Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 7

ตอนที่ 7

ข้าต้องการหินลมปราณ

เมิ่งฮ่าวเดินไป จิตใจก็ตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทางที่เดินผ่านมาเต็มไปด้วยโลหิตและซากศพ

เป็นโลหิตและซากของสัตว์ป่า ซึ่งก้นเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง

“ปัง!” หมาป่าอีกตัวตรงหน้าเขา ร้องเสียงโหยหวน ราวกับโดนกำลังที่มองไม่เห็นโจมตีอย่างรุนแรงไปที่ก้นด้านหลัง จนมันระเบิดขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นหมอกโลหิตกระจายออกไปในอากาศ

“ตูม!” เหยี่ยวยักษ์ที่บินโฉบลงมาหาอาหารในป่า ยังไม่ทันจะได้บินกลับ ก็ส่งเสียงร้องโหยหวน ราวกับพบเจอฝันร้าย จากนั้นก้นก็ระเบิด

“ปัง, ตูม” พยัคฆ์ดุร้ายขนาดตัวเท่าคน กำลังกระโดดตะปบเมิ่งฮ่าวจากกลางอากาศ มันส่งเสียงคำรามออกมาอย่างน่ากลัว แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงร้องโหยหวน เมื่อก้นของมันระเบิดออก โลหิตกระจายเป็นละอองฝนไปทั่ว อาจบางทีเนื่องจากมันมีขนดกเต็มไปทั่วตัว จึงทำให้มีการระเบิดติดต่อกันถึงห้าครั้ง

“ช่างเป็นของวิเศษที่ทรงพลังเหลือเกิน” ไม่ทันไรฟ้าก็มืดค่ำลง เขามองลงไปที่กระจกทองแดงในมืออย่างตื่นเต้น ตลอดทั้งวันเขาได้ระเบิดก้นของสัตว์มากกว่าร้อยตัว

โชคดีที่ที่นี่ มีภูเขาจำนวนมาก มิเช่นนั้นหากระดมสังหารอยู่บนเขาเพียงลูกเดียว กลิ่นคาวของโลหิตและซากศพคงจะเหม็นคลุ้ง

“เมื่อคิดดูแล้ว กระจกบานนี้ก็ไม่ได้ใช้งานได้ผลทุกครั้ง เมื่อทดสอบกับงู แล้วก็ปลา มันไม่เกิดอะไรเลยกับสัตว์มีเกล็ด แต่สำหรับสัตว์ที่มีขน ยิ่งดกเท่าไหร่ ยิ่งน่ากลัวขึ้นเท่านั้น” เมิ่งฮ่าวได้ลองในหลายรูปแบบ ยังพบอีกว่ามันไม่บังเกิดผลเมื่ออยู่ในถุงเก็บสมบัติ มันจะทำงานเมื่อเขาถืออยู่ในมือ เขายังรู้สึกแปลกใจ และตื่นเต้นเมื่อมันทำให้ก้นของสัตว์ป่าเกิดระเบิดขึ้น พร้อมทั้งดูเหมือนว่ารอยกัดกร่อนรอบกระจกก็เริ่มเลือนหายไป เหมือนกับว่ามันได้ถูกซ่อนไว้นานปี และในที่สุดก็ได้แสดงฤทธิ์เดชออกมาซะที

เมื่อความมืดมาเยือน เมิ่งฮ่าวก็พบว่าได้อยู่ห่างไกลจากภูเขาถ้ำแห่งเซียนออกมามาก สายลมยามราตรีโชยพัดมา ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น เตรียมตัวกลับถ้ำ ภูเขาบริเวณนี้เต็มไปด้วยสัตว์ป่า และเขาก็เคยได้ยินมาว่าสัตว์อสูรที่มีพลังลมปราณก็อาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนี้ด้วย ถึงแม้ตื่นเต้น แต่ก็รู้ตัวถึงภัยอันตราย

ขามาเนื่องจากมัวมองหาสัตว์ป่า จึงไม่รวดเร็ว แต่ขากลับตั้งใจทำความเร็ว ผ่านภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ไม่นานจันทราก็ส่องแสงกลางท้องฟ้า ทำให้มองเห็นภูเขาอีกสามลูกก่อนจะไปถึงถ้ำแห่งเซียน ทันใดนั้น เขารู้สึกมีลมร้อนมาปะทะใบหน้า พร้อมกับกลิ่นคาวเข้มข้น เขารีบหยุด ถอยหลังไปสองสามก้าว

โฮก!

เสียงคำรามดังกระหึ่ม เมื่อเขาถอยหลัง และลมร้อนก็พัดผ่านเขาไปอีกครั้ง เบื้องหน้าปรากฏเป็นสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างคล้ายลิง แต่มีขนาดเท่าตัวคน ตาสีแดงเปล่งประกายด้วยความดุร้าย ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยขนที่ยาวรุงรัง

มันจ้องมองมาที่เขาด้วยความกระหายเลือด เมิ่งฮ่าวหน้าเปลี่ยนสีเมื่อมองกลับไปที่มัน จิตใจเขาเหมือนจะโบยบินเมื่อถูกมันจ้องมอง เขารู้สึกได้ถึงพลังลมปราณที่ขึ้นๆลงๆ ของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ได้

“พลังลมปราณขั้นสอง!” เมิ่งฮ่าวถอยหลังไปอีกก้าว ด้วยความหวาดกลัว นี่ไม่ใช่สัดว์ป่า แต่เป็นสัตว์อสูร มันคงตามกลิ่นคาวเลือดของสัตว์ป่าที่ถูกเขาสังหารมา

ไม่มีเวลาให้ขบคิด สัตว์อสูรขนยาว รูปร่างคล้ายลิงกระโดดขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้น ตลอดทั้งร่างของมันก็ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ เป็นเปลวไฟที่ไม่ได้เผาไหม้ขนของมัน แต่เป็นเปลวไฟที่ตะครุบเข้าใส่เมิ่งฮ่าวพร้อมตัวของมัน

เมื่อถึงยามวิกฤติ เมิ่งฮ่าวก็ใจเสีย เขาไม่มั่นใจว่ากระจกทองแดงจะมีผลกับสัตว์อสูรหรือไม่ แต่ก็ไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ เมื่อมันกระโดดขึ้นไปในอากาศ เขาก็ล้วงมือไปหยิบกระจกออกมา แล้วก็ส่องไปที่สัตว์อสูรทันที

จากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังไปทั่วทั้งป่า โลหิตพุ่งกระจายออกมาจากก้นของสัตว์อสูร หน้าตาของมันบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สายตาไม่ได้ดุร้ายอีกแล้ว มีแต่ความสับสน ในชั่วชีวิตการเป็นสัตว์อสูรของมัน ไม่เคยได้มีประสบการณ์ที่เจ็บปวดเช่นนี้มาก่อน แต่มันก็ไม่ยอมล่าถอย เวลาต่อมาโลหิตก็ระเบิดออกมามากขึ้น

ตอนนี้ความสับสนของมันก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ มันจ้องไปที่กระจก ซึ่งอยู่ในมือของเด็กหนุ่ม ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามันด้วยความหวาดกลัว มันหันหลังกลับพยายามจะหลบหนีไป ใช้อุ้งมือปกปิดส่วนก้น เปลวไฟที่มันสร้างขึ้นก็หายไป ก่อนที่มันจะจากไปไม่เกินหนึ่งก้าว ส่วนก้นก็ระเบิดอีก ครั้งนี้เกิดการระเบิดติดต่อกันถึงห้าครั้ง มันร้องออกมาขณะที่วิ่งไปไม่เกินสิบจ้าง เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่ากระจกทองแดงสั่นไปมา ราวกับว่าสั่นด้วยความตื่นเต้น มีพลังลูกหนึ่งพวยพุ่งออกไป เข้าสู่ส่วนก้นของสัตว์อสูรนั่น หายเข้าไปในร่าง

เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วภูเขา เมื่อลำตัวครึ่งท่อนของสัตว์อสูรระเบิดออก เมฆโลหิตฟุ้งกระจายกลางอากาศ แล้วค่อยๆ ตกลงที่พื้น สีหน้าก่อนตายของมันเต็มไปด้วยความสับสน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้รวดเร็วมาก ห้วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ในที่สุดเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็มองไปที่กระจก มือไม้สั่น

“แม้แต่สัตว์อสูร ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกระเบิดที่ก้น กระจกนี้…” ในความตื่นเต้น เมิ่งฮ่าวรู้สึกหวาดกลัวเพิ่มเข้าไปด้วย เขาเก็บกระจกกลับเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นก็มองไปที่ซากของสัตว์อสูร พลันนึกขึ้นได้

“ตำรารวบรวมลมปราณ ได้มีการอธิบายถึงสัตว์อสูรไว้ว่า พวกมันมีแกนอสูรอยู่ภายในร่าง ซึ่งเต็มไปด้วยพลังลมปราณ ที่เราสามารถกินได้” เขาเดินไปที่ซากศพอย่างรวดเร็ว ค้นเจอแกนอสูรขนาดเท่าเล็บมือ ตรงส่วนท้องของมัน ส่งกลิ่นหอมออกมา ทำให้เขารู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก

หลังจากที่ได้แกนอสูร เมิ่งฮ่าวก็รีบเดินทางกลับ น่าเสียดายที่สัตว์อสูรมีอยู่ไม่มากในบริเวณภูเขาส่วนนี้ เขาไม่เห็นสัตว์อสูรอีกเลยตลอดเส้นทางกลับไปยังถ้ำแห่งเซียน รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เมื่อเขากลับเข้าถ้ำ ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน เขานั่งลงขัดสมาธิ มองไปที่แกนอสูร และกระจกทองแดง สองตาส่องประกาย

“ข้าจะกินยาเม็ดเพิ่มลมปราณ ที่สำนักแจกมาก่อน จากนั้นก็กินแกนอสูร” เมื่อตัดสินใจได้ เมิ่งฮ่าวก็วางแกนอสูร, หินลมปราณและกระจกทองแดงลงที่ข้างกาย มีหินลมปราณอยู่ข้างกาย ทำให้เขาดูดซับพลังลมปราณได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

จากนั้นเขาก็กลืนยาเม็ดเพิ่มลมปราณลงไป เมื่อมันผ่านเข้าไปในร่าง พลังลมปราณก็เริ่มกระจาย ออกไปอย่างช้าๆ เมิ่งฮ่าวโคจรลมปราณให้ดูดซับพลังจากเม็ดยาให้เร็วขึ้น

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาลืมตาขึ้น สองตาก็เปล่งกระกายแวววาว การกินยานี้ช่วยให้การรวบรวมลมปราณ ทำได้เร็วกว่าการฝึกด้วยตัวเองมากนัก เขาคิดในใจ เสียดายที่ยาเม็ดเพิ่มลมปราณมีพลังที่น้อยเกินไป แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้ มองไปที่ด้านข้าง แล้วก็หยิบแกนอสูรกลืนลงไป

เมื่อมันเข้าไปในร่างกาย เขาก็รับรู้ถึงพลังลมปราณที่มากกว่าเม็ดยาเพิ่มลมปราณก่อนหน้านี้มากนัก เขารีบโคจรพลังลมปราณเพื่อดูดซับ ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน สิ่งปฎิกูลในร่างก็ถูกขับออกมาจากรูขุมขน สี่ถึงห้าชั่วยามต่อมา เขารู้สึกเหมือนมีเสียงดังขึ้นภายในศีรษะ และเหมือนกับร่างกายกำลังจะลอยขึ้นพลังลมปราณที่โคจรอยู่ในร่างตอนนี้ ไม่ใช่เป็นเส้นๆ คล้ายใยอีกแล้ว แต่เป็นเส้นใยที่มัดรวมตัวกัน ประดุจลำธารเล็กๆ

“พลังลมปราณดุจธารน้ำ ร่างกายขับสิ่งโสมมแห่งโลกีย์ นี่…อย่าบอกนะว่าเป็นขั้นสองของการรวบรวมลมปราณ?” เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น มันส่องประกายแรงกล้า เขามองลงไปตามร่างกาย จากนั้นก็ใช้ความรู้สึกสำรวจภายใน ใช้เวลาครู่ใหญ่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด เป็นที่แน่ใจได้ว่า เขาได้ก้าวข้าม การรวบรวมลมปราณจากขั้นหนึ่งไปสู่ขั้นสองแล้ว

“แกนอสูรช่างมีผลอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ” สองตาเมิ่งฮ่าวส่องประกายแวววาว เขายืนขึ้นและเดินไปมารอบๆ ถ้ำแห่งเซียน มีความยินดีอย่างเหลือเชื่อ กับความรู้สึกที่มีกระแสของพลังลมปราณหมุนเวียนไปทั่วร่าง

“ขณะนี้ข้าอยู่ในขั้นสองของการรวบรวมลมปราณแล้ว!”

“เสียดายที่แกนอสูรเป็นของหายาก มิเช่นนั้น ก็สามารถฝึกฝนให้ก้าวหน้าได้เร็วขึ้นกว่านี้มากนัก และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณกระจกทองแดงบานนี้” เมิ่งฮ่าวมองไปที่กระจก ทันใดนั้นร่างเขาก็สั่นสะท้าน ต้องยกมือขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว มองใกล้เข้าไป สีหน้าแสดงถึงความไม่อยากจะเชื่อ

กระจกทองแดงวางอยู่ที่พื้นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่มันไม่ได้มีหินลมปราณวางอยู่ด้านบนของกระจก แต่เป็นแกนอสูรที่วางอยู่แทน

“นี่…นี่…” เมิ่งฮ่าวสมองมึนงง เต็มไปด้วยความสับสน รู้สึกเหมือนกับสูญเสียความนึกคิด เขาจ้องอย่างเงียบๆ ไปที่แกนอสูรที่วางอยู่บนกระจกทองแดง และเริ่มรู้สึกลังเล เขาได้วางแกนอสูรและหินลมปราณไว้บนกระจกพร้อมกัน เขาจำได้แม่นยำ และเขาก็ได้กินแกนอสูรไปเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้น เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าที่กินเข้าไปนั้น เป็นแกนอสูร? หรือว่าเป็นหินลมปราณ?

“ข้าคงไม่ได้กินหินลมปราณเข้าไปเป็นแน่…” เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างไปชั่วครู่ จากนั้นก็หยิบแกนอสูรขึ้นมาช้าๆ เขาลังเล จากนั้นก็เอามาวางตรงหน้าและดมกลิ่นมัน จากกลิ่นนี้ทำให้เขามั่นใจได้ว่า ที่กินลงไปก่อนหน้านี้ ต้องเป็นแกนอสูรนี้อย่างแน่นอน

“เกิด…เกิดอะไรขึ้น? มีอีกก้อนหนึ่ง? อย่าบอกนะว่าสัตว์อสูรแท้จริงแล้ว มีแกนอสูรสองก้อนในร่างมัน? เป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง” เมิ่งฮ่าวรู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น เขาส่ายศีรษะ พยายามบังคับตัวเองให้มีความคิดที่แจ่มใส มองไปที่แกนอสูรแล้วก็กระจกทองแดง ร่างของเขาเริ่มสั่นสะท้าน สายตาลุกโชนไปด้วยความยินดีอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าเขาได้เห็นทองคำหมื่นแท่งวางอยู่ตรงหน้า ถึงกับแทบถือแกนอสูรในมือไว้ไม่มั่น

“อาจจะเป็นไปได้ว่า…กระจกดูดซับหินลมปราณ และผลิตแกนอสูรก้อนที่สองออกมา!” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงสั่น เดิมทีเขาก็รู้สึกว่า ความสามารถของกระจกที่ระเบิดพวกสัตว์ป่า มีพลังอย่างมากแล้ว เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามันจะมีความวิเศษยิ่งกว่านั้น

หลังจากนั้นสักครู่ เขาก็ฟื้นสติกลับคืนมา ถึงแม้ว่าในศีรษะยังมีความคิดที่หลากหลาย แต่ในตอนนี้ก็ไม่มีหินลมปราณที่จะนำมาทดลอง จึงรู้สึกกระวนกระวาย ปวดหัวที่จะหาหินลมปราณสักก้อนมาทดสอบ

“หินลมปราณ ข้าต้องการหินลมปราณ!” สายตาเขาลุกวาวเหมือนสัตว์ป่าที่ดุร้าย ในสายตาของเขาเวลานี้หินลมปราณมีค่ามากกว่าเงินทองซะอีก ความปรารถนาในตอนนี้ของเขา รุนแรงกว่าความปรารถนาในการเป็นขุนนางก่อนหน้านี้มากนัก

หินลมปราณเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ฝึกตน โดยเฉพาะเมิ่งฮ่าว เมื่อใครก็ตามกังวลถึงความได้ความเสีย คนๆ นั้นก็จะเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและกังวลใจ ซึ่งในตอนนี้ ความต้องการหินลมปราณของเมิ่งฮ่าว มากมายเหนือสิ่งอื่นใด

น่าเสียดายที่สำนักเอกะเทวะ เป็นสำนักเล็กๆ นอกจากวันแจกเม็ดยาในแต่ละเดือนแล้ว ก็ไม่มีโอกาสที่จะหามาครอบครองได้ นอกจากไปเอาจากคนอื่นมา

“อีกหนึ่งเดือนกว่าจะถึงวันแจกเม็ดยา” เมิ่งฮ่าวมองไปที่กระจกทองแดง เริ่มมีท่าทางดุร้าย จากนั้นไม่นาน ความดุร้ายก็ถูกเก็บซ่อนไว้จนหายไป ขณะนี้เขาอยู่ในขั้นสองของการรวบรวมลมปราณ แม้ว่าเขาอยากจะใช้กำลังไปเอามาจากคนอื่น ก็ไม่สามารถจะต่อสู้กับคนอื่นๆได้

“เมื่อก่อนในเมืองหยุนเจี๋ย ข้าไม่มีเงิน” เมิ่งฮ่าวพูดอย่างหมดหนทาง “ตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกตน ก็ยังคงไม่มีเงินอยู่ดี” ในใจเขาคิดว่าจะทำอย่างไร ถึงจะมีหินลมปราณมากกว่านี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!