ตอนที่ 835

ทัณฑ์เซียนของตานกุ่ย!

สองสามวันหลังจากนั้น ผีโต้งก็พูดคุยอย่างไม่หยุดหย่อน เกี่ยวกับความเลวร้ายทั้งหมดที่นกแก้วได้กระทำมา จากทะเลเทียนเหอจนถึงวันที่พวกมันได้กลายเป็นโจรอยู่ในดินแดนตะวันออก มันเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เพิ่มเติมเสริมแต่งในรายละเอียดเข้าไปอย่างมากมาย สุดท้ายยังได้ยื่นส่งถุงสมบัติสามใบ ที่ประกอบด้วยสิ่งของทั้งหมดที่พวกมันได้ปล้นมาให้กับเมิ่งฮ่าวอีกด้วย

เมิ่งฮ่าวได้ขว้างมันลงไปบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ก็สูงส่งอย่างน่าเหลือเชื่อ ถ้าเขาต้องการก็สามารถจะใช้เส้นใยของปราณเซียนปิดปากมันไว้ ทำให้มันไม่อาจจะพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว สำหรับผีโต้งแล้ว นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดในชีวิตของมัน

สำหรับนกแก้ว เมิ่งฮ่าวไม่ได้ถามมันแม้แต่น้อย เขาผนึกมันไว้อยู่ภายในกระจก ไม่มีโอกาสจะมองเห็นสิ่งที่มีขนใดๆ อีก นั่นคือการลงโทษอันร้ายแรงมากที่สุดของมันแล้ว

หลังจากที่ศึกษาขนนกสีดำอยู่ชั่วครู่ เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกตกตะลึง ขนนกนี้เต็มไปด้วยพลังของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมนกแก้วถึงได้สามารถปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าประหลาดใจเช่นนั้นออกมาได้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะขนนกนี้นี่เอง

จากที่ผีโต้งบอกมา ขนนกนี้ได้ตกลงมาจากท้องฟ้า ตอนที่สองสหายกำลังเดินทางออกมาจากทะเลเทียนเหอ เพื่อไปยังดินแดนตะวันออก…

เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าจะเชื่อเรื่องนี้ดีหรือไม่ แต่หลังจากที่เก็บขนนกไว้ เขาก็กลับไปยังตระกูลฟาง ในตอนนี้กลุ่มคนจากสำนักและตระกูลจากตี้จิ่วซานไห่ (ขุนเขาทะเลที่เก้า) ได้จากไปนานแล้ว ดินแดนแห่งดาวหนานเทียนในตอนนี้ได้เงียบสงบลง แต่น่าเสียดายที่พี่สาวของเมิ่งฮ่าว ยังไม่ได้ออกมาจากการนั่งเข้าฌาณตามลำพัง

ในที่สุดเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไป

ตลอดช่วงเวลานั้น นามเมิ่งฮ่าวเริ่มกระจายออกไปยังโลกด้านนอกของดาวหนานเทียน ในตี้จิ่วซานไห่ แน่นอนว่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขานั้นมักจะทำให้ผู้ที่รับฟังต้องกัดฟันแน่น ในที่สุดผู้คนมากมายในตี้จิ่วซานไห่ก็รู้ว่าในดาวหนานเทียน มีคนที่ไร้ยางอายนามว่าเมิ่งฮ่าวอยู่

เขาได้ครอบครองโชควาสนาของวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ซากศพของหญิงสาวติดอยู่กับฝานตงเอ๋อร์ ได้จับตัวผู้ถูกเลือกไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้จี้ยินต้องพ่ายแพ้ไปในการขยับตัวแค่ครั้งเดียว และที่มากไปกว่านั้นก็คือนิสัยที่ไม่ธรรมดาของเขา ในการบังคับให้ผู้คนต้องเขียนตั๋วสัญญา

ไม่มีใครรับรู้ถึงเรื่องราวครั้งล่าสุด หรือคาดเดาได้ว่าทำไมเมิ่งฮ่าวถึงได้มีการกระทำที่แปลกๆ เช่นนั้น…

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตี้จิ่วซานไห่ต้องสั่นสะเทือน ตลอดช่วงหนึ่งเดือนนั้น และทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนไปทั่วในท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน หลายตระกูลได้ออกคำสั่งเป็นพิเศษเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยสำนักกระบี่ไท่สิง, เซียนกู่เต้าฉ่าง (พิธีเต๋าเซียนโบราณ), จิ๋วไห่เสินเจี้ย (อาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า) กำลังจะจัดงานรับสมัครศิษย์ใหม่ สำหรับผู้ฝึกตนทั้งหมดในตี้จิ่วซานไห่!

ใครก็ตามที่อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งหรือสูงกว่านั้น แต่ต่ำกว่าอาณาจักรเซียน ก็สามารถมาเข้าร่วมได้

ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกของห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์, สามนิกายหกสำนัก ต่างก็สามารถเข้าร่วมได้ทั้งหมด จึงทำให้งานรับศิษย์ใหม่ในครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ฝึกตนเร่ร่อนใดๆ จากสี่ดวงดาวของตี้จิ่วซานไห่ก็สามารถจะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน โดยไม่สนใจถึงอายุหรือประเพณีใดๆ ตราบเท่าที่พื้นฐานฝึกตนของพวกมันตรงตามเงื่อนไข

สำหรับผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ นี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้พุ่งทะยานขึ้นในก้าวเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนที่ปกติแล้วไม่มีทางจะออกไปจากดาวของพวกมันได้ เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้รับโชควาสนาถ้าพวกมันทำได้สำเร็จ

งานรับศิษย์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในรอบหมื่นปี ตอนนี้เมื่อเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่าเมื่อไหร่มันจะเกิดขึ้นอีก ในตี้จิ่วซานไห่ สี่ดวงดาวอันยิ่งใหญ่ประกอบไปด้วยผู้ฝึกตนมากมาย ที่มีพื้นฐานฝึกตนที่เหมาะสมที่จะมาเข้าร่วม ซึ่งผู้ฝึกตนเช่นนี้ยังมีมากกว่าผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ในขุนเขาที่เก้าอีกด้วย

จากนั้นก็ยังมีเกาะที่คล้ายกับสะเก็ดดาวต่างๆ ในทะเลที่เก้า ซึ่งได้มีผู้ฝึกตนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วยเช่นกัน รวมถึงโลกขนาดเล็กอื่นๆ ที่เชื่อมต่อและขึ้นอยู่กับตี้จิ่วซานไห่อีกด้วย จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะได้เห็นว่าจะมีผู้คนมาเข้าร่วมงานนี้มากมายขนาดใหน

การรับสมัครของงานนี้มีอยู่สามขั้น วิญญาณแรกก่อตั้ง ตัดวิญญาณ ค้นหาเต๋า ผู้ที่เข้าร่วมของขั้นทั้งสามที่แตกต่างกันนี้ จะต้องแข่งขันกันทั้งหมดในพื้นที่ที่แตกต่างกัน และไม่อาจจะติดต่อกับคนอื่นๆ ได้

ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือข่าวที่ว่า ใครก็ตามที่ได้อันดับหนึ่งของทั้งสามขั้นนี้ ไม่เพียงแต่จะสามารถเข้าร่วมหนึ่งในสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้เท่านั้น แต่พวกมันจะกลายเป็นศิษย์หลักในทันที และจะได้รับของวิเศษอันล้ำค่าเป็นรางวัล

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ถูกเลือกจากตระกูลอันยิ่งใหญ่ต่างๆ เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้น ผู้ฝึกตนของตระกูลไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ภายในตระกูลของตนเองเท่านั้น แต่สามารถจะออกไปเข้าร่วมกับสำนักอื่นๆ ได้ โดยปกติแล้วตระกูลต่างๆ ไม่ได้บีบบังคับให้สมาชิกของพวกมันต้องอยู่แต่ในตระกูลตลอดไป

สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ได้คงอยู่มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเป็นอย่างยิ่ง

นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ถึงได้ปลีกตัวจนออกห่าง และแทบจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องขัดแย้งใดๆ อันที่จริงมีแต่ศัตรูของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่เข้ามายุ่งกับพวกมันเอง ที่สำคัญมากที่สุดก็คือพวกมันไม่เคยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดของตระกูลต่างๆ เลย

ยกตัวอย่างเช่น ในปีที่ราชันจี้ได้เปลี่ยนแปลงสวรรค์ สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้สอดมือเข้ามา ดูเหมือนจะเป็นเพราะว่าพวกมันเคยเห็นการเปลี่ยนแปลงมาอย่างมากมาย ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอันยาวนานที่พวกมันดำรงคงอยู่กันมา

ในงานคัดเลือกศิษย์นี้ สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ต่างก็ทำการรับศิษย์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

จากกลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนมากมายทั้งหมดแห่งตี้จิ่วซานไห่ จะมีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะถูกคัดเลือกไปอย่างเป็นทางการ จากเรื่องนี้ก็สามารถเห็นได้ว่าใครก็ตามที่เป็นสามคนนี้ ชีวิตและโชคชะตาของพวกมันในที่สุดก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

สำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้ถูกคัดเลือกโดยสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ก็ยังมีโอกาสที่ห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือบางทีจะเป็นสามนิกายหกสำนัก อาจจะมาคัดเลือกพวกมันจากการแข่งขันครั้งนี้ด้วย

ข่าวคราวของเรื่องนี้ได้แพร่กระจายออกไป ราวกับเป็นไฟป่าตลอดทั้งตี้จิ่วซานไห่ ผ่านปากของผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน แม้แต่สี่ดวงดาวอันยิ่งใหญ่ รวมทั้งดาวหนานเทียนต่างก็รับรู้ได้

อันที่จริงราชันจี้ได้ออกประกาศิตไปยังดาวหนานเทียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งตระกูลจี้ได้ป่าวประกาศออกไปทั่วทั้งดินแดนทั้งหมด ในชั่วพริบตาผู้ฝึกตนทั้งหลายของดาวหนานเทียน ที่อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งหรือสูงกว่านั้น ต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

มีอยู่มากมายท่ามกลางพวกมันที่ไม่ได้รู้ว่ายังมีโลกอื่นอยู่ที่ด้านนอกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนี้ เมื่อพวกมันรับรู้ จิตใจก็สั่นสะท้าน สำหรับกลุ่มคนที่รู้อยู่แล้วเกี่ยวกับโลกอื่นนี้ พวกมันก็ยิ่งมีความคาดหวังอย่างรุนแรงมากขึ้น

ทั่วทั้งตี้จิ่วซานไห่ทั้งหมดตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย การรับสมัครศิษย์นี้เป็นหัวข้อที่ถูกพูดคุยกันเกือบทั้งหมดในทุกๆ ที่

ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวได้รับแผ่นหยกจากตานกุ่ยต้าซือ

“กลับมายังสำนักจื่อยิ่นในทันที!”

เป็นข้อความสั้นๆ แต่เมิ่งฮ่าวก็รับรู้ได้ถึงเจตจำนงเซียนที่อยู่ภายในคำพูดนี้!

ฟางซิ่วเฟิงยืนอยู่ที่ด้านข้างเมิ่งฮ่าว ท่านไม่ได้มองไปยังแผ่นหยก แต่มองขึ้นไปในท้องฟ้า ขณะที่กล่าว “อาจารย์เจ้ากำลังพยายามจะเอาชนะทัณฑ์เซียน”

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน เขาตระหนักดีว่าการบรรลุถึงเซียนแท้เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้ว่าเมื่อโชคชะตาเซียนได้ปรากฏขึ้นบนดาวหนานเทียน มันก็ไม่ได้เป็นของเขา โชคชะตาเซียนแท้จะมาในทุกๆ หนึ่งหมื่นปีเท่านั้น แต่จะมาปรากฏขึ้นอยู่บนสี่ดวงดาวอันยิ่งใหญ่ดวงใดนั้น ก็สามารถจะรับรู้ได้เพียงแค่ไม่กี่ร้อยปีก่อนที่มันจะปรากฏขึ้นเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เกิดบนดาวดวงนั้นเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติที่จะได้ครอบครองโชคชะตานี้ เมื่อเมิ่งฮ่าวไม่ได้เกิดบนดาวหนานเทียน โชคชะตาเซียนจึงไม่ได้เป็นของเขา

“โชคชะตาเซียน” บิดาเขากล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ทัณฑ์เซียนใกล้เข้ามาแล้ว…อาจารย์เจ้าจะต้องต่อสู้กับคนที่เกิดบนดาวหนานเทียน ซึ่งมีการเตรียมพร้อมและต้องการจะได้ครอบครองโชคชะตาเซียนเช่นเดียวกัน!”

“รวมทั้งผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าคนอื่นๆ จากดาวหนานเทียน ก็จะเลือกช่วงเวลานี้เพื่อโจมตีมาเช่นเดียวกัน!”

“อาจารย์เจ้าได้แสดงความเมตตาอันยิ่งใหญ่ต่อเจ้ามาแล้ว และความเมตตานั้นจะได้รับการตอบแทน ข้าจะไปเป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับท่านตลอดช่วงของทัณฑ์เซียนแท้นี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครจากด้านนอกที่เกิดบนดาวหนานเทียนแต่ไปอยู่บนดาวดวงอื่น ผ่านเข้ามาในดาวหนานเทียนนี้ สำหรับดินแดนแห่งดาวหนานเทียนเอง…ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการ!”

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นและหันหน้าไปหาบิดา

ฟางซิ่วเฟิงโบกสะบัดชายแขนเสื้อ และอากาศรอบๆ ตัวคนทั้งสองก็เริ่มบิดเบี้ยวไปมา ภาพซ้อนทับปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า จากนั้นก็ก่อตัวเป็นภาพแผนที่ของดินแดนแห่งดาวหนานเทียน

ฟางซิ่วเฟิงก้าวเท้าตรงไป ติดตามด้วยเมิ่งฮ่าว และคนทั้งสองก็ก้าวเท้าเข้าไปในภาพแผนที่ลวงตา ดวงตาเมิ่งฮ่าวพร่าเลือนไป เมื่อสายตาเริ่มมองเห็นได้ชัดขึ้นอีกครั้ง เขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของดินแดนด้านใต้

ในหนึ่งอึดใจ คนทั้งสองก็เดินทางจากตระกูลฟางในดินแดนตะวันออก มายังสำนักจื่อยิ่นในดินแดนด้านใต้

ค่ายกลเวทป้องกันอันยิ่งใหญ่ของสำนักจื่อยิ่น ถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงานขึ้นมานานแล้ว แสงอันละเอียดอ่อนแผ่กระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง และรูปปั้นขนาดใหญ่ของจื่อตงเจินเหริน ก็กระจายแสงอันเจิดจ้าออกมาด้วยเช่นกัน ถ้ามองดูให้ละเอียด ก็จะเห็นปราณเซียนหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ รูปปั้นนั้น

อย่างน่าตกใจยิ่ง มองเห็นคนผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านบนสุดของศีรษะรูปปั้นจื่อตงเจินเหริน ซึ่งก็คือตานกุ่ย

ท่านลืมตาขึ้นมาจากการเข้าฌาณ และหันหน้ามองมายังเมิ่งฮ่าวและฟางซิ่วเฟิง รอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาปรากฏขึ้นบนใบหน้า และท่านก็โบกสะบัดมือ ทำให้ค่ายกลเวทอันยิ่งใหญ่เปิดออก เกิดเป็นลำแสงพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

“เจ้าเข้าไป” ฟางซิ่วเฟิงกล่าว “ฟู่ (บิดา) จะรอให้ทัณฑ์เซียนเริ่มขึ้นอยู่ที่นี่ และจะเป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับอาจารย์เจ้า” ท่านพยักหน้าให้กับเมิ่งฮ่าว และก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะผ่านเข้าไปในเวทป้องกัน ท่านก็นั่งขัดสมาธิและหลับตาลง

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในแสงที่ไหลออกมานั้น เพียงแวบเดียวเขาก็ไปปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของรูปปั้นจื่อตงเจินเหรินและตานกุ่ย

“ท่านอาจารย์…” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงแผ่วเบา จิตใจเต็มไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว เขามีพื้นฐานฝึกตนที่มีพลังแปดในสิบส่วนของเซียนแท้ เป็นเส้นทางที่แตกต่างไปจากอาจารย์ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้อย่างเลือนลางว่า เมื่อเขาบรรลุถึงพลังของเซียนแท้สิบส่วนเต็ม ทัณฑ์ของตนเองก็จะตกลงมา ซึ่งทัณฑ์นั้นก็จะยิ่งมีความน่ากลัวกว่าทัณฑ์เซียนแท้ของตานกุ่ยมากนัก

ด้วยทัณฑ์เซียนแท้นี้ โอกาสที่จะมีชีวิตรอดช่างน้อยนิดยิ่ง

“เจ้าควรจะยินดีต่ออาจารย์ของเจ้า” ตานกุ่ยกล่าว ยิ้มอย่างมีเมตตา มองไปยังศิษย์ที่โขกศีรษะให้กับท่านสามครั้ง ผูกมัดโชคชะตาของอาจารย์และศิษย์เข้าร่วมกัน ตอนนี้ศิษย์ของท่านมีความแข็งแกร่งมากกว่าท่านแล้ว จึงทำให้ตานกุ่ยมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

“อาจารย์เจ้าได้เตรียมตัวสำหรับโชคชะตาเซียนแท้นี้มาสองชาติภพแล้ว…ในชาติก่อน ข้าคือจื่อตงเจินเหริน เมื่ออยู่ในขั้นสูงสุดค้นหาเต๋า ข้าได้ปฏิเสธที่จะกลายเป็นเซียนเทียม ข้าตัดสินใจที่จะเป็นเซียนแท้ ดังนั้นจึงได้มาเกิดใหม่เพื่อกอบกู้พื้นฐานฝึกตนขึ้นมาใหม่!”

“ในชาตินี้ ข้าเริ่มต้นจากการเป็นเม็ดยา ซึ่งได้กลั่นสกัดเป็นวิญญาณและจากนั้นก็ก่อตัวขึ้นเป็นร่างกาย ในที่สุดข้าก็ได้บรรลุจนถึงทุกวันนี้…ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตาหรือทัณฑ์ทรมาน ถึงอย่างไรก็ต้อง…ก้าวต่อไป!”

“ถึงแม้ว่าเต๋าของข้าจะหายสาบสูญ และร่างกายจะต้องแตกดับไป ข้าก็จะไม่เสียใจใดๆ!” ตานกุ่ยถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา จากนั้นก็มองขึ้นไปในสวรรค์ ดวงตาสาดประกายด้วยความดื้อรั้นและมุ่งมั่น รวมทั้งความคาดหวังอยู่ลึกๆ ข้างใน

เป็นความคาดหวังที่เกี่ยวข้องกับเต๋า และเป็นความมุ่งมั่นที่จะกลายเป็นเซียน

“ข้าเคยคิดจะยอมแพ้ไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าข้าไม่กล้าที่จะลองพยายามดู แต่เป็นเพราะเจ้า เมื่อโชคชะตาเซียนตกลงมา แล้วข้าไปจะต่อสู้แย่งชิงกับศิษย์ของตนเองได้อย่างไร? แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนแล้ว นี่เป็นโชคชะตาเซียน…ที่เป็นของอาจารย์เจ้า!” ขณะที่ตานกุ่ยกล่าว พลังของท่านก็พุ่งขึ้นไป และปราณเซียนก็กระจายออกมา

“เซียน (仙) หนึ่งคน (人) หนึ่งภูเขา! (山)”

“ในการกลายเป็นเซียน จำเป็นต้องมีภูเขายืนยันเต๋า รูปปั้นภูเขาจากชาติก่อนของข้าก็คือการยืนยันเต๋านั้น มันเป็นตัวแทนจิตแห่งเต๋าของข้า ข้าจะยืนอยู่ที่ด้านบนของชาติก่อนข้า เพื่อค้นหาเซียนในชาติที่สองนี้!”

ตานกุ่ยหันหน้ามามองยังเมิ่งฮ่าวและกล่าวขึ้นด้วยความระมัดระวัง “ไม่ว่าข้าจะสำเร็จหรือล้มเหลว อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้จะเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจสำหรับเจ้า”

“ตั้งใจดูให้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะมีความสำคัญต่อเจ้าเป็นอย่างมาก สำหรับทัณฑ์เซียนแท้ที่จะมาถึงของเจ้า!”

“ข้ามีบิดาเจ้าเป็นผู้พิทักษ์เต๋า ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี สำหรับคนเก่าแก่อื่นๆ ที่จะมาจากดินแดนแห่งดาวหนานเทียน พวกมันจะมีความคิดเช่นเดียวกับข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องสอดมือเข้ามา ถ้าอาจารย์ไม่มีความเชื่อมั่นเพียงพอที่จะต่อสู้กับพวกมัน แล้วข้าจะกลายเป็นเซียนแท้ได้อย่างไร!?”

“เจ้าแค่อยู่ที่นี่และมองไปขณะที่เว่ยซือ (อาจารย์)…เอาชนะทัณฑ์เซียนแท้เพื่อกลายเป็นเซียนแท้!” เสียงตานกุ่ยดังก้องออกมา และเมิ่งฮ่าวก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขามองไปยังท่านอาจารย์ และรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นที่ท่านจะทำการยืนยันเต๋าของท่าน และยินดีที่จะจ่ายค่าตอบแทนใดๆ ก็ตามเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย

ท่านไม่ได้หวาดกลัวต่อความตาย ท่านหวาดกลัวเพียงแค่…ไม่ได้กลายเป็นเซียนแท้เท่านั้น!