Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 517

ตอนที่ 517

ความเก่งกล้าของจื่อเซียง

ในเวลาเดียวกับที่ นกแก้วและผีโต้งกำลังส่งเสียงแผดร้อง เงาร่างโปร่งแสงนั้นจู่ๆ ก็อ้าปากขึ้นพร้อมกับแค่นเสียงเย็นชาออกมา

ครั้งนี้มันไม่ได้เป็นเสียงดังก้องที่อยู่แค่ในจิตใจเท่านั้น มันอ้าปากขึ้นเพื่อเปล่งเสียงออกมาจริงๆ เสียงนี้ทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือนราวกับเป็นเวทอาคม

นกแก้วและผีโต้งเงียบลงในทันที

ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นสงบนิ่งเงียบลงโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวไม่อาจแม้แต่จะสูดลมหายใจเข้าไปได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นผู้ฝึกตนขั้นตัดวิญญาณ แต่นี่เป็นครั้งแรก…ที่เขาได้เผชิญหน้าด้วยตัวเองอย่างแท้จริง เป็นครั้งแรกที่เขาต้องพึ่งพาเพียงตนเอง เพื่อต่อต้านแรงกดดันบดขยี้ของขั้นตัดวิญญาณ

หลายปีก่อนที่เขาได้พบกับปรมาจารย์เอกะเทวะ เมิ่งฮ่าวได้เผชิญหน้ากับมันในฐานะเป็นผู้ผนึกอสูร สิ่งเดียวที่ปรมาจารย์เอกะเทวะกระทำในท้ายที่สุดก็คือ หลบหนีไปด้วยความขุ่นเคืองใจ

ต่อมาตอนที่อยู่ในเมืองเซิ่งเสวี่ย มรดกของตระกูลหานเสวี่ย ทำให้เมิ่งฮ่าวสามารถต่อสู้กับปรมาจารย์ตัดวิญญาณได้ อันที่จริง การต่อสู้ครั้งนั้นเมิ่งฮ่าวไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง แต่เกิดจากมรดกของหานเสวี่ยและฉีหนาน!

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องต่อสู้เพียงลำพังอย่างแท้จริง

แรงกดดันอันเข้มข้นกดทับลงมาบนร่างเมิ่งฮ่าว ราวกับเป็นพลังอำนาจแห่งสวรรค์ พื้นฐานฝึกตนของเขากำลังโคจรหมุนวนอย่างรวดเร็ว แสงห้าสีสาดประกายออกมาจากร่าง สำแดงพลังของห้าธาตุออกมา แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็ยังคงเต็มไปด้วยโลหิตในทันที

“ภาพศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุ ความคิดที่ดี” เงาร่างกึ่งโปร่งแสงกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ถ้าเจ้าทำให้มันมั่นคงได้ ก็คงจะไร้ที่เปรียบอย่างน่าทึ่ง โชคร้ายที่เจ้าทำไม่ได้ ด้วยการประสานรวมกันในตอนนี้ เจ้าสามารถจะกวาดล้างขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้ แต่เจ้าไม่อาจจะต่อต้านการโจมตีแม้แต่เพียงครั้งเดียวจากข้าได้ ช่างไร้เดียงสานัก” เสียงของมันไม่ได้เย่อหยิ่ง แต่เป็นความแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ความแข็งแกร่งนี้กระจายออกไปทั่วบริเวณนั้น ทำให้เกิดเป็นเสียงแตกร้าวดังก้องออกมา ขณะที่ในอากาศได้เกิดเป็นรอยแตกขึ้นทั่วทุกทิศทาง

“เจ้าสัตว์ปีศาจสวะทั้งสองตัวนี้ ไม่มีทางจะเป็นวิญญาณอสูรไปได้ ถ้าเจ้าไม่ยอมส่งมอบมา ข้าก็จะนำมันไปเอง ถึงแม้ข้าต้องบอกว่า ร่างของเจ้านี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว…” นอกจากเสียงแค่นอย่างเย็นชาเมื่อครู่นี้แล้ว เงาร่างโปร่งแสงก็ไม่ได้อ้าปากขึ้นอีก เสียงของมันดังก้องอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวอย่างต่อเนื่อง เมื่อมันพูดจบ ก็ยกมือขึ้นมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ และชี้นิ้วตรงมายังเมิ่งฮ่าว

ดรรชนีนั้นทำให้เกิดความรู้สึกหนาวเย็น เต็มไปทั่วบริเวณนั้นในทันที แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านร่างเมิ่งฮ่าว ตามมาด้วยความหนาวเย็นราวน้ำแข็ง

ตอนแรก ความหนาวเย็นนี้ดูเหมือนจะมีผลกระทบต่อร่างกายเขา แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นความหนาวเย็นที่เต็มอยู่ในจิตใจและวิญญาณ มันเป็นความหนาวเย็นที่มีผลกระทบต่ออารมณ์ทั้งเจ็ดและกามคุณทั้งหก ความหนาวเย็นนี้ดูเหมือนจะมีผลกระทบต่อความรู้สึกทั้งหมดของเมิ่งฮ่าว แช่แข็งพวกมันไว้ เปลี่ยนให้เขาตกอยู่ในสถานะเลือดเย็นไร้ความรู้สึกอย่างแท้จริง

การเปลี่ยนแปลงนี้แทบจะดูเหมือนว่า ได้ผลัดดันให้เขาตกอยู่ในสถานะที่พิเศษเฉพาะ เป็นสถานะที่เหมาะสมต่อการถูกยึดครอง

“พอแล้ว, พอแล้ว!” นกแก้วแผดร้องออกมา “ตัดวิญญาณน้องสาวเจ้าสิ! นี่ไม่ใช่ตัดวิญญาณ, สารเลว!! เมิ่งฮ่าว ถ้าเจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าจะไปหาใครบางคนมาช่วยแก้แค้นให้กับเจ้า…” ในเวลาเดียวกันนั้น ผีโต้งก็กำลังส่งเสียงแผดร้องคร่ำครวญออกมาด้วยเช่นกัน

เมิ่งฮ่าวไม่สนใจพวกมัน สีหน้าสงบนิ่ง ขณะที่ฉับพลันนั้น เขาก็เข้าใจถึงความหมายของความหนาวเย็นที่อยู่ภายในร่าง

“นี่ก็คืออาณาจักรแห่งเต๋า?” เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นดวงตาก็เริ่มเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้า “จื่อเซียง ถ้าท่านไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง ท่านก็คงต้องเข้าไปในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณด้วยตัวเองแล้ว” ทันทีที่เสียงของเขาดังก้องออกมา ดวงตาของเงาร่างโปร่งแสงนั้นก็แวบขึ้น แต่มือของมันก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ร่างเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง หัวใจค่อยๆ หยุดเต้นไปอย่างช้าๆ และอารมณ์ความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

นี่ไม่ใช่ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ หรือวิชาเวท แต่เป็นเพียงแค่การชี้ดรรชนี ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบสงบ แต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าเหลือเชื่อขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อกฎแห่งความเป็นจริง เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกพันธนาการไว้ ไม่อาจจะต่อต้านได้ ราวกับว่าพื้นฐานฝึกตนของเขาเหลืออยู่แต่เพียงในนามเท่านั้น ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อต้อต้านการโจมตีที่น่าประหลาดใจนี้จากอาณาจักรแห่งเต๋าได้

มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้เพื่อโจมตีกลับไป ก็คือใช้ฉีหนานเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อหลบเลี่ยงจากความตาย หรือใช้ปราณกระบี่เริงระบำเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้กระทำอย่างผลีผลาม นอกจากนี้ ก็ยังไม่ใช่ความจำเป็นอย่างถึงที่สุดที่เขาจะต้องใช้ไพ่ไม้ตาย เมื่อมาเผชิญหน้ากับขั้นตัดวิญญาณ

นั่นเป็นเพราะว่าเขายังมี จื่อเซียง!

เขาไม่ได้กังวลมากนัก รู้ดีว่าก่อนที่จะเข้าไปในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ ต้องมีใครบางคนให้ความสนใจเป็นอย่างมากในเรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไป

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะคาดเดาสถานการ์ผิดพลาด เขาก็ยังคงเตรียมพร้อมเพื่อกระทำการอย่างอื่นอีก ตอนนี้เจตจำนงแห่งฉีหนานกำลังหมุนวนอยู่ในจิตใจ พร้อมที่จะตื่นขึ้นมา

นั่นก็คืออีกเหตุผลที่ทำไมเขาถึงได้ดูท่าทางสบายๆ ตอนแรกกำลังจะจากไป แต่จากนั้นก็เฝ้ารออยู่ที่เดิม

ในเวลาเดียวกันนั้น ดวงตาเขาค่อยๆ เริ่มกลายเป็นสีฟ้าขึ้นอย่างช้าๆ แต่ในตอนนั้นเอง ที่เสียงแค่นอย่างน่ารักและรู้สึกรำคาญใจ ทันใดนั้นก็เต็มอยู่ในอากาศ ในเวลาเดียวกันนั้น ดอกบัวสีขาวก็เบ่งบานขึ้นที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว สีหน้าเงาร่างโปร่งแสงสลดลง

เสียงแตกร้าวดังก้องออกมา ขณะที่รอยแตกที่เต็มอยู่ในอากาศรอบๆ เมิ่งฮ่าว กระจายออกไปพร้อมกับเสียงระเบิด กลายเป็นเศษชิ้นส่วนมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งจากนั้นก็ระเบิดออก

ที่แปลกมากทั้งหมดก็คือ การระเบิดนี้จริงๆ แล้วก็เป็นแค่ภาพลวงตา การพลังทลายลงนี้ไม่ใช่การพังทลายลงอย่างแท้จริง แต่เป็นแค่ภาพลวงตา ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างแตกกระจายไป มันก็จางหายไป

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่ร่างกายกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงมีความหนาวเย็นหลงเหลืออยู่ ดูเหมือนว่าจื่อเซียงจะรู้สึกรำคาญใจ ขณะที่นางไม่ยินดีจะช่วยแก้ไขสถานการณ์นี้ให้กับเขา

แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่สนใจ เขายิ้มออกมาขณะที่สีในดวงตาได้กลับมาเป็นปกติ ขณะที่ร่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาก็ล่าถอยไปด้านหลัง ทันใดนั้น ก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวและดวงจันทร์สีดำ แม้แต่การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อยเขาก็ใช้ออกมา ขณะที่หลบหนีจากไปยังที่ห่างไกล!

เงาร่างโปร่งแสงขมวดคิ้ว และกำลังจะมุ่งหน้าตรงไปเพื่อไล่ล่า แต่ก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ นั่นเป็นเพราะว่าทันใดนั้น มันก็พบว่ามีใบหน้าที่เคร่งขรึมของหญิงสาว กำลังลอยอยู่กลางอากาศที่เบื้องหน้า

หญิงสาวนี้มีความงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ นางสวมใส่ชุดยาวสีเขียวอ่อน ชายแขนเสื้อปักเป็นลายดอกโบตั๋นสีฟ้าอ่อน และปักเป็นรูปเมฆมงคลด้วยด้ายเงิน ที่ด้านหน้าของชุดยาวถูกปกคลุมด้วยผ้าปักสีเหลืองอ่อน นางลอยตัวอยู่ในอากาศอย่างสง่างาม เสื้อผ้ากระพือพริ้วไปรอบๆ ตัว ราวกับเป็นต้นหลิวที่ลู่ไหวไปตามสายลม

บุรุษคนใดก็ตามถ้าได้มองเห็นนาง ต่างก็ต้องรู้สึกว่าจิตใจกำลังเต้นรัวด้วยความปรารถนา และเคลิบเคลิ้มไปกับความงดงามของนางอย่างแน่นอน ผิวกายของนางช่างละเอียดอ่อนจนดูเหมือนว่า แม้แต่สายลมเพียงน้อยนิดก็จะไปทำลายความประณีตนั้นลงได้ ใบหน้านางมีความงดงามอย่างไร้ที่ติ ราวกับว่าสิ่งสวยงามทั้งหมดในโลกนี้ จะกลายเป็นฝุ่นผงเมื่อมาอยู่ตรงหน้านาง ความงดงามของนางเป็นสิ่งที่ทำให้กลายเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ ไม่ว่านางจะไปยังที่แห่งใด

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ นางกำลังขบฟันแน่นอย่างมีโทสะ…ความสวยงามของนางดูเหมือนจะประกอบไปด้วยความต้องการสังหาร และสีหน้านางก็เคร่งเครียดจริงจัง ดูเหมือนนางจะไร้มารยาและมีเสน่ห์ ใบหน้าเกือบครึ่งเต็มไปด้วยความเย็นชา

ขณะที่นางเคลื่อนที่ตรงไป รอบๆ ร่างนางก็หมุนวนไปด้วยกลีบบุปผามากมายนับไม่ถ้วน ราวกับเป็นกระแสน้ำวน พวกมันเต้นไปมารอบๆ นาง บางกลีบก็ตกลงไปบนไหล่ ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้ดูงดงามราวกับเป็นภาพวาดอย่างน่าเหลือเชื่อ

นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็น จื่อเซียง!

หลังจากที่เผ่าห้าพิษถูกทำลายล้างไป ก็ดูเหมือนว่านางได้จากไปตามเส้นทางของตัวเอง แต่จริงๆ แล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ นางได้รักษาระยะห่างจากชนเผ่าของเมิ่งฮ่าวอยู่ในที่ห่างไกล นางไม่ต้องการให้เขาพบกับจุดจบที่ไม่เหมาะสม ถ้ามันเกิดขึ้นเช่นนั้น โอกาสที่นางจะมั่นใจถึงความสำเร็จในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณก็จะลดน้อยลง

นางได้เห็นเมิ่งฮ่าวส่งเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในดินแดนสีดำ และรู้สึกได้ว่ามีร่างจำแลงศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนขั้นตัดวิญญาณไล่ตามเขามาด้วยเช่นกัน ในตอนนั้น จื่อเซียงรู้ว่านางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงมือเท่านั้น

อันที่จริงนางไม่ต้องการจะลงมือ แต่เมื่อคิดว่าเมิ่งฮ่าวได้เรียกนางออกไป บังคับให้นางต้องลงมือ นางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเปิดเผยตัวตนออกมา แม้นางจะรู้สึกรำคาญเมิ่งฮ่าว แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก

“ท่านที่นับถือเป็นใคร?” เงาร่างโปร่งแสงถามพร้อมกับหรี่ดวงตาลง นี่เป็นครั้งที่สองที่มันได้อ้าปากขึ้นอย่างแท้จริง เสียงของมันฟังดูเก่าแก่และโบราณ

“ข้าคือกูไหนไหน่เจ้า! (น้องสาวของปู่เจ้า)” นางกล่าวด้วยสุ้มเสียงที่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง แต่คำพูดของนาง…เย็นชาตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

ดวงตาของเงาร่างโปร่งแสงสาดประกายความเย็นชาออกมา มันก้าวเท้าตรงมา จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นและชี้นิ้วออกไป

“ร่างจำแลงอันกระจ้อยร่อย!” จื่อเซียงกล่าวอย่างไม่พอใจ “เมื่อเห็นกูไหนไหน่แล้ว ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?!” ถึงแม้นางกำลังส่งเสียงด่าทอ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอารมณ์เสีย หรือไม่พอใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกยินดีด้วยซ้ำไป

ขณะที่นางพูดจา ก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ ทำให้กลีบดอกไม้ที่หมุนวนอยู่รอบๆ ตัวนาง ฉับพลันนั้นก็พุ่งตรงไปยังเงาร่างกึ่งโปร่งแสง

ที่ห่างไกลออกไป เมิ่งฮ่าวกำลังกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวบินฝ่าอากาศไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงระเบิดขนาดใหญ่ ดังมาจากด้านหลัง ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงของจื่อเซียงจู่ๆ ก็ดังก้องอยู่ในสองหูของเขา

“กูไหนไหน่ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะสร้างพลังเซียนขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อย, ตอนนี้มันได้หายไปจนหมดสิ้น! เมิ่งฮ่าว…ถ้าเจ้าไม่มาช่วยข้าตามนัดในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ กูไหนไหน่ต้องสังหารเจ้าให้ได้อย่างแน่นอน!”

เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งใดๆ เขาใช้วิชาระเบิดโลหิตในพริบตา พุ่งห่างออกไปในทันที

เขาไม่สนใจว่าจื่อเซียงจะทำอะไร แม้จะมีปรมาจารย์ตัดวิญญาณโผล่ออกมาจากดินแดนสีดำอีกคน และนางต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมาอีก นางก็ยังคงต้องหยุดคนผู้นั้นเพื่อให้เขามีโอกาสหลบหนีจากไป เมื่อไหร่ที่เขารอดพ้นไปจากเขตทางใต้ และหายตัวเข้าไปในทะเลอันไร้ขอบเขตแห่งวันสิ้นโลก การค้นหาเขาก็เหมือนกับการงมหาเข็มในกองหญ้า

ปรมาจารย์ตัดวิญญาณใดๆ ก็ตาม คงต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับการออกมาไล่ล่าเขาตามลำพัง นอกจากนี้เมื่อไหร่ที่พวกมันออกมาจากดินแดนสีดำ ก็อาจจะมีข้อพิพาทและเกิดการต่อสู้ขึ้นในช่วงที่พวกมันไม่อยู่ จึงทำให้พวกมันต้องลังเลเป็นอย่างมาก

เมิ่งฮ่าวได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ ในขณะที่ใช้ความเร็วทั้งหมดที่สามารถรวบรวมได้ พุ่งออกไปยังที่ห่างไกล

เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าจื่อเซียงได้ทำอะไรบ้างเพื่อขัดขวางศัตรูไว้ แต่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับการไล่ล่าใดๆ ตอนนี้ เขาใช้ความรวดเร็วอย่างสูงสุดเท่าที่สามารถทำได้ พุ่งผ่านเขตทางใต้ไปแล้วครึ่งทาง

ในตอนนี้ฝนม่วงได้ตกลงมามากขึ้น มองไม่เห็นทะเล แต่ก็ได้กลิ่นของน้ำทะเลลอยมาตามสายลม ฝนม่วงได้กัดกร่อนทุกสิ่งทุกอย่างไป บนพื้นดินด้านล่างมองไม่เห็นต้นไม้ พลังชีวิตกำลังถูกกำจัดไป และพลังลมปราณก็จางหายไป ไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อยนิด

เมิ่งฮ่าวมองเห็นชนเผ่าโจรอยู่ที่ด้านล่างเป็นระยะ ในที่สุด เขาก็มองเห็นต้วนหนานกวน

เขาหยุดอยู่ที่นั่นสักพัก มองไปยังเส้นทางบนภูเขาพร้อมกับถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา เขาไม่ได้อยู่นานไป ตลอดช่วงเวลานั้น ผู้ฝึกตนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในเขตนั้น ไม่ได้สังเกตเห็นเขาร่างเขาแวบขึ้น ขณะที่พุ่งตรงไปยังทิศเหนือด้วยความรวดเร็วสูงสุด

ตลอดช่วงการเดินทาง พื้นฐานฝึกตนของเขาเริ่มอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ท้องฟ้าห้าสีจางลงไป ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในขั้นกลางสูงสุดของวิญญาณแรกก่อตั้งอีกต่อไป แต่อยู่ในขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้ง

จากการคิดคำนวนของเมิ่งฮ่าว อีกไม่นานธาตุทั้งห้าก็จะกระจัดกระจายแยกออกจากกัน เมื่อถึงเวลานั้นพื้นฐานฝึกตนก็จะกลับมาอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณสีทองสมบูรณ์เหมือนเดิม

สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำต่อไปก็คือ ได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับทะเลแห่งฝนม่วง และหาวิธีหลอมรวมมันเข้ากับภาพศักดิ์สิทธิ์โลหิต จากนั้นเขาก็จะมีภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำเป็นของตัวเอง และสามารถก้าวเดินไป…บนเส้นทางแห่งวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี!

เมื่อถึงเวลานั้น ความสามารถของเขาก็จะทะยานขึ้นอย่างแท้จริง!

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก้มศีรษะลงขณะที่พุ่งตรงไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด สามเดือนผ่านไป พื้นฐานฝึกตนของเขาในตอนนี้ ได้กลับไปสู่ขั้นสร้างแกนลมปราณสีทองสมบูรณ์เหมือนเดิม ในที่สุดเขาก็ออกมาจากเขตทางใต้ของทะเลทรายตะวันตก และอยู่ในเขตภาคกลาง ที่นี่มีเพียงสิ่งเดียวที่มองเห็นได้ทั่วทุกทิศทาง ก็คือสิ่งที่ไร้ขอบเขตไม่รู้จบ…

ทะเลม่วง!

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!