ตอนที่ 594
เจ็บปวดไปทั่วร่าง
เมิ่งฮ่าวมีความทรงจำ ที่เกี่ยวข้องกับตัวนางค่อนข้างจะเลือนลาง จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ติดต่อกับนางมากเท่าใดนัก อันที่จริงถ้าเขารำลึกเรื่องราวได้อย่างถูกต้อง คนทั้งสองไม่แม้แต่จะเคยได้พบเจอกันมาก่อน
มีเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อคนทั้งสองเข้าด้วยกัน นั่นก็คือ การคัดเลือกบุตรเขยของตระกูลซ่ง ในตอนท้าย ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่คนทั้งสองก็ยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันถ้าจะพูดให้ถูกต้องมากที่สุด นี่ก็คือ…ว่าที่ภรรยาของเมิ่งฮ่าวจากตระกูลซ่ง
เพราะว่านางเป็นบุตรสาวแห่งตระกูลซ่ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะมีคนรักคนอื่น ถึงจะไม่ใช่เหตุการณ์หลังการคัดเลือกบุตรเขย ด้วยชื่อเสียงของนางและใบหน้าของตระกูลซ่ง ก็ไม่อนุญาตให้นางกระทำเช่นนั้น
หลังจากที่เมิ่งฮ่าวหลบหนีจากไป ตระกูลซ่งก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับบุคคลภายนอก แต่สำหรับหญิงสาวเยาว์วัย เรื่องทั้งหมดนี้ได้ทำให้นางรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย
นางเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนละมุนละไม ถึงแม้นางจะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น แต่จิตใจนางก็อ่อนแอ ทำให้เป็นเรื่องยากที่นางจะเข้มแข็งขึ้นมาได้ คล้ายกับเป็นบุปผาที่อยู่ในเรือนเพาะชำ ซึ่งหวาดกลัวต่อลมฝนที่โลกภายนอก
นั่นก็คือสิ่งที่เมิ่งฮ่าวจดจำซ่งเจี๋ยได้ นางมีดวงตาที่งดงามและนุ่มนวล พร้อมกับบุคลิกท่าทางที่ดูอ่อนโยนและมีความอ่อนแออยู่ลึกๆ ข้างใน
ตอนนี้ได้ผ่านไปร้อยกว่าปีแล้ว ซ่งเจี๋ยได้เปลี่ยนไป ดวงตานางเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง และความอ่อนแอที่นางได้ปกปิดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ เมื่อหลายปีก่อนทั้งหมดนั้นได้จางหายไป นางเติบโตขึ้นแล้ว
นางได้แต่ต้องเติบใหญ่ขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก หลังจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งฮ่าว นางไม่มีทางเลือกที่จะหาสามีใหม่ได้ ที่แปลกไปกว่านั้น ปรมาจารย์ตระกูลซ่งไม่ได้เรียกร้องต่อนางเป็นพิเศษแต่อย่างใด และจริงๆ แล้วก็ได้ปฏิบัติต่อนางด้วยความสุภาพเป็นอย่างมาก จนแทบจะทำให้นางรู้สึกว่า นางก็คือบุคคลภายนอก
นางไม่เข้าใจเรื่องราวในตอนนั้น แต่หลายปีต่อมาก็เริ่มตระหนักว่า ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับนาง มันเริ่มขึ้นมาจากตอนที่คัดเลือกบุตรเขย…ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไป
นางได้เริ่มเข้าใจว่า นอกจากตัวตนของนาง ที่เป็นสมาชิกของตระกูลซ่งแล้ว นางยังมีเบื้องหลังอันลี้ลับบางอย่าง พลังของเบื้องหลังนั้นทำให้ใครก็ตามในตระกูลซ่ง ต้องสั่นสะท้านราวกับเป็นจั๊กจั่นในฤดูหนาว เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับนาง ราวกับพวกมันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับนางดี
ทรัพยากรทั้งหมดของตระกูล กลายมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับนาง จนมาถึงจุดที่ดูเหมือนว่า นางจะมีความสำคัญมากกว่าพี่ชายของนาง ซ่งอวิ๋นซู ทุกคำพูดของนางก็คือคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งนำไปสู่ความอิจฉาที่เพิ่มมากขึ้นของพี่ชายนาง ยิ่งมันต่อต้านนางมากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น แต่ในตอนที่อาณาจักรเซียนอสูรโบราณได้เปิดออก ซ่งอวิ๋นซูก็ยิ่งมีความก้าวร้าวมากขึ้นกว่าเดิม
อันที่จริงในอาณาจักรแรก ถ้าไม่ใช่เพราะว่านางได้ระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ นางก็คงจะตายไปในเงื้อมมือของมันแล้ว ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงอยู่ในจิตใจนาง
นางจดจำเมิ่งฮ่าวได้ในทันที ความรู้สึกอันซับซ้อน ซึ่งถูกขมวดเป็นปมมานานกว่าหนึ่งร้อยปี เต็มอยู่ในจิตใจนาง เมื่อสายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน นางก็พยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
เมิ่งฮ่าวมองกลับไปอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ จากนั้นก็มองไปทางอื่น
ในที่สุดเขาก็มองเห็นหลี่ซือฉี ทำให้ต้องคิดไปถึงหวังโหย่วฉาย ผู้ซึ่งเข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะพร้อมกับเมิ่งฮ่าวในปีนั้น เขายังคิดไปถึงเสียวหู่ ผู้ซึ่งเขาไม่ได้เห็นอีกเลย หลังจากที่ออกมาจากแคว้นจ้าว บางทีมันอาจจะจากไปพร้อมกับปรมาจารย์เอกะเทวะก็เป็นได้
ก่อนที่เขาจะตระหนักว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกถึงปีนั้น ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเก่าๆ ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจเมิ่งฮ่าว เขาแอบถอนหายใจออกมา บางครั้งเมื่อต้องมาพบเจอกับสหายเก่า ความรู้สึกเช่นนี้ก็ทำให้ต้องถอนหายใจด้วยความโศกเศร้าออกมา
หลี่ซือฉียิ้มน้อยๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ เมิ่งฮ่าวพยักหน้าให้ จากนั้นก็มองไปยังผู้ฝึกตนอื่นๆ จากดินแดนด้านใต้ ในกลุ่มคนที่เหลือซึ่งเขาไม่รู้จัก
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกนึกย้อนไปถึงเต้าจื่อแห่งตระกูลหลี่ ซึ่งได้ตายไปโดยเงื้อมมือเขา หลี่เต้าอี
บุรุษผู้นี้มีรูปร่างที่กำยำสูงใหญ่ พร้อมกับสายตาที่คมกริบราวใบมีด มันยืนอยู่ที่นั่นราวกับเป็นกระบี่ที่หลุดออกมาจากฝัก พร้อมที่จะกรีดเฉือนสวรรค์และปฐพีให้แยกออกเป็นชิ้นๆ
นี่ก็คือเต้าจื่อคนปัจจุบันแห่งตระกูลหลี่, หลี่เทียนเตา!
ยังมีผู้ฝึกตนอื่นๆ ที่ดูไม่ค่อยน่าประทับใจมากนัก เป็นชายชรารูปร่างผอมแห้ง ซึ่งมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีสีหน้าอิจฉาขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว เขาจำมันไม่ได้ แต่เมื่อมันยืนอยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนจากดินแดนด้านใต้คนอื่นๆ ก็ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวเกิดความรู้สึกเกลียดชังพุ่งขึ้นมาในทันที
เมื่อมองไม่เห็นใครจากสำนักจื่อยิ่น, สำนักอีเจี้ยน หรือผู้ฝึกตนใดๆ จากสำนักอื่นๆ ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกสงสัยขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะไปสอบถาม
ในที่สุด ก็เป็นผู้ฝึกตนจากทะเลทรายตะวันตก หรืออาจจะถูกต้องกว่าถ้าจะกล่าวว่าดินแดนสีดำ
มีจ้าวฟาง, ตั่วหลัน และอีกสองคนที่เขาไม่รู้จัก แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่เห็นปรมาจารย์ฮูเหยียน
มีผู้คนไม่น้อยในที่แห่งนี้ซึ่งเมิ่งฮ่าวไม่รู้จัก แต่ในทางกลับกัน ทุกคนในที่แห่งนี้ดูเหมือนจะรู้ดีว่าเขาคือใครเขาก็คือ เคอจิ่วซือ บุตรแห่งท่านประมุข ผู้ถูกตามใจจนกลายเป็นอันธพาลอันดับหนึ่ง แห่งสำนักเซียนอสูร เป็นผู้นำของพันธมิตรอสูร เขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก จนทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็รู้สึกอิจฉา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเกิดเหตุการณ์อันน่าตกใจในเจดีย์เซียนอสูร ทำให้ใครหลายคนเหล่านี้ต่างก็เกิดความอิจฉาอยู่ลึกๆ ในจิตใจ จนกลายเป็นความริษยาไป
สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ เมิ่งฮ่าวก็คือผู้ถูกเลือกแห่งอาณาจักรที่สองภาพลวงตาโบราณ ที่สูงส่งและน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่มองไปยังพวกมันทั้งหมดแล้ว เมิ่งฮ่าวก็ยิ้มกว้างออกมา เอนตัวไปพิงกรอบประตู กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “สหายเต๋าทั้งหลาย นัดข้ามาพบในที่แห่งนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?”
ตอนนี้เขาคล้ายกับเป็นผู้ที่ถูกตามใจอย่างแท้จริง โดยเฉพาะท่าทางที่ยืนพิงกรอบประตู ที่ดูเหมือนจะสบายๆ ไม่สนใจใดๆ ทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นต้องขมวดคิ้วขึ้น
แต่พวกมันก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ พวกมันเป็นศิษย์สายใน ความแตกต่างระหว่างศักดิ์ฐานะของพวกมันและเมิ่งฮ่าว ราวกับเป็นความแตกต่างระหว่างสวรรค์และปฐพี อันที่จริง พวกมันหลายคนไม่กล้าแม้แต่จะมาพบกับเมิ่งฮ่าวด้วยตัวเอง
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกมันถูกบังคับด้วยสถานการณ์ที่เร่งด่วน และต้องเผชิญหน้ากับผลประโยชน์อันน่าเหลือเชื่อที่เป็นไปได้ ซึ่งทำให้พวกมันไม่อาจจะปฏิเสธได้ ก็คงไม่มีทางจะยินดีให้เมิ่งฮ่าวมาเห็นพวกมันอยู่ในตำแหน่งเช่นนี้อย่างแน่นอน
บางคนยังได้พยายามที่จะหลบซ่อนใบหน้าไว้ หรือต้องการจะใช้วิธีอื่นเพื่อจัดการประชุมนี้ แต่ทันทีที่พวกมันเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว ผู้ซึ่งสามารถรับรู้ได้ว่าพวกมันเป็นใคร ความพยายามที่จะปกปิดตัวตนของพวกมันก็ไร้ประโยชน์
วิธีเดียวที่จะปลอดภัยอย่างแท้จริงก็คือ อยู่ให้ไกลจากเมิ่งฮ่าว แต่การประชุมครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง พวกมันจำเป็นต้องมีการแสดงออกที่ดี มิเช่นนั้นก็คงไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จได้แม้แต่น้อยนิด
จึงเป็นเหตุผลที่ทำไม ตระกูลฟางและจี้ ถึงได้รวมพลังกับคนอื่นๆ การรวมตัวเป็นพันธมิตรของพวกมันก็เพื่อศัตรูเพียงคนเดียวเท่านั้น, เมิ่งฮ่าว พวกมันรวมพลังทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อการเจรจาต่อรองที่จะเกิดขึ้นนี้นี่จึงเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่พวกมันทั้งหมดกล้าจะมาพบกับเมิ่งฮ่าวด้วยตัวเอง
ความขุ่นเคืองใจเช่นนี้ เป็นสิ่งที่กลุ่มคนที่คล้ายกับเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้าเช่นพวกมัน พบว่ายากที่จะยอมรับได้ในโลกภายนอกเช่นนี้
เมื่อคำพูดของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไป ทุกคนต่างก็เงียบเฉย ไม่มีใครกล่าวตอบ พวกมันทั้งหมดเริ่มสบตากันไปมา จนกระทั่งในที่สุด สายตาก็เริ่มไปหยุดอยู่ที่ตระกูลจี้และฟาง
สำหรับตระกูลจี้ พวกมันรักษาความเงียบไว้ และมองไปยังตระกูลฟาง
ฟางอวี๋กระแอมไอ และมองมายังเมิ่งฮ่าว
“พวกเรามีเรื่องที่อยากจะขอร้องให้เจ้าช่วย” นางกล่าว “แน่นอนว่าจะมีค่าตอบแทน และก็มากด้วย!” ไม่ค่อยชัดเจนนักว่าฟางอวี๋มีความเข้าใจในตัวเมิ่งฮ่าวดีเช่นนั้นได้อย่างไร แต่ทันทีที่คำพูดดังออกมาจากปากนาง ความสนใจของเขาก็ดูเหมือนจะปะทุขึ้นมา
“จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายดาย” นางกล่าวต่อ “แน่นอนว่าเจ้าคงมองเห็นขั้นบันได ที่กำลังลอยอยู่เหนือยอดเขาที่สามและสี่ในตอนนี้ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ ขึ้นบันไดนั้นไปจนถึงจุดบนสุด และออกจากสถานที่แห่งนั้นไป ก็แค่นั้น”
“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน พวกเราแต่ละคนจะมอบหินลมปราณให้กับเจ้าหนึ่งแสนก้อนเพื่อตอบแทน เจ้าดู…มีอยู่หลายสิบคนในที่แห่งนี้ ดังนั้น พวกเรากำลังพูดถึงหินลมปราณนับล้านก้อน ซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ได้มาอย่างง่ายดาย ด้วยการทำงานแค่เล็กๆ น้อยๆ เจ้าคิดว่าอย่างไร? เจ้าควรจะรับฟังพี่สาวบ้างนะ” ฟางอวี๋ขยิบตาให้กับเมิ่งฮ่าว หลังจากที่ช่วยเขาคิดคำนวนออกมา
“ข้าไม่คิดเช่นนั้นอาเจี่ย (พี่สาว) เมื่อไม่นานมานี้ข้าเพิ่งจะปวดหัวเป็นอย่างมาก…ไหล่ข้าก็ระบมขณะที่กำลังฝึกฝนร่างกาย และขาของข้าก็เช่นกัน ข้าคิดว่าคงไม่อาจจะปรับตัวให้เข้ากับสถานที่แห่งนี้ได้ ทุกวันจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา” เมิ่งฮ่าวกรอกตาไปมา จู่ๆ ก็มีท่าทางน่าสงสารขึ้นมาในทันใด
เมื่อเขากล่าวขึ้นเช่นนี้ ทุกคนก็มีสีหน้าน่าเกลียดขึ้นมาในทันที ถึงจะไม่มีใครพูดจาออกมา แต่พวกมันก็พูดพึมพำกับตัวเอง ผู้ฝึกตนรู้สึกปวดหัว? ใครจะไปเชื่อเรื่องเช่นนั้น?
ไหล่ระบมเพราะการฝึกตน ดูไม่เหมือนว่าเขากำลังฝึกฝนวิชาแมงมุมและคางคก แล้วไหล่เขาจะไประบมได้อย่างไรกัน…?
และจากนั้นก็เป็นสีหน้า ‘ไม่อาจจะปรับตัว’ ซึ่งทำให้พวกมันอยากจะก่นด่าสาปแช่งเขา ไม่มีใครในพวกมันที่จะเคยพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ แล้วเมิ่งฮ่าวจะมีได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น…พวกมันทั้งหมดได้ผ่านเข้ามายังที่แห่งนี้ ด้วยจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียว ใครจะเคยได้ยินมาว่าวิญญาณ ‘ไม่อาจจะปรับตัว’
“ดูนี่ ที่ลำคอข้า มันเจ็บปวดมากจริงๆ ตรงนี้” เมิ่งฮ่าวนวดไปที่จุดนั้น ถอนหายใจออกมา และกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าคงต้องกลับไปยังถ้ำแห่งเซียน เพื่อนอนพักสักเล็กน้อย ท่านพ่อได้เรียกให้ซือเม่ย (ศิษย์น้องผู้หญิง) บางคนมาช่วยข้านวด เพื่อช่วยกรุยทางให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก สำหรับเรื่องเล็กน้อยของท่าน ข้าเกรงว่าไม่อาจจะช่วยได้จริงๆ”
ทุกคนแทบจะคลุ้มคลั่ง แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสะกดข่มโทสะไว้ จากมุมมองของพวกมัน เมิ่งฮ่าวแค่กำลังแสดงถึงตัวตน ที่มีบิดาเป็นท่านประมุขออกมาอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น
เขากำลังจะเรียกซือเม่ยบางคนมาช่วยนวด เพื่อกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน…? คำพูดนี้ทำให้ผู้ฝึกตนบุรุษทั้งหมดต้องขบฟันจนแน่น
จากนั้น เมิ่งฮ่าวก็กล่าวคำพูดบางอย่างออกมา ซึ่งทำให้โทสะของพวกมันพุ่งสูงขึ้นไปอีก “ถ้าเช่นนั้น นี่ก็เริ่มจะมืดแล้ว ท่านพ่อกำลังรอข้ากลับไปกินข้าวเย็นด้วย ข้าต้องไปแล้ว” อ้าปากหาวออกมา หมุนตัวทำท่าจะจากไป
“พอได้แล้ว!” ฟางอวี๋ร้องคำรามออกมา กำหมัดจนแน่น “อ้าปากก็ท่านพ่อ หุบปากก็ท่านพ่อ บิดาของเจ้าคือเคออวิ๋นไห่หรืออย่างไร?!” ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก ฟางอวี๋ก็รู้สึกเสียใจที่กล่าวมันออกมา
เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง หันหน้าไปมองนางอย่างเย็นชา “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าบิดาที่แท้จริงของข้าคือใคร แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
อันที่จริงฟางอวี๋ปรารถนาจะเข้าไปในอาณาจักรที่สามเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนางก็รู้ดีถึงความสนใจของเมิ่งฮ่าว แต่คำพูดที่นางเพิ่งจะกล่าวออกไปเมื่อครู่นี้ เพียงเกิดจากโทสะชั่วแล่นเท่านั้น
“ฟังนะ…” นางกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว “สิ่งที่พวกเราขอให้เจ้าช่วยทั้งหมดก็คือ เดินขึ้นไปบนบันได ซึ่งจะทำให้พวกเราออกจากอาณาจักรที่สอง เข้าไปสู่อาณาจักรที่สามได้ นั่นเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเจ้า! นอกจากนี้ เจ้ายังจะได้ครอบครองโชคชะตามากมายในอาณาจักรที่สาม รวมถึงจะทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อเจ้า เมื่อเจ้ากลับไปยังดาวหนานเทียนหลังจากนี้ เส้นทางของเจ้าก็จะ…”
เมิ่งฮ่าวเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ออกมาจากฟางอวี๋ทั้งหมด ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไม่ดี ด้วยเช่นนั้น เขาจึงไม่รู้สึกต่อต้านหรือคิดว่านางเป็นศัตรู สีหน้าเขาอ่อนลงเล็กน้อย
“ข้าจะนำพวกท่านทุกคนเข้าไปในอาณาจักรที่สาม” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ
“แต่หนึ่งแสนหินลมปราณยังไม่เพียงพอ ข้าต้องการสิ่งที่พวกท่านได้มาจากภายในอาณาจักรที่สามครึ่งหนึ่ง!”
“ถ้าพวกท่านทุกคนเห็นด้วย ตอนนี้พวกเราก็ได้ข้อสรุปแล้ว ทุกท่านต้องสาบานออกมาจากใจ หากผิดคำสาบาน พวกท่านก็จะกลายเป็นหนึ่งในเต๋า ผู้ฝึกตนเช่นพวกเราต้องให้ความสำคัญกับคำสาบานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตน ถ้าไม่ต้องการให้มีสิ่งใดๆ มาขัดขวางความก้าวหน้าของพื้นฐานฝึกตน และทำให้พวกท่านต้องถูกทำลายไปทั้งร่างกายและวิญญาณ”
“ถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วย ข้าก็จะถือว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว และพวกเราก็จะรอคอยอย่างสงบ จนกว่าอาณาจักรที่สองจะพังทลายลงไป”
“พวกท่านจะเลือกอะไร ก็รีบตัดสินใจ” ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็หันหลัง ผลักประตูและก้าวเดินออกไป
“ท่านไม่ต้องการจะเข้าไปในอาณาจักรที่สาม?” หวังลี่ไห่ร้องตะโกนออกมา
ไม่แม้แต่จะมองกลับไป เมิ่งฮ่าวกล่าว “สิ่งที่ข้าได้รับมาในอาณาจักรที่สองก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าข้าจะเข้าไปในอาณาจักรที่สามหรือไม่ ก็ไม่สำคัญสำหรับข้า” ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็เดินจนหายลับตาไป
———————
หมายเหตุ 1. ซ่งเจี๋ย มีบทส่วนใหญ่อยู่ในภาค 2 ช่วงการคัดเลือกบุตรเขยตระกูลซ่ง ตอนที่ 186
- 2. หวังโหย่วฉาย และเสียวหู่ เข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะพร้อมกับเมิ่งฮ่าว หลังจากที่สำนักเอกะเทวะล่มสลาย เมิ่งฮ่าวก็มาพบกับเสียวหู่อีกครั้งในตอนที่ 71 ซึ่งเมิ่งฮ่าวคิดไปเองว่าเสียวหู่ ได้สังหารหวังโหย่วฉายไป เพื่อแย่งชิงมุกวิเศษ แต่ตอนหลังก็พบว่าหวังโหย่วฉายยังมีชีวิตอยู่ และเข้าสังกัดสำนักเซี่ยเยา (อสูรโลหิต) ถึงหวังโหย่วฉายจะมีนิสัยแปลกๆ แต่ก็ยังยืนอยู่ข้างเมิ่งฮ่าว ในช่วงการคัดเลือกบุตรเขยตระกูลซ่ง ตอนที่ 187
- 3. หลี่เต้าอี เป็นเต้าจื่อที่เมิ่งฮ่าวตัดแขนไปในช่วงล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิต หลังจากนั้นก็มาพบกันอีกในช่วงการคัดเลือกบุตรเขยตระกูลซ่ง และถูกเมิ่งฮ่าวสังหารไป ตอนที่ 304
- 4. ขอเปลี่ยนชื่อ สำนักกูตู๋เจี้ยน เป็น สำนักอีเจี้ยน (กระบี่เดียวดาย) นะครับ ในภาคแรกเอ่อร์เกิน (ผู้แต่ง) ใช้ชื่อ กูตู๋เจี้ยน แต่เปลี่ยนเป็น อีเจี้ยน ในภาคสองเป็นต้นมาครับ