Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 590

ตอนที่ 590

เจ้าช่าง…

“เงื่อนไขอะไร?” จื่อเซียงมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นสีหน้าที่เขินอายของเขา ทันใดนั้นนางก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานออกมา ดวงตาสาดประกายอย่างมีเสน่ห์น่ารัก

“เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์นัก!” จื่อเซียงหัวเราะออกมา “อายุก็ยังน้อย แต่ทำไมถึงได้คิดมากนัก” จู่ๆ สีหน้านางก็กลายเป็นเคร่งขรึม “แต่ข้าขอเตือนเจ้า ถึงจะเห็นว่าเจี่ยเจีย (พี่สาว) พูดจาอย่างไม่ค่อยถือตัวนัก แต่ข้าก็ยังครองพรหมจรรย์อยู่ ก่อนหน้านี้ข้าได้สาบานว่าจะอยู่เพื่อเต๋าไปตลอดชีวิต จะไม่ขอพูดถึงเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว”

“ดังนั้น เสี่ยวตี้ตี่ (น้องชาย) เจ้าควรจะยกเลิกความคิดเช่นนั้นไปได้แล้ว ข้าไม่มีทางจะเห็นด้วย!”เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้าง มองไปยังจื่อเซียงด้วยความงุนงง

“ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

“อย่าได้เสแสร้ง เจ้าคิดว่าเจี่ยเจียไม่เห็นสีหน้าแววตาของเจ้า? ฮึ่มมม! ชั่วชีวิตของเจี่ยเจียได้พบเห็นเรื่องราวเช่นนี้มามากพอแล้ว” ดูเหมือนว่านางจะลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็กัดฟันแน่นกล่าวต่อไป “ดี, ดี เมื่อพวกเรามีวาสนาต่อกัน ข้าก็จะยอมเจ้าสักครั้ง โดยให้เจ้าจับมือข้าได้ นี่ก็คือขีดจำกัดของข้าแล้ว!” ดูเหมือนว่าสำหรับนางแล้ว นี่ก็คือราคาอันยิ่งใหญ่ที่นางต้องจ่าย โดยไม่แม้แต่จะรอฟังคำตอบจากเมิ่งฮ่าว นางยื่นมือออกมาและคว้าจับไปที่มือของเขา

นางรีบปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าค่อนข้างเป็นสีแดงเรื่อ“พอใจแล้วยัง?” นางถาม

“หือ?” หลังจากนั้นชั่วขณะ ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็รวมชิ้นส่วนความคิดทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นออกมา นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ…

“ข้าไม่รู้สึกอะไรต่อหญิงสาวที่มีอายุมากจริงๆ…” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมกับไอแห้งๆ ออกมา

เมื่อจื่อเซียงได้ยินเช่นนี้ ดวงตานางก็เบิกกว้าง และบรรยากาศอันหนาวเย็น ฉับพลันนั้นก็กระจายออกมาจากรอบๆ ตัวนาง เมิ่งฮ่าวกระพริบตา จากนั้นก็โน้มตัวไปข้างหน้า และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เงื่อนไขของข้าก็คือ ข้าต้องเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปในอาณาจักรที่สาม”

จื่อเซียงขมวดคิ้ว จากนั้นมองมายังเมิ่งฮ่าว

“ความหมายของเจ้าคือ…? หือ!” จื่อเซียงต้องใช้เวลาอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะแสดงปฏิกิริยาใดๆ ในที่สุดนางก็เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิงยิ้ม ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว

“ตอนนี้ถุงสมบัติข้ามีหินลมปราณเหลืออยู่ไม่มากแล้ว” เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าเขินอายขึ้นอีกครั้ง

จื่อเซียงเอามือปิดปากเพื่อปกปิดรอยยิ้ม เงื่อนไขเช่นนี้ไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ ให้แก่นาง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่นางจะกล่าวปฏิเสธ เท่าที่นางคิด ตราบเท่าที่เมิ่งฮ่าวยอมช่วย ก็เป็นเรื่องง่ายที่นางจะยอมปฏิบัติตาม

จื่อเซียงกล่าวต่อไป “สระน้ำเซียนอสูร เป็นสถานที่สำคัญในสำนักเซียนอสูร เนื่องจากการช่วยเหลือจากสำนัก ข้าจึงมั่นใจถึงสิบส่วนว่าภายในเวลาไม่กี่เดือนนี้ ข้าจะมีคุณสมบัติพาเจ้าเข้าไปได้”

“มีเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำก็คือ แค่มากับข้า ถ้าพวกเราคุ้นเคยกับสถานที่ในตอนนี้ เมื่อถึงเวลาที่อาณาจักรที่สามเปิดออก พวกเราก็จะสามารถเข้าไปได้”

“เช่นนี้เป็นอย่างไร? ให้เวลาข้าหนึ่งเดือน ข้าจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้ได้ตัวตน ที่สามารถทำให้เจ้าเข้าไปในสถานที่ซึ่งพวกเราจำเป็นต้องไปได้ จากนั้น…” ก่อนที่นางจะกล่าวจบประโยค เมิ่งฮ่าวก็พูดแทรกขึ้นมา

“ในสวรรค์ชั้นแรกของสำนักเซียนอสูร” เขากล่าวเสียงราบเรียบ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความก้าวร้าว “ข้าสามารถไปที่ไหนก็ได้ นอกจากถ้ำแห่งเซียนของประมุขอีกหกคน ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ตัวตนใดๆ จากท่าน”

ดวงตาจื่อเซียงเบิกกว้าง ขณะที่นางจ้องไปยังเมิ่งฮ่าว อย่างช้าๆ แววตาอิจฉาริษยาก็ปรากฏขึ้น นางรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้อย่างช่วยไม่ได้ นางได้ลืมไปแล้วว่าบุคคลที่เบื้องหน้านี้มีบิดาเป็นประมุขยอดเขา

จากนั้นจื่อเซียงก็คิดไปถึงตัวตนของนางเอง และการที่สำนักต้องเตรียมการเป็นเวลานานหลายปี ต้องใช้ทรัพยากรและบุคคลไปมากมาย เพียงแค่จะให้นางประสบความสำเร็จในเวลาไม่กี่เดือนนี้

แต่เมื่อมาเปรียบเทียบกับเมิ่งฮ่าวและตัวตนของเขา ทั้งหมดนั้นก็แทบจะไม่มีอะไรเลย…

“ในบันทึกโบราณของสำนัก” นางกล่าว “มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับใครบางคนในสำนัก หนึ่งในนั้นก็คือเคอจิ่วซือ เจ้าก็คือคนที่ถูกตามใจ ซึ่งเคยทำความผิดมามากมายนับไม่ถ้วน จนไม่อาจจะคาดคิดได้ ทุกที่ที่เจ้าไปในสำนัก ความปั่นป่วนวุ่นวายก็จะติดตามไปด้วย เจ้ากดขี่ข่มเหงผู้คนไปทั่วทั้งบุรุษและสตรี จากการคาดคำนวน ในช่วงเวลาที่สำนักพังทลายลง เจ้ามีภรรยามากกว่าสี่ร้อยนาง และมีบุตรธิดามากกว่าสามพันคน!”

“เจ้าช่าง…” จื่อเซียงพูดค้างไว้

“เดิมทีชีวิตของเจ้านี้ช่างไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง” นางกล่าวต่ออย่างเงียบๆ “เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถจดบันทึกได้ทั้งหมด แต่ในสงครามครั้งสุดท้าย เจ้าก็ทุ่มสุดตัว แม้แต่อายุขัยของเจ้าก็ถูกใช้ออกมา เจ้าไม่เกรงกลัวต่อความตายเมื่ออยู่ในสนามรบ สุดท้ายก็มีชื่อเสียงโด่งดังในการต่อสู้ ภรรยาทั้งหมดของเจ้าได้ตายไป และเจ้าก็ฝังพวกนางอยู่ในยอดเขาแรก”

“บุตรธิดาของเจ้าก็ตายไปหมดสิ้นเช่นเดียวกัน และเจ้าได้ฝังพวกมันด้วยตนเองในยอดเขาสอง สำหรับยอดเขาสี่เป็นสถานที่ของหลุมฝังศพบิดาเจ้า สุดท้ายเจ้าก็ตัดสินใจที่จะฝังตัวเองอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน”

“วันที่สำนักถูกทำลายลง เจ้าและคนอื่นๆ เลือกที่จะตายไปพร้อมกับสำนัก เจ้าสังหารเซียนตระกูลจี้ไปได้มากมาย และขณะที่ความตายมาเยือนเจ้า ราชันจี้ก็มาถึงด้วยตัวเอง เพราะมันนับถือในจิตใจที่กล้าหาญของเจ้า มันเสนอหนทางให้เจ้ามีชีวิตรอดอยู่ต่อไป โดยสิ่งที่เจ้าต้องทำทั้งหมดก็คือก้มศีรษะให้มัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าได้ทำมาโดยตลอดในอดีตที่ผ่านมา”

“แต่เจ้าไม่ยอมก้มศีรษะ กลับเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเยาะเย้ยต่อสวรรค์ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปต่อสู้อีกครั้ง ในตอนที่กำลังจะตายไป เจ้าก็พุ่งมาจากด้านบนและตกลงไปในโลงของเจ้า ในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะตายไป เจ้าได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา”

ขณะที่เมิ่งฮ่าวรับฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้ สีหน้าเขาก็เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็เกือบจะดูเหมือนว่า เขารู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่นางกล่าวมา ได้เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ เมิ่งฮ่าวนิ่งเงียบไม่กล่าวอะไรออกมา

จื่อเซียงกล่าวต่อ “เจ้ากล่าวว่า…’ท่านพ่อ, ท่านภูมิใจในตัวข้าหรือไม่?’”

เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกราวกับว่าจิตใจกำลังจะระเบิดออกมา เขาหลับตาลงเป็นเวลานาน นานมากก่อนที่จะลืมขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเหตุผลบางอย่าง น้ำตากำลังไหลลงมาจากใบหน้าเขา

น้ำตาเหล่านี้ไม่ได้เป็นของเขา แต่ดูเหมือนจะมาจากความมืดอันลึกล้ำ

“ไม่ต้องพูดแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยอารมณ์ที่โศกเศร้า ขณะที่จู่ๆ เขาก็หมุนตัวและเดินห่างออกไป จิตใจเต็มไปด้วยความอ่อนไหวหม่นหมอง

ทันใดนั้น จื่อเซียงก็รู้สึกเสียใจที่ทำให้เขาไม่สบายใจ นางกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ได้ยินเสียงของเมิ่งฮ่าวลอยมา

“พวกเราจะมาพบกันอีกครั้งที่นี่ ในอีกสามวันข้างหน้า เพื่อเข้าไปในสระเซียนอสูร”

เมิ่งฮ่าวกลับไปยังยอดเขาสี่ ยืนอยู่ที่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียนของเขา และมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มืดลง ยามเย็นกำลังมาเยือน ดวงตะวันกำลังหายลับเหลี่ยมเขา ภายในจิตใจ เมิ่งฮ่าวมองเห็นภาพของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นกับเคออวิ๋นไห่หลังจากที่เขามายังสถานที่แห่งนี้

“ท่านก็คือบิดาของข้าในชาตินี้…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ คิดไปอีกครั้งว่าเคอจิ่วซือจะมีความรู้สึกเช่นไร เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อน ซึ่งบุคคลภายนอกไม่มีทางจะเข้าใจได้ ในโลกแห่งนี้ ในสวรรค์และปฐพีแห่งนี้ จากในสมัยโบราณจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ มีแต่เคอจิ่วซือเท่านั้นที่จะเข้าใจได้ ยกเว้นว่าในตอนนี้…ยังมีอีกหนึ่งคนที่เข้าใจ

มีเพียงคนทั้งสองเท่านั้นที่จะสามารถสะท้อน ถึงความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันได้ มีเพียงคนทั้งสองเท่านั้นที่เคยมีประสบการณ์ และอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน จนคล้ายคลึงกันเช่นนี้

“ผู้เป็นบุตรต้องการจะดูแลบุพการี แต่พวกท่านก็ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว…” เมิ่งฮ่าวหลับตาลง ถ้าเขาไม่ได้ทำความเข้าใจต่อเวทแยกวิญญาณ ก็คงจะเชื่อว่าเคอจิ่วซือได้ตายไปแล้ว แต่ตอนนี้เขามีความเข้าใจในเวทนี้แล้ว และเมื่อได้ยินเรื่องราวของจื่อเซียง ฉับพลันนั้นเมิ่งฮ่าวก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้น

เขาคาดคิดได้ว่า เลือดเนื้อและกระดูกของเคอจิ่วซือได้จางหายไปแล้ว ขณะที่ผ่านมานานหลายหมื่นปี สำนักเซียนอสูรกลายเป็นซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยซากศพ จนกระทั่งในที่สุดของวันหนึ่ง ร่างของเคอจิ่วซือก็ค่อยๆ ก่อตัวกลับเข้ามาจากความว่างเปล่า อยู่ภายในโลงศพ จากนั้นก็ลืมตาขึ้น

ในที่สุดก็มองเห็นท้องฟ้า และสำนักของมันอีกครั้ง มองไปรอบๆ ยังทุกสิ่งที่ครั้งหนึ่งมันรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ได้แตกต่างไปจากเดิมแล้ว มันเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ มันคิดถึงบิดา และเสียใจต่อชีวิตที่เหลวแหลกของมัน จนความเสียใจนั้นได้กลายเป็นหยดน้ำตา

แน่นอนว่า มันได้ร้องไห้อยู่บนยอดเขาสี่ มาอย่างยาวนาน

แน่นอนว่า มันยืนอยู่ที่นั่นมองออกไปยังทุกสิ่ง และรู้สึกราวกับว่ามีชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บปวดทรมานตลอดไป

แน่นอนว่า มันได้ยืนจิบสุราอย่างเงียบๆ อยู่หน้าหลุมฝังศพของบิดามัน พูดจาราวกับเป็นคนโง่ และโขกศีรษะลงไปที่พื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แน่นอนว่า มันได้ย่ำเดินไปทั่วทั้งสำนักเซียนอสูร ได้เห็นซากศพทั้งหมด รวมทั้งญาติสนิทมิตรสหายของมัน ทั้งผู้คนที่มันเกลียดชัง และผู้คนที่มันชื่นชอบ คนทั้งหมดเหล่านั้นได้กลายเป็นซากศพ และความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายของพวกมัน ก็กลายเป็นสายลมที่พัดผ่านไป ไร้ความกังวลใจอีกต่อไป

หลังจากที่กลับมายังยอดเขาสี่ และมองออกไปยังทุกสรรพสิ่ง มันก็ตระหนักว่า มันคือผู้พิทักษ์ของโลกแห่งนี้เพียงผู้เดียว

บางทีน่าจะถูกต้องมากกว่าถ้าจะกล่าวว่า มันไม่ใช่ผู้พิทักษ์แห่งสำนักเซียนอสูร แต่เป็นผู้พิทักษ์แห่งความทรงจำที่สวยงามของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับบิดามัน

ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวเข้าใจแล้ว เขาเข้าใจจิตใจของเคอจิ่วซือ และสิ่งที่มันกำลังคิดอยู่

“แน่นอนว่ามันอยู่ที่ข้างกายข้า” เมิ่งฮ่าวคิด “หรือบางทีอาจจะอยู่ในจิตวิญญาณของข้า มันกำลังเฝ้าดูข้าใช้ชีวิตของมันในรูปแบบของข้า เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างไปจากมัน ทุกครั้งที่ข้ามองไปยังท่านพ่อ แน่นอนว่ามันกำลังใช้สายตาของข้ามองไปยังท่านด้วยเช่นกัน”

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามสนธยาชั่วขณะอีกครั้ง จากนั้นก็หลับตาลง

สองวันต่อมา เป็นวันที่นัดพบกับจื่อเซียง เมิ่งฮ่าวออกไปจากยอดเขาสี่ และเดินทางไปพร้อมกับนางตรงไปยังยอดเขาเจ็ด!

นี่เป็นยอดเขาสุดท้ายในสวรรค์ชั้นแรก และก็เป็นยอดเขาที่มีความสำคัญมากที่สุดด้วยเช่นกัน

ด้านหลังของยอดเขาเจ็ด เป็นเขตต้องห้ามอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยกลุ่มหมอก ศิษย์ที่ไม่มีคำสั่งอนุมัติที่เหมาะสม ไม่อนุญาตให้ล่วงล้ำเข้าไปด้านในแม้แต่ครึ่งก้าว อันที่จริง มีน้อยคนมากที่จะรู้ว่า สิ่งที่อยู่ด้านในกลุ่มหมอกนี้คืออะไร

หลังจากที่ผ่านเข้าไป ก็มองอะไรไม่เห็น ต้องใช้เหรียญคำสั่งเพื่อค้นหาเส้นทางในกลุ่มหมอกเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้น

จื่อเซียงมีเหรียญคำสั่งเช่นนั้น แต่เมิ่งฮ่าวไม่มี

เมื่อคนทั้งสองมาถึงความสลัวเลือนลางนั้น ก็มองเห็นรูปปั้นศิลาขนาดใหญ่ ที่ดูคล้ายกับอสูรสองตน พวกมันมีแปดแขน และสี่ศีรษะ สูงถึงหนึ่งร้อยจ้าง จ้องมองออกไปทั่วทุกทิศทางอย่างดุร้าย

รูปปั้นทั้งสอง ถือกระบี่ศิลาขนาดใหญ่อยู่ในมือ ไขว้สลับกันเป็นรูปกากบาท แทงลงไปในพื้นดิน เพื่อก่อตัวเป็นประตูแห่งกระบี่

ประตูขนาดใหญ่นี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อผู้ที่ต้องการจะผ่านเข้าไป แต่ถ้าใครก็ตามพยายามจะเข้าไป โดยไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม คนผู้นั้นก็จะถูกสังหารไปในทันที

ใบหน้าจื่อเซียง ปกคลุมด้วยสีหน้าที่นับถือและหวาดกลัว นางคุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้ารูปปั้น และใช้สองมือชูแผ่นหยกสีม่วงดำสูงขึ้นไป ซึ่งก็คือเหรียญคำสั่งที่กระจายแสงอันนุ่มนวลออกมา ขณะที่แผ่นหยกลอยขึ้นไปในอากาศ ตรงไปยังมือขวาของรูปปั้น เมื่อแผ่นหยกตกลงไปบนมือของรูปปั้น จู่ๆ ดวงตารูปปั้นก็ลืมขึ้นมาในทันที มันค่อยๆ ดึงกระบี่ขึ้นมาจากพื้น เผยให้เห็นเส้นทางที่จะเข้าไป

เสียงอันทรงพลังดังกระหึ่มเต็มอยู่ในอากาศ “ผู้มีคุณสมบัติระดับสาม เจ้าต้องการจะไปในที่แห่งใด?”

“สระเซียนอสูร!” จื่อเซียงกล่าวตอบในทันที

“จากกฎข้อบังคับ” เสียงอันน่ากลัวนั้นกล่าวว่า “เจ้าสามารถท่องไปในที่แห่งนี้ได้แค่สามในสิบส่วนเท่านั้น และไม่อาจจะอยู่นานเกินกว่าสิบเก้าชั่วยาม”

จื่อเซียงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่พยายามระงับความตื่นเต้น ต้องใช้พลังจากสำนักไม่น้อย รวมถึงวิธีการพิเศษและต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิ่ว เพื่อให้ได้มาซึ่งเหรียญคำสั่งนี้

มันเป็นเหรียญคำสั่งที่มีคุณสมบัติอยู่ในระดับสาม แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง และก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นางเชื่อว่า จะสามารถได้รับสิ่งตอบแทนอันยิ่งใหญ่ในสถานที่แห่งนี้

ขณะที่นางลุกขึ้นยืน เหรียญคำสั่งก็ลอยกลับมา นางยื่นมือออกไปรับไว้ด้วยความระมัดระวัง นอกจากนี้ มันยังเป็นตัวแทนของผู้ที่มีคุณสมบัติระดับสาม จึงทำให้มันมีค่าอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากที่เก็บแผ่นหยกไว้แล้ว นางก็โค้งตัวลงต่ำให้กับสองรูปปั้น จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในเส้นทางระหว่างกระบี่ทั้งสองเล่ม มองกลับไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าเยาะเย้ยเล็กน้อย เท่าที่นางคิด เคอจิ่วซือในช่วงเวลานี้ อย่างมากที่สุด ก็น่าจะมีคุณสมบัติอยู่ที่ระดับสี่เท่านั้น

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปยังรูปปั้นอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน ก่อนที่จะเดินตรงไป ขณะที่เข้าไปใกล้ประตูกระบี่ กระบี่ที่เป็นของรูปปั้นด้านขวามือ จู่ๆ ก็เริ่มส่งเสียงดังกระหึ่ม

แสงเจิดจ้าพุ่งออกมาจากดวงตาของรูปปั้น ขณะที่มองลงมายังเมิ่งฮ่าว สายตาของมันดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความรู้แจ้ง

หลังจากที่มองแค่แวบเดียว ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถตรวจสอบเขาได้ทั้งภายในและภายนอก มันค่อยๆ ยกกระบี่ศิลาขึ้นไป เผยให้เห็นเป็นเส้นทาง

“คุณสมบัติของประมุข ท่านสามารถไปที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ และอยู่ด้านในได้ไม่จำกัดเวลา”

ดวงตาจื่อเซียงเบิกกว้าง และจิตใจก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้อง นางมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความงุนงง จิตใจแทบจะคลุ้มคลั่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!