก่อน รู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ใต้น้ำ หัวหมุนงุนงง คิดอยู่ภายในใจว่าอยากจะหยิบฉวยมาทั้งหมด แล้ววิ่งหนีจากไป

“มูลค่าของทรัพย์สมบัติพวกนี้…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ “…คงประเมินค่ามิได้ ค่าตอบแทนของการรับใช้เซียน มันช่างเหลือเชื่อนัก” เขาเดินผ่านแคร่หยกแคร่หนึ่งไป รู้สึกเต็มไปด้วยความตื่นเต้น โดยไม่รู้ตัวเขาเดินหน้าไปเรื่อยๆ คิดสงสัยไปว่าหอเก็บของวิเศษนี้มีถึงสามชั้น นี่เป็นเพียงชั้นหนึ่ง บางทีทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่ามากยิ่งกว่า เก็บไว้ชั้นบนสองชั้น

“เซียนอมตะ…ช่างร่ำรวยนัก!” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจยาว ทันใดนั้นสายตาก็รู้สึกถึงสิ่งของบางอย่าง วางไว้บนตำแหน่งที่สะดุดตา เขาสังเกตเห็นกระจกทองแดงบานหนึ่ง

เป็นกระจกที่มีร่องรอยของการกัดกร่อน ไม่ได้ดูพิเศษหรือแวววาวอันใด ดูแล้วก็เทียบไม่ได้กับทรัพย์สมบัติอื่นๆ ที่วางอยู่รอบๆ มัน

ด้วยความประหลาดใจ เมิ่งฮ่าวหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ มันดูค่อนข้างธรรมดา เหมือนสิ่งของทั่วไปในโลกของมนุษย์ปุถุชน ไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงความพิเศษแม้แต่น้อย แต่เมื่อที่นี่คือหอเก็บของวิเศษ เขาจึงคิดเอาเองว่า มันต้องมีคุณค่าบางอย่าง

“ศิษย์น้องช่างมีสายตาที่แหลมคมดีแท้” เสียงพูดดังมาจากด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าบุรุษผู้เฉลียวฉลาดผู้นั้น เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็ยืนอยู่ตรงนั้น มองไปที่กระจกทองแดง น้ำเสียงชมเชย มันกล่าวต่อไปว่า

“เมื่อเจ้าหยิบกระจกทองแดงนี้ขึ้นมา ก็หมายถึงโชคชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว มีตำนานมากมายเกี่ยวกับกระจกบานนี้ โดยเฉพาะเรื่องความลี้ลับของมัน ว่ากันว่ามีแต่บุคคลที่โชคดี เปี่ยมด้วยโชควาสนา ถึงจะสามารถครอบครองมันได้ ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจะเป็นบุคคลผู้นั้น ด้วยกระจกบานนี้ เจ้าสามารถควบคุมได้ทั้งสวรรค์และปฐพี”

ขณะที่พูดไป มันก็ถอนหายใจไปครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงของมันเหมือนจะมีพลังแปลกๆ ที่ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องชะงักงัน

“กระจกบานนี้…” เมิ่งฮ่าวมองไปที่กระจกอีกครั้ง ใบหน้าแสดงอาการแปลกๆ มันไม่ได้มีลวดลายแกะสลักที่สวยงาม มีแต่ร่องรอยของการกัดกร่อน ที่ทำให้มองแล้วยากที่จะเข้าใจ

“ศิษย์น้อง อย่าได้มองแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของมัน เจ้าควรรู้ไว้ว่า ของวิเศษที่ประกอบด้วยพลังปราณตามธรรมชาติ มักจะอำพรางตัวของมันเอง ในรูปแบบของสิ่งของธรรมดาทั่วไป ยิ่งดูต่ำต้อยมากเท่าไร มันก็ยิ่งล้ำค่ามากขึ้นเท่านั้น”

เห็นว่าเมิ่งฮ่าวกำลังจะวางกระจกทองแดงกลับไปที่ชั้นตามเดิม แต่บุรุษเฉลียวฉลาด ก็รีบเดินมาขวางไว้ก่อน มันมองเมิ่งฮ่าวด้วยท่าทีจริงจัง

“ศิษย์น้อง เมื่อเจ้าหยิบมันขึ้นมาแล้ว ก็หมายความว่าเจ้ากับมันมีโชคชะตาร่วมกัน เจ้าจะวางมันกลับที่เดิม เพียงแค่ว่ามันดูธรรมดาเกินไป? ข้ารับผิดชอบดูแลหอเก็บของวิเศษมาหลายปี และข้าก็รู้ประวัติความเป็นมาของ ของทุกชิ้นในหอนี้ เนิ่นนานปีมาแล้ว ที่กระจกทองแดงชิ้นนี้ ได้สร้างความปั่นป่วนใหญ่โตอยู่ในแคว้นจ้าว มันถูกสร้างขึ้นมาจากรังสีแห่งแสง ซึ่งส่องมาจากสวรรค์ หลังจากที่ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะได้มันมาครอบครอง ก็ได้ค้นคว้าหาความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในกระจกบานนี้ ซึ่งเชื่อว่ามันเป็นสิ่งวิเศษแห่งสวรรค์ แต่ในที่สุด ท่านปรมาจารย์ก็ไม่สามารถไขความลับของมันได้ แต่ได้กล่าวคำทำนายไว้ว่า บุคคลใดที่ได้ครอบครองมัน บุคคลนั้นจะสามารถโลดแล่นไปทั่ว ทั้งสวรรค์และปฐพี”

เมิ่งฮ่าวได้ยินชื่อของปรมาจารย์เอกะเทวะจึงชะงักงัน เขาเพิ่งมาที่สำนักสายนอก มีหลายสิ่งที่ยังไม่คุ้นเคย เขาเริ่มลังเล

“ท่านปรมาจารย์ได้ค้นคว้า แต่ก็ยังไม่เข้าใจ แล้วข้า…”

“เจ้ากล่าวผิดแล้ว ศิษย์น้อง ขอให้ศิษย์พี่ชี้แจงเถอะ ท่านปรมาจารย์ไม่ประสบความสำเร็จในการค้นคว้า ก็แสดงให้เห็นว่า มีบางสิ่งที่โดดเด่นและไม่ธรรมดาเกี่ยวกับอาวุธชิ้นนี้ ก่อนหน้านี้ ก็มีสิบคนหรือมากกว่านั้นนำมันไปศึกษา แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าใจวิธีการใช้มัน และก็ไม่มีใครเสียใจกับการตัดสินใจเลือกกระจกบานนี้”

“แล้วถ้า…ถ้าเจ้าเป็นบุคคลที่โชคชะตากำหนดให้เป็นผู้ครอบครองกระจกบานนี้? ถ้าเจ้านำมันไป เจ้าก็สามารถวางใจได้ ในอดีตศิษย์ที่นำกระจกบานนี้ไป ส่วนใหญ่ก็นำมันกลับมาภายในสามเดือน และศิษย์พี่ก็ยอมให้ศิษย์เหล่านั้น สามารถเลือกอาวุธเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ ถ้าเจ้าได้พูดคุยกับข้าบ่อยครั้งเข้า เจ้าจะเข้าใจเองว่าศิษย์พี่คนนี้เจรจาด้วยง่ายดาย ข้าไม่ต้องการให้ศิษย์น้องยุ่งยากใจ”

“ถ้าเจ้านำมันไป แต่ไม่สามารถค้นคว้าไขความลับของมันได้ เจ้าสามารถนำมันมาคืนได้ทุกเวลา และเปลี่ยนเป็นสิ่งของชิ้นอื่น แต่ถ้าเจ้าละทิ้งไปตั้งแต่ตอนนี้ และกลายเป็นว่า เจ้ามีโชคชะตาที่จะนำมันไปได้ แต่เจ้าไม่นำมันไป เจ้าก็จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่”

บุรุษฉลาดเฉลียว มองเมิ่งฮ่าวอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวลังเล มันก็ลอบหัวเราะ ศิษย์น้องใหม่ส่วนใหญ่มักจะถูกหลอกลวงได้ง่ายดาย สิ่งที่มันต้องทำทั้งหมดก็คือเล่าตำนานเกี่ยวกับกระจกบานนี้ให้ศิษย์ใหม่ทั้งหมดฟัง และกล่าวคำพูดอันยิ่งใหญ่เพื่อเกลี้ยกล่อมพวกมัน พวกศิษย์ใหม่ก็จะเริ่มตื่นเต้น

เรื่องประวัติและตำนานเกี่ยวกับกระจกบานนี้ มันมิได้โกหกเมิ่งฮ่าว เพียงแต่เมื่อใช้กระจกเป็นเหยื่อล่อ ทำให้มันได้เม็ดยาจำนวนไม่น้อย เพราะทุกคราที่นำกระจกมาคืน หาทางขัดขวาง ย่อมต้องเรียกร้องหินลมปราณ เพื่ออำนวยความสะดวก

“แต่…” เมิ่งฮ่าวได้ศึกษาเล่าเรียนและอ่านตำรามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงค่อนข้างฉลาด จากการแสดงออกที่ดูจริงจังของบุรุษตรงหน้า เขาคาดคะเนว่ากระจกบานนี้คงไม่ได้เป็นอย่างที่มันอธิบาย แต่บุรุษตรงหน้ามีความตั้งใจที่จะป้องกันเขาวางกระจกกลับไปที่เดิม ถึงจะแกล้งทำมันตกไปที่พื้นก็ดูเหมือนไร้ผล เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่หยิบมันขึ้นมาในครั้งแรก

“ศิษย์น้อง” มันพูดเคร่งเครียด เสียงทุ้มต่ำ “อย่าได้ละเมิดกฎตั้งแต่วันแรกเลย เมื่อเจ้าหยิบของบางสิ่งในหอเก็บของวิเศษนี้ขึ้นมา เจ้าก็ไม่อาจวางมันกลับลงไปได้” บุรุษหน้าเฉลียวฉลาด รู้สึกว่าสมควรแก่เวลาแล้ว นี่เป็นวิธีที่มันใช้เป็นประจำเพื่อให้ศิษย์ใหม่นำกระจกไป มันโบกแขนเสื้อขึ้น ลมหอบหนึ่งก็พัดพาเมิ่งฮ่าวออกไปจากหอเก็บของวิเศษ และวางเขาลงที่ฝั่งตรงข้าม เสียงประตูหลักของหอเก็บของวิเศษปิดดังปัง

เสียงของบุรุษหน้าเฉลียวฉลาด ดังมาจากด้านใน “ศิษย์พี่ใจอ่อนเสมอสำหรับศิษย์ใหม่ ถ้าเจ้าไม่ใช่เจ้าของกระจกที่แท้จริง เจ้าสามารถนำมันมาคืนได้ตลอดเวลา”

เมิ่งฮ่าวมองไปยังประตูที่ถูกปิด สีหน้าขมึงทึงเต็มไปด้วยความโกรธ จากนั้นก็ถอนหายใจ มองลงไปยังกระจกทองแดงในมือ คิดไปถึงคำพูดในบทแรกของตำรารวบรวมลมปราณ ถ้าปรมาจารย์เอกะเทวะได้ศึกษาค้นหาความลับของกระจกเป็นเรื่องจริง มันก็ต้องเป็นของวิเศษแน่ๆ เขาส่ายศีรษะ เก็บกระจกเข้าไปในเสื้อชุดยาว จากนั้นก็จ้องไปที่หอเก็บของวิเศษด้วยความเกลียดชังเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังกลับและจากไป

เขาเดินไปตามทางเดินสีเขียวของเขตสำนักสายนอก ใช้แผนที่ในแผ่นป้ายหยกเป็นตัวชี้นำ ประมาณยามเที่ยง เขาก็มาถึงบ้านหลังใหม่ มันอยู่ติดชายแดนทิศเหนือ ค่อนข้างห่างไกล บ้านหลังอื่นๆ ก็เต็มไปด้วยศิษย์สายนอกคนอื่นๆ

เขาผลักประตูเปิดออก ด้านในมีหนึ่งโต๊ะ หนึ่งเตียง เมิ่งฮ่าวยืนมองด้วยความรู้สึกค่อนข้างพอใจ ที่นี้ดีกว่าห้องของเขาในเขตแดนข้ารับใช้มากนัก

เขานั่งขัดสมาธิบนเตียง สูดหายใจเข้าลึกๆ ดึงกระจกทองแดงออกมาจากเสื้อยาว ศึกษาค้นคว้าอย่างรอบคอบ จนกระทั่งอาทิตย์สนธยาลาลับฟ้า เขาจุดตะเกียงน้ำมันและศึกษากระจกต่อไป แต่ก็ไร้ประโยชน์ มองไม่ออกว่ากระจกนี้ เอาไว้ทำอันใด

ไม่ว่าเขาจะมองยังไง กระจกทองแดงนี้ก็ดูเหมือนกระจกธรรมดาทั่วไปโดยสิ้นเชิง

ถึงยามดึก เมิ่งฮ่าววางกระจกไว้ด้านข้าง มองผ่านหน้าต่างไปที่ดวงจันทร์ คิดถึงเจ้าอ้วนและเสียงกรน เขาคิดถึงมันเล็กน้อย

จันทราส่องสว่างด้านนอก แสงจันทร์ตกกระทบไปที่ชายคาของหน้าต่าง ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ มีแต่เสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกันไปมา เมิ่งฮ่าวหายใจลึก คิดเกี่ยชีวิตหลายเดือนมานี้ เขารู้สึกเหมือนกับว่าได้ผ่านเข้าสู่ชีวิตใหม่

เขาพึมพำกับตัวเอง “ข้าไม่ใช่นักศึกษาในเมืองหยุนเจี๋ยอีกต่อไปแล้ว ข้าเป็นศิษย์สายนอกของสำนักเอกะเทวะ…”

เมิ่งฮ่าวรวบรวมความคิด ปิดตาลง แล้วนั่งสมาธิ ชักนำสายใยของพลังลมปราณหมุนวนไปมาในร่างรอบแล้วรอบเล่า เขาปฏิบัติแบบนี้มาหนึ่งเดือนเต็ม และเริ่มคุ้นเคยกับมัน

สิ่งแตกต่างอย่างนึงระหว่างศิษย์สายนอก และข้ารับใช้ คือ ไม่มีใครเตรียมอาหารให้ ศิษย์สายนอกทุกคนต้องดูแลตัวเอง หาอาหารกินเอง ถ้าไม่ทำ ก็จะหิวโหยจนตาย ไม่มีใครสนใจใครแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ ปี ไม่มีใครในศิษย์สำนักเอกะเทวะสายนอกเคยหิวโหยจนตาย

เมื่อบรรลุถึงขั้นหนึ่งของการรวบรวมลมปราณ ทุกคนสามารถดูดซับและปล่อยพลังลมปราณจากสวรรค์และปฐพี ด้วยเหตุนี้ แม้ไม่ช่วยบรรเทาความหิว แต่ช่วยดำรงชีวิตให้อยู่ต่อไปได้

หลายวันผ่านไป บ่ายวันหนึ่ง เมิ่งฮ่าวนั่งสมาธิอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านนอก เขาลืมตาขึ้นทันที เดินไปที่หน้าต่าง มองไปด้านนอก เขาเห็นศิษย์สายนอกคนหนึ่งนอนอยู่ที่พื้น ถูกศิษย์สายนอกคนอื่นเหยียบย่ำ ครั้งแล้วครั้งเล่า โลหิตไหลออกมาจากบาดแผลที่หน้าอก แต่ก็ยังไม่ตาย แค่บาดเจ็บ ศิษย์สายนอกที่เตะมัน ได้ยึดเอาถุงเก็บสมบัติ และเดินจากไปพร้อมเสียงแค่นในลำคออย่างเย็นเยียบ

ศิษย์สายนอกที่บาดเจ็บ พยายามลุกขึ้นยืน สายตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมรุนแรง เดินโซเซจากไป ศิษย์สายนอกคนอื่นๆ มุงดูด้วยความเย็นชา ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย

เมิ่งฮ่าวลอบมองดูอย่างเงียบๆ เขาได้เห็นฉากเช่นเดียวกันนี้นับครั้งไม่ถ้วน ในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา และเริ่มเข้าใจลึกซึ้งขึ้นถึงวิถีของศิษย์สายนอก

เจ็ดวันผ่านไป ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เมิ่งฮ่าวได้เห็นเหตุการณ์ที่ศิษย์สายนอกถูกปล้นทรัพย์ การต่อสู้และการแย่งชิงที่เกิดขึ้น ระหว่างศิษย์สายนอกด้วยกัน ทำให้เมิ่งฮ่าวเงียบขรึมขึ้นไปเรื่อยๆ

โดยเฉพาะสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขามากที่สุด ก็คือ เขาได้เห็นศิษย์สายนอกขั้นสอง หรือขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ ถูกสังหารโดยศิษย์คนอื่นๆ ในเขตสาธารณะ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องระมัดระวังตัว เมื่อเขาออกไปด้านนอก

ต้องขอบคุณที่พื้นฐานการฝึกฝนของเขายังต่ำมาก เขาไม่มีของวิเศษหรือสิ่งของมีค่าอันใด ทำให้ทุกคนส่วนมากไม่สนใจเขา

แท้จริงแล้ว การฝึกตนของเมิ่งฮ่าวหยุดนิ่งที่ขั้นหนึ่ง ส่วนขั้นสองของการรวบรวมลมปราณ ต่างจากขั้นหนึ่งอยู่มาก เขายังต้องการพลังลมปราณ แต่เนื่องจากการฝึกตามตำรารวบรวมลมปราณ ทำให้ร่างกายแบบมนุษย์ธรรมดาของเขาได้เปลี่ยนไป เช่นนี้ การที่จะเข้าสู่ขั้นสองของการรวบรวมลมปราณ จึงจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่า และใช้จำนวนของพลังลมปราณมากกว่าขั้นหนึ่งมาก

เช่นเดียวกัน เมิ่งฮ่าวขณะนี้ก็ได้เข้าใจว่าพรสวรรค์คืออะไร ความสามารถของร่างกายในการดูดซับพลังลมปราณจากสวรรค์และปฐพีก็คือพรสวรรค์ ยิ่งร่างกายมีพรสวรรค์มากเท่าใด พลังลมปราณที่ดูดซับได้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ด้วยช่วงเวลาที่ใช้ในการนั่งสมาธิสูดลมหายใจที่เท่ากัน คนที่มีพรสวรรค์ ก็ยิ่งดูดซับพลังลมปราณได้มากกว่า

จากการคำนวณของเขา การที่จะก้าวถึงขั้นสองของการรวบรวมลมปราณ อาจจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่ง หรือสองปี การก้าวไปถึงขั้นสาม ก็ยิ่งใช้เวลานานกว่านี้ไปอีกมากนัก

แต่ถ้าใช้เม็ดยา หรือหินลมปราณ ก็จะช่วยเพิ่มปริมาณพลังลมปราณ ทำให้ลดเวลาในการเลื่อนขั้นไปได้มาก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการแย่งชิงอันน่ากลัว เกิดขึ้นไปทั่วสำนักสายนอกทุกๆ เดือน ในวันที่มีการแจกเม็ดยา

“ผู้เข้มแข็งก็ยิ่งแกร่งกล้าขึ้นไป ผู้อ่อนแอก็ยิ่งตกต่ำลง” เมิ่งฮ่าวพูดเงียบๆ “นี่เป็นวิธีคัดเลือกศิษย์สายในของสำนัก”

ในเช้าวันหนึ่ง เมื่อท้องฟ้าเริ่มสลัวด้วยแสงยามเช้า เมิ่งฮ่าวนั่งสมาธิเหมือนเช่นเคย เขาไม่มีสิ่งของอันใดพิเศษที่จะช่วยรวบรวมลมปราณ ยกเว้นความตั้งใจมุ่งมั่น ดังนั้นเขาไม่เคยยกเลิกการนั่งสมาธิสูดลมหายใจ ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน เสียงระฆังดังก้องกังวานไปทั้วทั้งสำนัก เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นช้าๆ

“เสียงระฆังนี้…” เมิ่งฮ่าวสายตามุ่งมั่น เมื่อเขาเข้ามาสู่โลกความเป็นจริง ใบหน้าแสดงความตื่นเต้น เขารีบออกจากห้อง มองเห็นศิษย์สายนอกอยู่ทั่วทุกแห่ง เร่งรีบวิ่งไปในที่ห่างไกลออกไป

“เมื่อระฆังดังขึ้น ก็ถึงเวลาไปรับหินลมปราณและเม็ดยา”

“คงเป็นวันนี้แน่นอน” ผู้คนมากมายเริ่มวิ่งตรงไปที่ระฆัง ดูเหมือนว่าทุกคนที่เป็นศิษย์สายนอกต่างก็ไปที่นั่น

“วันแจกจ่ายเม็ดยา” เมิ่งฮ่าวเอ่ย หายใจเข้าเต็มปอด วิ่งไปพร้อมฝูงชน จนกระทั่งไปถึงจัตุรัสตรงจุดศูนย์กลางของสำนักฝ่ายนอก จัตุรัสผืนนี้มีขนาดกว้างใหญ่มาก รอบๆ มีเสาศิลาเก้าต้น แกะสลักเป็นรูปมังกรพันอยู่รอบเสา เปล่งแสงจ้าแสบตา บนเสาหลักมีแท่นเวที ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสิบจ้าง ปกคลุมไปด้วยเมฆหลากสีลอยวนไปมา ในกลุ่มเมฆมีเงาร่างเลือนลาง แลดูคลุมเครือ

ศิษย์สำนักสายนอกมากกว่าหนึ่งร้อยคน ยืนอยู่ที่นั่นในชุดเสื้อยาวสีเขียว คุยกันเสียงดัง และบ่อยครั้งที่มองไปที่แท่นเวทีแห่งกลุ่มเมฆหลากสี

จากนั้นไม่นานกลุ่มเมฆก็กระจายหายไป แทนที่ด้วยชายชราหน้าฝีดาษในชุดเสื้อยาวสีทอง สีหน้าแม้นไม่พิโรธก็ยังมีอำนาจ สองตาเปล่งประกายดุจสายฟ้า มีอีกสองคนที่ยืนอยู่เคียงข้างมัน เป็นบุรุษหนุ่มและหญิงสาว ทั้งคู่สวมใส่ชุดยาวสีเงิน บุรุษหนุ่มมีหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก สีหน้าเรียบเฉย มีบารมีแก่กล้า สำหรับหญิงสาว เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปที่นาง สายตาก็ต้องแข็งค้าง

สตรีผู้นี้ ก็คือ หญิงสาวที่นำเขามาจากภูเขาต้าชิง เมื่อสามเดือนก่อนนี่เอง

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!