ตอนที่ 89
กู๋อี่ติงซานอวี่
ปรมาจารย์เอกะเทวะ นั่งอยู่ในเขตกัมมัฎฐานที่ถูกปิดผนึกของมัน เปลวไฟแห่งโทสะพุ่งขึ้นไปจนถึงสวรรค์ มันด่าทอสาปแช่งต่อไป ด้วยความโกรธและความเจ็บปวด เกี่ยวกับเมิ่งฮ่าว, ในฐานะปรมาจารย์มันรู้สึกค่อนข้างจะหมดหนทาง ทำอะไรไม่ได้ ยังไงเมิ่งฮ่าวก็เป็นศิษย์สำนักเอกะเทวะ ทายาทเพียงคนเดียว…
“เจ้าสารเลวน้อยผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก ข้าซึ่งเป็นปรมาจารย์ของมัน! ตอนแรกมันขโมยทรัพย์สมบัติของข้าไปครึ่งหนึ่ง แล้วยังเอาหยกผนึกอสูรของข้าไป จากนั้นก็แย่งชิงพลังลมปราณไปจากข้า สุดท้ายก็หยิบฉวยเอาตะเกียงอสูรของข้าไปอย่างไร้ยางอาย!!”
มันเกือบจะหายใจไม่ทันจากการด่าทอ เมื่อมันนึกไปถึงตะเกียงอสูรโบราณ ทันใดนั้นก็ดูกังวลขึ้นมาทันที
“ก็ใช่, ข้าไม่ได้ขจัดพิษให้ นั่นก็ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เจ้าจะกระทำเช่นนี้ได้! บุคคลที่เที่ยงธรรม ควรจะเป็นผู้มีเหตุผล เมื่อข้าจะขโมยสมบัติจากบุคคลอื่น ข้าก็จะคุยกับพวกมันด้วยเหตุผลก่อนในตอนแรก”
“มันบรรลุระดับสิบสาม ขั้นรวบรวมลมปราณได้จริงๆ หลายปีก่อนโน้น เจ้าสารเลวพวกนั้นกล่าวว่า หยกผนึกอสูร จะไม่ถูกเอาไปโดยบุคคลที่ไม่บรรลุระดับสิบสาม ขั้นรวบรวมลมปราณ…ตอนแรก ข้าก็คิดว่าพวกมันพยายามที่จะทำให้ดูลึกลับ และรู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง”
“เห็นได้ชัดว่า เจ้าสารเลวชราเหล่านั้น โกหกข้า ถ้าไม่สามารถเอาหยกผนึกอสูรออกไปได้ ถึงแม้ว่าแผนการของข้าจะสำเร็จ ข้าก็ไม่มีทางที่จะทำลายผนึกนี้ได้ แต่…โอ! มันก้าวถึงระดับสิบสามได้จริงๆ!! และเจ้าสารเลวน้อยก็เอามันไป! ข้ารู้สึกได้ว่า…ผนึกกำลังอ่อนแออยู่!”
“ข้าอาจจะสูญเสียตะเกียงอสูรไปหนึ่งดวง ซึ่งทำให้โอกาสที่จะเปิดผนึกอสูรลดน้อยลง แต่ผนึกนี้ก็อ่อนกำลังลงมาหลายปีแล้ว และตอนนี้ มันก็แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอออกมาหลายอย่าง…ท่านย่ามันเถอะ, เหตุใดผู้ฝึกตนจากสำนักผนึกอสูรถึงมักจะหลอกลวงข้าอยู่เสมอ!? เจ้าสารเลวชรากลุ่มนั้น ก็เหมือนกันเมื่อหลายปีมาแล้ว และตอนนี้เจ้าสารเลวน้อยก็เหมือนกันอีก…”
ปรมาจารย์เอกะเทวะ บดฟันของมัน แต่ขณะที่มันคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ มันก็จำได้ว่าเมิ่งฮ่าวได้โยนคำพูดของมันกลับคืนมาให้ จากนั้นมันก็คิดไปถึงความดื้อรั้น ในการบรรลุระดับสิบสาม ขั้นรวบรวมลมปราณของเขา มันก็ทำอันใดไม่ได้ นอกจากถอนหายใจออกมา
“เจ้าเด็กผู้นี้ จริงๆ แล้วก็ทำอะไรคล้ายคลึงกับข้า ข้าไม่ต้องการทำให้ตัวเอง ตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายในตอนนั้น เจ้าโกหกข้า, ข้าหลอกลวงเจ้า พวกสารเลวชราจากสำนักผนึกอสูร ไม่ได้พูดความจริง พวกมันคิดว่า ถ้ามันหนีจากไป ข้าก็ไม่สามารถติดตามพวกมันได้ อืม, บางทีมันก็จริง, แต่อย่างน้อย ข้าก็สามารถเปลี่ยนชื่อจากสำนักผนึกอสูร เป็นสำนักเอกะเทวะ”
“ถึงข้าจะหลอกลวงพวกมันไม่ได้ แต่ข้าก็สามารถโกหกลูกศิษย์ หลานศิษย์ของพวกมัน…บัดซบ, ถ้าข้ารู้ว่า เมิ่งฮ่าวจะก้าวไปถึงระดับสิบสาม ขั้นรวบรวมลมปราณ และได้รับพรสวรรค์ที่จะเอาหยกผนึกอสูรไปได้ ข้าก็น่าจะขจัดพิษให้มัน แล้วก็ส่งมันออกไปให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ มันก็จะไม่มีโอกาสที่จะบรรลุระดับสิบสาม แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น บางทีข้าก็อาจจะไม่มีโอกาสที่จะเปิดผนึกนี้, ใช่หรือไม่?”
ปรมาจารย์เอกะเทวะ ค่อนข้างจะสูญเสียไปมากมาย ถึงแม้ว่ามันจะเสียใจ ก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมา และรู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆ ภายในใจ
ปรมาจารย์เอกะเทวะ เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา และไม่ใช่ผู้ที่จะเข้าหาได้โดยง่ายดาย เมิ่งฮ่าวไม่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ในความเป็นจริง ก่อนที่สำนักจะล่มสลายไป ก็ไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับมัน มีเพียงผู้คนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับ ปรมาจารย์เอกะเทวะ ถึงจะรู้เรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งกล่าวแต่เพียงว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะ มักจะสร้างความเกลียดชังให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ
แต่ก็ไม่สามารถใช้วิธีคิดแบบธรรมดา มาวิเคราะห์บุคคลซึ่งผิดปกติ ไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะปล้นสมบัติไปจากมัน, ขโมยพลังลมปราณของมัน, เอาตะเกียงอสูรไปหนึ่งดวง และทำให้มันมีโทสะ จนถึงจุดที่ใกล้จะคลุ้มคลั่ง มันก็ยังรู้สึกยกย่องชมเชยเขาอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลธรรมดาทั่วไปจะสามารถเข้าใจได้
จริงๆ แล้ว ถ้าเมิ่งฮ่าวแค่จากไปอย่างเงียบๆ ปรมาจารย์เอกะเทวะ ก็จะลืมเรื่องเขาอย่างสิ้นเชิง ภายในเวลาไม่กี่ปี แต่การแสดงออกที่เขากระทำไว้ ได้สร้างความทรงจำให้แก่ ปรมาจารย์เอกะเทวะ ไว้อย่างลึกล้ำ มันไม่มีทางที่จะลืมความรู้สึกอันซับซ้อน และความเจ็บปวดใจเช่นนี้ไปอย่างง่ายดาย
ด้านนอกของสำนักเอกะเทวะ ในแคว้นจ้าว มันเป็นวันทิ่อบอุ่น และมีแสงแดดแผดจ้า แต่ก็มีพายุเมฆกำลังก่อตัวอยู่ที่เส้นขอบฟ้า ใบหน้าของเมิ่งฮ่าวสงบนิ่ง ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพัดหยินเหอ เขาทะยานตรงไปด้วยความเร็วสูงสุด
เขาได้ลดพลังการฝึกตนกลับมาที่ระดับเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณ เขาไม่ต้องการที่จะเปิดเผยวงจรอันยิ่งใหญ่ ของขั้นรวบรวมลมปราณ เว้นแต่จะถึงคราวจำเป็น ถึงแม้ว่าความสำเร็จของเขาจะสำคัญยิ่ง แต่พิษภายในร่าง ก็ยังไม่ได้ขจัดออกไป มันก็เหมือนกับมีก้างปลาติดอยู่ในลำคอ เขานั่งเข้าฌาณอย่างเงียบๆ พยายามที่จะคิดหาวิธีกำจัดพิษออกไป
“พิษทั้งสี่ชนิด ข้าสามารถกำจัดออกไปได้แค่หนึ่ง นอกจากพิษจากยาพิษสามสีแล้ว พิษอื่นๆ ก็ขจัดออกได้ง่าย…ข้าต้องคิดวิธี ในการหายาขจัดพิษพวกนี้ให้เร็วที่สุด” จากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับปรมาจารย์เอกะเทวะ ความเกลียดชัง และโทสะของเมิ่งฮ่าวก็เบาบางลงไปเรียบร้อย
เขาเหินไปเรื่อยๆ และไม่ช้า ฟ้าร้องและฟ้าผ่าก็เต็มอยู่ในท้องฟ้า เม็ดฝนขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่วก็ตกลงมา พื้นดินปกคลุมไปด้วยแผ่นของสายฝน ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมืดสลัวดูเลือนลาง
ตอนนี้ฝนกำลังตกลงมา แต่อากาศโดยทั่วไปก็ยังร้อนเหมือนเช่นเคย ความร้อนถูกยับยั้งจนทำให้ยากที่จะหายใจ เพียงอยู่ท่ามกลางสายฝนเท่านั้น ถึงจะรู้สึกถึงความหนาวเย็นได้บ้าง
ขณะที่ฝนกำลังตกหนัก เมิ่งฮ่าวก็หยุดการเหินบิน และไปยืนอยู่บนยอดเขา มองออกไปในที่ห่างไกล เขากระจายพลังลมปราณครอบคลุมไปทั่วร่าง ทำให้สายฝนไม่สามารถตกลงมาบนตัวได้ เหมือนยืนอยู่บนเขตพื้นที่ของเขาเอง ซึ่งแยกออกมาจากโลกอันมืดสลัวในตอนนี้
เขามองออกไปยังโลกที่อยู่รายรอบตัว และคิดไปถึงประสบการณ์ทั้งหมดในหลายปีที่ผ่านมา เขาได้บรรลุถึงวงจรอันยิ่งใหญ่ ของการรวบรวมลมปราณโดยสมบูรณ์ ซึ่งดูคล้ายความฝัน หลังจากคิดถึงสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเป็นเวลานาน เขาก็ถอนหายใจออกมา
“ข้าสงสัย…สงสัยว่าศิษย์พี่หญิงฉื่อกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้” เขากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล ขณะที่ใบหน้าของนาง ปรากฎขึ้นอยู่ภายในจิตใจ มองออกไปยังทิศทาง ที่คิดว่าเป็นจุดศูนย์กลางของดินแดนด้านใต้
เขายกมือขวาขึ้นมา และแผ่นหยกก็ปรากฎขึ้น มันถูกแกะสลักเป็นรูปภูเขา และแม่น้ำ และมีรอยร้าวอยู่เต็มไปหมด จนดูราวกับว่ามันอาจจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ
นี่เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์เอกะเทวะ เรียกว่า เครื่องรางนำโชค ซึ่งเขาได้เจอที่ด้านล่างของภูเขาหินลมปราณ เขามองไปที่มันอย่างใกล้ชิด จากนั้นก็ส่งพลังลมปราณเข้าไปเล็กน้อย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น
เขาพึมพำกับตัวเอง เอาเครื่องรางนำโชคเก็บกลับไป จากนั้นก็ดึงธงสีดำขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ปรากฎว่ามีประกายของพลัง เคลื่อนไหวไปมาอยู่ด้านใน พึมพำกับตัวเองอีกครั้ง เปิดปากพ่นลมปราณออกมา ส่งผลให้มันพุ่งไปปักอยู่ที่พื้น
“ธงผืนนี้ ไม่ได้ถูกผนึกโดยปรมาจารย์เอกะเทวะ ข้าจึงใช้มันได้ คงต้องปรับแต่งมันอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะใช้มันได้เต็มพลัง, อย่างไรดี…” เขาเพิ่มลมปราณเข้าไปอีก ก่อนที่จะดึงมันกลับมา
ต่อมา, เขาก็หยิบเอาตะเกียงที่กำลังลุกไหม้อยู่ ออกมาอย่างระมัดระวัง ภายในตะเกียงมีร่างขนาดเล็กนั่งขัดสมาธิอยู่ เมื่อเมิ่งฮ่าวดึงวิญญาณแรกก่อตั้งที่กำลังเผาไหม้อยู่ออกมา กระแสแห่งพลังลมปราณก็กระจายออกมาอีกครั้ง
เปลวไฟปรากฎอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ว่ามันมีพลังอันแข็งแกร่ง เปลวไฟ คือ พลังชีวิต และ วิญญาณแรกก่อตั้ง ก็คือ เชื้อเพลิง
“ของชิ้นนี้มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ข้าสามารถใช้มันเป็นเหมือน ของวิเศษช่วยชีวิต!” ด้วยความกระตือรือล้นเป็นอย่างยิ่ง เมิ่งฮ่าวเก็บมันกลับเข้าไปในถุงแห่งจักรวาล
ท้ายสุด, เขาดึงเอาชิ้นหยกโบราณออกมา มันให้ความรู้สึกถึงความโบราณอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่ามันได้คงอยู่มานานหลายปีมากจนไม่อาจนับได้
เมิ่งฮ่าว มองไปที่มัน หัวใจเต้นรัว ส่งพลังลมปราณเข้าไปเล็กน้อย ในขณะนั้นเอง อักษรสามตัว ก็ปรากฎขึ้นในจิตใจ ”เฟิงเยาจง…” (สำนักผนึกอสูร)
ความทรงจำบางอย่างก็ปรากฎขึ้นด้วย แต่เขาก็ไม่สามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจน มีเพียงตัวอักษรสามตัวแรกเท่านั้น ที่เห็นได้อย่างชัดเจน
เขาส่งพลังลมปราณเข้าไปมากขึ้น ครั้นแล้ว เสียงกระหึ่มก็เต็มอยู่ในจิตใจ จนต้องถอยหลังออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว และหยุดการพุ่งพลังลมปราณเข้าไปในหยกชิ้นนั้นโดยทันที
เขารู้ว่าใครก็ตาม ที่ไม่บรรลุถึงวงจรอันยิ่งใหญ่ ของการรวบรวมลมปราณ ก็สามารถเห็นได้แค่ตัวอักษรสามตัวนี้เท่านั้น แต่ในขณะนี้ เขาสามารถอ่านได้เพียงบรรทัดแรก
“เต๋าโบราณ; ปรารถนาที่จะปิดผนึกสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง; สร้างคุณความดีเพื่อทั้งหมดในขุนเขา; ทัณฑ์แห่งเต๋าที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ของเก้าขุนเขา และทะเล; จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์”
ร่างของเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และทันใดนั้นความมุ่งหวังของเขาก็ชัดแจ้ง ตอนนี้สายฝนกำลังตกลงมาบนร่างเขา จนเปียกโชกไปทั้งตัว
แสงแปลกๆ เต็มอยู่ในดวงตา เขามองกลับลงไปยังแผ่นหยกอย่างเงียบๆ ในจิตใจของเขา ปรากฎภาพของวิชาอสูร ที่ถูกใช้โดยปรมาจารย์เอกะเทวะ และเวทอสูร ที่ซ่างกวนซิวใช้ควบคุมรังสีของภูเขาต้าชิง
หลังจากที่ใคร่ครวญเป็นเวลานาน เขาก็ยังคงไม่เข้าใจ จึงนั่งลงขัดสมาธิ และส่งพลังลมปราณเข้าไปในแผ่นหยกอีกครั้ง พิจารณาถึงความหมายลึกๆ ของคำพูดเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง
เวลาชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป ฝนตกลงมาอย่างรวดเร็ว และก็ผ่านไปอย่างฉับไว ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้น เมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขาเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ ในชีวิตของการเป็นนักศึกษาก็ตาม
แต่เมื่อเขาได้เข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ เขาก็เรียนรู้เข้าใจในวิชาเวทอย่างรวดเร็ว เขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการฝึกฝน ในความเป็นจริง นี่เป็นครั้งแรก ที่เขามีปัญหาในการขบคิดวิเคราะห์ความทรงจำนี้
ราวกับว่า ความทรงจำนี้เป็นบางสิ่งที่ ต้องใช้ความรู้แจ้งเพื่อที่จะเข้าใจได้ ถ้าปราศจากการรู้แจ้ง ก็ได้แต่มองดูอยู่ด้านนอก ไม่สามารถเข้าไปได้
“คำพูดพวกนี้ดูเหมือนจะซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ความหมายที่แท้จริงถูกปิดบังไว้ เหมือนกับการพยายามมองดูดอกไม้ในสายหมอก หรือ มองจันทราในสายน้ำที่กระเพื่อมไปมา…”
เขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ สักพัก จนกระทั่งแสงเจิดจ้าปรากฎขึ้นในดวงตา เงยหน้าขึ้น และจ้องขึ้นไปในท้องฟ้า ดูท่าทางลังเลเล็กน้อย
เวลาผ่านไปมากขึ้น ในที่สุด ความมุ่งมั่นก็ปรากฎในดวงตา เขากระโดดขึ้น และกระบี่บินก็ปรากฎอยู่ใต้เท้า ขณะที่เขาพุ่งออกไปในที่ห่างไกล
“ถ้าข้าบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ ข้าก็จะบินได้เป็นเวลานาน มันน่าจะดีกว่าตอนนี้มาก” สายลมพัดมาปะทะใบหน้า เมื่อเขาเหินตรงไป จากนั้นสักพัก พลังของกระบี่บินก็เริ่มจางหายไป เมิ่งฮ่าวร่อนลงไปที่พื้น และวิ่งต่อไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ครั้งแรกที่ออกจากเทือกเขานี้ เขายังอยู่ในระดับหก ขั้นรวบรวมลมปราณ และต้องใช้เวลาถึงสองวัน แต่ตอนนี้ เขาบรรลุวงจรอันยิ่งใหญ่ ของการรวบรวมลมปราณ และใช่เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ไม่ช้า เขาก็ออกจากเทือกเขานี้ และไปถึงทะเลเหนือ
เขายืนอยู่ที่ชายฝั่งอีกครั้งหนึ่ง มองออกไปยังทะเลสาบ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ ประสานมือ และโค้งตัวลงต่ำสองครั้ง
โค้งตัวครั้งแรก สำหรับความเมตตาของทะเลเหนือ ที่ได้แสดงเต๋า และช่วยให้เขาทะลวงผ่านจุดตีบตัน
โค้งตัวครั้งที่สอง เมื่อทะเลเหนือได้ช่วยเขา ในช่วงการต่อสู้กับติงซิ่น, ได้ช่วยชีวิต และทำให้เขาเกิดใหม่อีกครั้ง
“ข้าได้ให้สัญญาไว้สองครั้งแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่พูดอีก มันได้ประทับอยู่ภายในใจของข้าเรียบร้อยแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้น มองออกไปยังใจกลางทะเลสาบ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาปิดตาลง และนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณ ความทรงจำจากแผ่นหยกก็ปรากฎขึ้นในจิตใจ
“เต๋าโบราณ; ปรารถนาที่จะปิดผนึกสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง; สร้างคุณความดีเพื่อทั้งหมดในขุนเขา; ทัณฑ์แห่งเต๋าที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ของเก้าขุนเขา และทะเล; จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์”
เวลานานผ่านไป และคำพูดเหล่านี้ ก็ยังคงดังก้องอยู่ในจิตใจ และเขาก็ยังคงไม่เข้าใจความหมายของมัน
เวลาผ่านไปมากขึ้น ขณะที่เมิ่งฮ่าวพยายามที่จะ ถอดความหมายของคำพูดเหล่านั้นต่อไป ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอย่างจริงใจ ก็ดังก้องออกมาจากทั่วทะเลสาบ
“คุณชายท่านนี้ ต้องการจะข้ามทะเลหรือไม่?”
เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น และมองเห็นเรือกำลังใกล้เข้ามา บนเรือเป็นชายชราสวมใส่เสื้อกันฝนที่ถักทอจากต้นกก ด้านในเป็นเด็กผู้หญิง อายุแปดหรือเก้าขวบ มีดวงตากลมโต เมื่อนางมองมายังเมิ่งฮ่าว รอยยิ้มอันพิสุทธิ์สดใส ก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า
เมิ่งฮ่าวหัวเราะ ประสานมือ และโค้งคำนับให้ชายชรา และเด็กผู้หญิงคนนั้น จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนกระบี่บิน พุ่งตรงไปที่พวกมัน ร่อนลงไปบนเรือ
เหมือนก่อนหน้านี้ มีขวดสุราที่กำลังอุ่นอยู่ เด็กผู้หญิงหยิบมันขึ้นมา และรินไปที่จอกสำหรับเมิ่งฮ่าว แต่ไม่ได้ยื่นส่งให้ เอาคางของนางวางลงไปบนมือ และมองไปที่เขา
“พี่ใหญ่, ท่านกลับมาทำไม?” นางกล่าวด้วยเสียงใสซื่อบริสุทธิ์ และชัดเจน “ท่านมาหา กู๋อี่ติงซานอวี่?”
เมิ่งฮ่าวจ้องไปที่นางอย่างมึนงง
“กู๋อี่ติงซานอวี่ คือนามของข้า แต่ห้ามท่านบอกใคร ตกลงนะ พี่ใหญ่?” นางหัวเราะ และกระพริบตาให้เมิ่งฮ่าว มองดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งฮ่าวยิ้ม และประสานมือโค้งคำนับอีกครั้ง จากนั้นก็รับจอกสุรามา
ชายชราหัวเราะ ขณะที่เรือลอยตรงไปยังใจกลางทะเลสาบ มันมองกลับมายังเมิ่งฮ่าว ”พวกเราไม่ได้พบกันมานานหลายวัน คุณชาย, ท่านมีมารยาทสุภาพเรียบร้อยกว่าในอดีต ที่ผ่านมามากนัก ครั้งนี้ท่านจะไปขึ้นที่ฝั่งที่ไหน?”
“ข้า ผู้เป็นผู้เยาว์รุ่นหลัง ไม่ได้มาที่นี่เพื่อข้ามทะเลสาบ” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงเบา จิบสุราไปหนึ่งคำ “ข้ามาเพื่อขจัดความสับสนบางอย่าง”