Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 634

ตอนที่ 634

ใครรู้สึกหวาดกลัว?

ทันทีที่เสียงของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไป ก็เกิดเป็นเสียงสะท้อนครั้งแรกขึ้น ระลอกคลื่นปรากฏออกมา มุ่งหน้าตรงไปยังศิษย์ขั้นรวบรวมลมปราณของตระกูลหลิว ซึ่งกำลังจะโจมตีไปยังเหล่าผู้เยาว์ พวกมันเริ่มสั่นสะท้าน จากนั้นโลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปาก ขณะที่พวกมันลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลัง และร่างกายก็ระเบิดออกในกลางอากาศอย่างง่ายดาย เศษชิ้นส่วนมากมายนับไม่ถ้วนลอยออกไปทั่วทุกทิศทาง ในเวลาเดียวกันนั้น ศิษย์ขั้นรวบรวมลมปราณคนอื่นๆ ทั้งหมดของตระกูลหลิว ก็พบเจอกับชะตากรรมเช่นเดียวกัน ตอนแรกพวกมันมองไปด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นก็แตกระเบิดออกไปกลายเป็นเศษชิ้นส่วนของเลือดเนื้อ

เมื่อเสียงสะท้อนเสียงที่สองดังก้องออกไป ใบหน้าของสามผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณตระกูลหลิวเริ่มซีดขาว รู้สึกราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นซัดกระแทกมา พวกมันสั่นสะท้านลอยไปทางด้านหลังพุ่งฝ่าอากาศไป แผดร้องเสียงโหยหวน เพียงชั่วพริบตา หยดน้ำตาและรอยฉีกขาดมากมายนับไม่ถ้วน ก็มองเห็นอยู่ที่ร่างพวกมัน และไม่นานต่อมา พวกมันก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เสียงสะท้อนเสียงที่สาม ทำให้ปรมาจารย์ตระกูลหลิว ซึ่งกำลังลอยตัวอยู่ที่ด้านบนขึ้นไป ตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อและหวาดกลัวในทันที โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก ขณะที่มันหลบหนีไปทางด้านหลัง ไม่อาจจะป้องกันไม่ให้ร่างกายเริ่มแยกออกเป็นชิ้นๆ ได้

“นี่…นี่…” จิตใจมันส่งเสียงดังกระหึ่ม ด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน และจากนั้นก็คิดย้อนกลับไปยังคำพูดของจางเหวินฟางที่เกี่ยวกับแขกผู้มีเกียรติ

“ผู้อาวุโส, โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย…” มันแผดร้องออกมา รู้สึกหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด แต่ขณะที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก ทันใดนั้นมันก็ระเบิดออกเป็นชิ้นๆ ทำให้เลือดเนื้อกลายเป็นหยาดพิรุณตกลงไปทั่วทุกทิศทาง

ในตอนนั้นเอง ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบราวกับความตาย…

กลุ่มคนที่ยังเหลืออยู่บนเรือตระกูลหลิว ต่างก็เป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งหมด ซึ่งตอนนี้กำลังมองมาด้วยสีหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นสะท้าน

สำหรับสมาชิกตระกูลจาง รวมทั้งจางเหวินฟาง พวกมันทั้งหมดจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง และสั่นสะท้านขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ใบหน้าพวกมันซีดขาวโดยสิ้นเชิง ไม่เคยจะคาดคิดว่าจะเป็นพื้นฐานฝึกตนชนิดไหน ที่สามารถกำจัดศัตรูของพวกมันไปทั้งหมดได้ ด้วยคำพูดเพียงแค่หนึ่งประโยคเท่านั้น

และนั่นก็รวมทั้งผู้ฝึกตนขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ ซึ่งเป็นผู้ที่มีพื้นฐานฝึกตนเทียบเท่ากับท่านปรมาจารย์ก่อนหน้านี้ของพวกมัน!

“ผู้พิสดารวิญญาณแรกก่อตั้ง!” นั่นก็คือสิ่งที่กำลังลอยอยู่ในจิตใจของคนทั้งสาม

ร่างจางเหวินฟางสั่นสะท้าน นางก็ไม่เคยจะคาดคิดด้วยเช่นกันว่า บุคคลที่นางเชื้อเชิญให้มาอยู่บนเรือจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ เดิมทีนางคิดว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสร้างแกนลมปราณ แต่สิ่งที่เพิ่งจะเห็นนี้ก็ทำให้นางเกิดความประหลาดใจอย่างถึงที่สุด

ถ้านางรู้ว่าเมิ่งฮ่าวมีพื้นฐานฝึกตนเช่นนี้ นางก็อาจจะไม่กล้าที่จะตะโกนออกไป และขอร้องให้เขาอยู่ แต่นางก็เป็นผู้นำของตระกูล ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของนางก็คือ หมุนตัวตรงไปยังห้องดาดฟ้าตรงท้ายเรือ จากนั้นก็คุกเข่าลงไปโขกศีรษะ

“ขอบคุณผู้อาวุโส…สำหรับความช่วยเหลือเมื่อครู่นี้…” เสียงนางสั่นสะท้านขณะที่พูดออกมา ในเวลาเดียวกันนั้น สมาชิกคนอื่นๆ จากตระกูล พร้อมด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน พวกมันเริ่มคุกเข่าลงไปโขกศีรษะ

“รีบเดินทางต่อไปเถอะ” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบมาจากภายในห้องดาดฟ้า จางเหวินฟางไม่สนใจเรือตระกูลหลิว แม้ว่านางจะยังมีความวิตกกังวลอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ แต่ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด สั่งให้สมาชิกของตระกูลจางที่เป็นมนุษย์ธรรมดา บังคับเรือให้พุ่งตรงไปข้างหน้า

ไม่นานหลังจากนั้น ตระกูลจางก็เคลื่อนที่ไปเหมือนก่อนหน้านี้ สำหรับคนทั้งหมดที่อยู่บนตัวเรือ แน่นอนว่ามีแต่ความเงียบปกคลุมอยู่ท่ามกลางพวกมัน

พวกมันคงอยู่ในสภาวะเช่นนั้นเป็นเวลาสามวัน จนกระทั่งในที่สุดเรือก็เข้าไปในวงแหวนที่สี่ และจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

แต่คนทั้งหมดก็ยังคงมีความระมัดระวังตัวอย่างสูงสุด เมื่อไหร่ที่พวกมันต้องเดินผ่านห้องดาดฟ้าตรงท้ายเรือของเมิ่งฮ่าว พวกมันก็จะหยุดอยู่ด้านนอกและโค้งตัวลง ก่อนที่จะเดินต่อไป

ครึ่งเดือนต่อมา เรือก็เดินทางผ่านเข้าไปในวงแหวนที่สี่ และเข้าไปใกล้เกาะศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้พวกมันไม่มั่นใจว่าทำไม แต่ก็พวกมันก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับอสูรทะเลแม้แต่ตัวเดียว หรือผู้ฝึกตนเร่ร่อนแม้แต่คนเดียว บางทีอาจจะเป็นเพราะความโชคดี และยังไม่ได้พูดถึงผู้ฝึกตนที่เป็นโจรสลัด ซึ่งทำให้ใครก็ตามที่พูดถึงพวกมันต้องมีใบหน้าที่ซีดขาว

เมิ่งฮ่าวได้รักษาอาการบาดเจ็บ จนถึงจุดที่ตอนนี้เขาได้ฟื้นฟูกลับคืนมาได้หกในสิบส่วนแล้ว ในที่สุดผีโต้งก็หลุดลอกออกมา กายเนื้อของเขาในตอนนี้ฟื้นฟูกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์โดยสิ้นเชิง ตราบเท่าที่เขาไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระดับตัดวิญญาณ เขาก็จะไม่เป็นไร

“อาการบาดเจ็บนี้ เกิดขึ้นจากปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ซึ่งมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ขั้นค้นหาเต๋า จึงเป็นเหตุให้วิชาแปลงม่านตาม่วงไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก” ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้น หลังจากตรวจสอบพื้นฐานฝึกตนอยู่ชั่วขณะ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา

พื้นฐานฝึกตนของเขาเดิมทีถูกบีบอัดจนกลายเป็นแปดส่วน ตอนนี้มีเหลืออยู่เพียงแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น แรงกดดันอันน่ากลัวที่เขาได้ต่อสู้กับปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ได้หลอมรวมมันเข้าด้วยกัน

“เส้นทางสู่ตัดวิญญาณของข้าได้เปิดออกแล้ว ต่อไป…ถ้าข้าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดๆ ที่ต้องการจะมีอำนาจเหนือข้า, ข้าก็ต้องมีความแข็งแกร่งเหนือกว่ามัน!” เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นยืน ผลักประตูห้องส่วนตัวของเขาให้เปิดออก นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็ก้าวเท้าออกไปด้านนอก

นกแก้วได้บินจากไปยังที่แห่งใดโดยไม่มีใครรู้มานานแล้ว ด้วยบุคลิกส่วนตัวของมัน ทำให้ไม่อาจจะอยู่อย่างเงียบๆ ในที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานหลายวันได้ เมื่อตอนที่ผีโต้งหลุดออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว ทั้งสองก็บินออกไปเล่นสนุกอยู่ที่ไหนสักแห่ง

เป็นยามเที่ยงวัน และดวงอาทิตย์ก็ส่องแสงเจิดจ้า เมื่อเมิ่งฮ่าวก้าวเท้าออกมาจากห้องดาดฟ้า แสงอันอบอุ่นของดวงตะวันก็ส่องกระทบลงมาที่หลัง และทำให้เขารู้สึกดี มีเหล่าผู้เยาว์ของตระกูลจางกำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้บริเวณนั้น หนึ่งในพวกมันก็คือเด็กชายที่มีนามว่าหนานเอ๋อร์ มันเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่าเมิ่งฮ่าวได้โผล่ออกมา ตอนแรกใบหน้าเล็กๆ ของมันเต็มไปด้วยความลังเล แต่จากนั้นมันก็จำได้ว่า มารดาได้สั่งไว้เกี่ยวกับการเป็นผู้ที่มีมารยาทอันดี โดยไม่สนใจความหวาดกลัว มันประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว

“หนานเอ๋อร์ขอคารวะ ท่านอาผู้อาวุโส”

คำพูดของมันทำให้เหล่าผู้เยาว์คนอื่นๆ สังเกตเห็นเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ของพวกมันก็ซีดขาวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ภาพที่พวกมันเคยเห็นมาจากครึ่งเดือนก่อน ราวกับสิ่งที่คล้ายกับเป็นฝันร้าย พวกมันทั้งหมดรีบโค้งตัวลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้เห็นเหล่าผู้เยาว์ ก็ทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว เขาชอบเด็กๆ ย้อนกลับไปในเมืองหยุนเจี๋ย ในตอนที่เขายังเป็นนักศึกษา เขารู้สึกชอบเด็กๆ เป็นพิเศษ

หลังจากผ่านไปนานหลายปี หลังจากที่เดินทางไปบนเส้นทางของการฝึกตน และมีอายุขัยที่ยืนยาว ซึ่งอยู่ห่างไกลจากมนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างมาก ก็มีสิ่งมหัศจรรย์มากมายเกี่ยวกับมนุษย์ธรรมดา ที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม

เมื่อได้เห็นเหล่าผู้เยาว์ ก็ทำให้ดวงตาเมิ่งฮ่าวเริ่มนุ่มนวลและอ่อนโยนขึ้น ขณะที่มองไปยังพวกมัน เขาก็มองเห็นว่าพรสวรรค์ของพวกมันทั้งหมดธรรมดาโดยสิ้นเชิง ยกเว้นคนที่ถูกเรียกว่าหนานเอ๋อร์ มันอยู่เหนือคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อย

เมิ่งฮ่าวยิ้มและถามว่า “พวกเจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่?”

“พวกเรากำลังเล่น…ซ่อนหากัน” หนานเอ๋อร์กล่าวตอบด้วยความกังวลใจอยู่เล็กน้อย เด็กคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวมัน มีความวิตกกังวลมากกว่า ขณะที่พวกมันพากันพยักหน้า

“มันซ่อนตัวได้เก่ง…” หนึ่งในเด็กคนอื่นๆ กล่าวขึ้นอย่างกล้าหาญ เป็นเด็กชายที่มีอายุประมาณสิบเอ็ดถึงสิบสองปี

“ใช่แล้ว! ทุกครั้งที่มันซ่อน ไม่มีใครสามารถหามันพบ!” เด็กอีกคนกล่าว ในที่สุด เด็กทั้งหมดก็เริ่มพูดคุย คนแล้วคนเล่าพูดถึงเรื่องนั้นกล่าวถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มอันอบอุ่นของเมิ่งฮ่าวกว้างมากขึ้น ขณะที่เขานิ่งรับฟัง อย่างช้าๆ ความวิตกกังวลของเด็กๆ ทั้งหมดก็เริ่มจางหายไป

“ไม่ใช่ว่าข้าเก่งในเรื่องการซ่อนตัว” หนานเอ๋อร์กล่าว ด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและชัดเจน “แต่เป็นเพราะว่าพวกเจ้ามันโง่และไม่อาจจะหาข้าพบ!” มันจ้องมองไปรอบๆ ข้างยังคนอื่นๆ

เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ เขาก็หัวเราะและมองไปยังหนานเอ๋อร์

“เจ้าไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่?” เขาถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม เด็กคนอื่นๆ เอียงหูมา เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจะอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง

ใบหน้าหนานเอ๋อร์กลายเป็นสีแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย ขณะที่มองไปยังเด็กคนอื่นๆ ดูเหมือนว่ามันกำลังตัดสินใจว่าจะพูดดีหรือไม่ นอกจากนี้ ถ้ามันบอกทุกคนเกี่ยวกับที่ซ่อนตัว แล้วมันจะไปแอบซ่อนที่ไหนได้อีกในอนาคต? ในที่สุด มันก็ก้าวเท้าตรงไปข้างหน้าสองสามเก้า และเมิ่งฮ่าวก็อุ้มมันไว้ในอ้อมแขน หนานเอ๋อร์ไปนั่งอยู่บนไหล่เขา และจากนั้นก็กระซิบไปที่หูเขาด้วยเสียงแผ่วเบา

“ท่านอาผู้อาวุโส ข้ามักจะแอบซ่อนอยู่ใต้เตียงของมารดา ข้าสามารถไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครเข้าไปได้ ง่ายๆ แค่นี้เอง, ใช่หรือไม่?”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย มันคือความเป็นจริงที่เรียบง่ายอย่างแท้จริง ถ้าเรากำลังเล่นซ่อนหากันอยู่ ก็ควรจะหลบซ่อนอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครเข้าไปได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถค้นหาได้

ตอนนี้เมื่อเมิ่งฮ่าวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาและปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง แท้จริงแล้วก็กำลังเล่นซ่อนหากันอยู่

ในตอนนี้เองที่จางเหวินฟาง จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากห้องดาดฟ้าจากท้ายเรือ เมื่อนางมองเห็นเมิ่งฮ่าวพร้อมกับเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เขากำลังอุ้มหนานเอ๋อร์อยู่ ทันใดนั้นนางก็เริ่มหอบหายใจออกมา และเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

“หนานเอ๋อร์…” นางกล่าว พยายามที่จะทำสีหน้าให้เยือกเย็น แต่น้ำเสียงก็สั่นสะท้านอยู่เล็กน้อย

เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นนางกำลังมองมา เขาก็วางเด็กชายลง และลูบไปที่ศีรษะมัน

“จิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม หนานเอ๋อร์หน้าแดง จากนั้นก็วิ่งไปซ่อนอยู่ด้านหลังมารดา

“ผู้เยาว์ขอคารวะ ท่านผู้อาวุโส” จางเหวินฟางกล่าว ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา ขณะที่โค้งตัวลง

เมิ่งฮ่าวพยักหน้า และกำลังจะกล่าวอะไรออกมา แต่ทันใดนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป มองออกไปยังที่ห่างไกล ที่นั่น ภายในขอบเขตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา มีเกาะปรากฏขึ้น มีขนาดใหญ่โตอย่างน่าเหลือเชื่อ จากการมองไปเพียงแค่แวบเดียว ก็แทบจะดูเหมือนว่ากำลังมองไปยังทวีปอันกว้างใหญ่

มองเห็นภูเขาเป็นระยะ รวมทั้งเขตพื้นที่มากมาย ที่กำลังหมุนวนไปมาด้วยกลุ่มหมอก ซึ่งปิดกั้นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา เมิ่งฮ่าวตรวจสอบสถานที่แห่งนั้นอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะดึงสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา เนื่องจากแผนที่ในแผ่นหยกที่เขาได้รับมา ทำให้รู้ว่าการเดินทางใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว

“ผู้อาวุโส พวกเราเหลืออีกแค่ครึ่งวันเท่านั้น เมื่อถึงยามสนธยา พวกเราก็จะบรรลุถึงเกาะศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณเป็นอย่างมากสำหรับความช่วยเหลือจากท่าน” นางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “ทั่วทั้งตระกูลของพวกเรา จะจดจำท่านจากรุ่นสู่รุ่นตลอดไป, ท่านผู้อาวุโส!” นางโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าวอย่างนอบน้อม นางรู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริง แต่นางก็มีความรู้สึกทั้งเคารพและหวาดกลัวอยู่ในเวลาเดียวกัน

ตอนนี้ คนอื่นๆ อีกมากมายบนเรือได้มารวมตัวกัน มองมายังเมิ่งฮ่าวพร้อมกับก้มศีรษะลง พวกมันกังวลใจจนไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นมา

เมิ่งฮ่าวมองไปยังหนานเอ๋อร์ และจากนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “มันกำลังจะไปเข้าสังกัดสำนักเซียวเหยา?”

“ใช่แล้ว” จางเหวินฟางกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว “บุตรชายข้ามีพรสวรรค์ดีที่สุดในตระกูล สำนักเซียวเหยากำลังรับสมัครศิษย์ในตอนนี้ ดังนั้นถ้ามันมีการแสดงออกที่โดดเด่น มันก็จะทำให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคนอื่นๆ เป็นผลดีต่อตัวมันเองและตระกูลของพวกเรา”

“สำนักเซียวเหยาเป็นสำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดในวงแหวนที่สี่ สามารถถือได้ว่าเป็นราชันเหนือสำนักอื่นๆ ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะมาหาเรื่อง พวกมันให้ความสำคัญกับระดับอาวุโสเป็นอย่างมาก และกฎของสำนักก็เข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง จริงๆ แล้วพวกมันได้กล่าวว่า ไม่มีการต่อสู้ระหว่างศิษย์ร่วมสำนักกันเองอีกด้วย”

“แคว้นเซียว” เมิ่งฮ่าวคิด “แคว้นเซียว” เขาไม่กล่าวอะไรออกมา แต่จ้องมองออกไปยังที่ห่างไกล

เมื่อเห็นเขายังคงเงียบอยู่ กลุ่มคนทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ก็ไม่กล้าจะพูดออกมา เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เกาะศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามามากขึ้น ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ในความมืดของยามสนธยา เกาะแห่งนั้นคล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังนอนอยู่ที่นั่นบนท้องทะเล จากที่ห่างไกลออกไป มันดูยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก

ในเวลาเดียวกันกับที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้เกาะแห่งนั้น มีชายชราที่สวมใส่ชุดนักพรต นั่งอยู่ในสถานที่อันหรูหราลึกเข้าไปในเทือกเขา

ชายชราผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเซียนผู้วิเศษ และดูท่าทางสง่างามขณะที่มันนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกขาว ด้านข้างเป็นธูปที่กำลังเผาไหม้อยู่ ข้างกายมันยืนไว้ด้วยหญิงสาวที่งดงาม ซึ่งกำลังหาวออกมา ขณะที่พัดไปยังธูปที่กำลังเผาไหม้อยู่นั้นอย่างขี้เกียจ ทำให้ควันธูปม้วนตัวกระจายออกไป

เดิมทีสถานที่แห่งนี้เงียบสงบโดยสิ้นเชิง แต่ทันใดนั้นเอง ชายชราที่กำลังเข้าฌาณอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา ร่างมันสั่นสะท้าน และความงุนงงก็ปรากฏขึ้นในแววตา

“แปลกจริงๆ” มันกล่าว หนังตากระตุกโดยไม่ได้ตั้งใจ “ทำไมข้าถึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในทันที?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!