ตอนที่ 9
ความเวทนาและความเคว้งคว้าง
ด้วยการใช้วิชานี้ที่ระดับขั้นสาม ช่วยให้จ้าวอู่กังมีความแข็งแกร่ง และความเร็วเพิ่มมากขึ้น พร้อมรอยยิ้มที่ดูน่ากลัว มันกระโจนเข้าใส่เมิ่งฮ่าว กรงเล็บอันแหลมคม ส่องประกายเย็นยะเยียบใต้แสงอาทิตย์
มันยิ้มด้วยความมั่นใจว่า เมิ่งฮ่าวจะต้องหวาดกลัว ตัวสั่นขวัญผวา ต่อให้คิดหนี ก็ไม่มีทางหนีรอดอย่างเด็ดขาด
“วิ่งสิ” จ้าวอู่กังหัวเราะด้วยรอยยิ้มที่ดุร้าย น้ำเสียงของมันเหี้ยมเกรียม “เจ้าไม่มีทางหนีรอดจากจ้าวอู่กังผู้นี้ได้”
เมื่อจ้าวอู่กังได้กลายร่างเป็นสัตว์อสูร เมิ่งฮ่าวได้หนีขึ้นไปข้างหน้า เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหางตา และความรู้สึกประหลาดใจก็แสดงออกมาทางสีหน้า แต่หลังจากนั้นเหมือนว่าได้คิดถึงบางอย่าง สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาไม่นึกเลยว่า ศิษย์พี่จ้าวจะมีวิชาเช่นนี้ การกลายร่างนั่น เหมือนกับสัตว์ป่าที่ถูกระเบิดโดยกระจกทองแดงเป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริง จ้าวอู่กังมีขนที่ยาวและดกหนาบนร่างมากกว่าสัตว์ป่าตัวอื่นๆ ที่เคยเจอมาซะอีก
เมิ่งฮ่าวมองไปที่จ้าวอู่กังอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าแปลกๆ เส้นขนที่ดกหนาทำให้มัน ดูเหมือนเป็นราชาแห่งสัตว์อสูรขนทอง
เมื่อจ้าวอู่กังมองเห็นสีหน้าของเมิ่งฮ่าว มันเกิดความรู้สึกประหลาดใจ เมื่อมันก้าวเข้าสู่ขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ มันได้พยายามฝึกการเปลี่ยนร่างมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เปิดเผยให้บุคคลอื่นเห็น สีหน้าแปลกๆ ของเมิ่งฮ่าว ทำให้มันรู้สึกโกรธ มันคำรามยะเยียบในใจ ประกายสังหารปรากฎขึ้นในดวงตา
“ข้าคิดว่า…กระจกทองแดงน่าจะชอบนะ” เมิ่งฮ่าวกล่าว มองดูจ้าวอู่กังในร่างสัตว์อสูร พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ร่นระยะห่างลงอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามดังกึกก้อง เมิ่งฮ่าวก้าวถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับตบมือขวาลงไปที่ถุงเก็บสมบัติ ทันใดนั้นกระจกทองแดงก็ปรากฎขึ้น ด้วยสีหน้าแปลกๆ ที่ยังคงปกคลุมอยู่บนใบหน้า เขาส่องกระจกไปยังจ้าวอู่กังที่กำลังสำแดงฤทธิ์เดช
ทันทีที่กระจกเริ่มส่องประกาย เมิ่งฮ่าวรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน นี่เป็นคลื่นความร้อนที่มีพลังแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยรู้สึก ในการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ราวกับว่ากระจกมีความกระหายที่จะปลดปล่อยพลังออกมามากกว่าครั้งก่อนหน้านี้ ชั่วขณะนั้นแหล่งพลังลมปราณที่มองไม่เห็น ก็ระเบิดออกมาจากกระจกพุ่งตรงออกไป
จ้าวอู่กังกระโจนตรงมาที่เมิ่งฮ่าว ทั่วร่างเต็มไปด้วยความดุร้ายและแผ่รังสีสังหาร ทันใดนั้น มันก็รู้สึกแปลกประหลาด เหมือนกับว่ามีพลังลมที่รุนแรงเข้ามาอยู่ภายในร่าง พุ่งพล่านไปทั่ว ทำให้ตามตัวของเขา มีรอยนูนขึ้นมาเป็นระยะ สีหน้าจ้าวอู่กังเปลี่ยนไป รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสของอวัยวะภายใน ความรู้สึกถึงภัยอันตรายผุดขึ้นอย่างรุนแรง โดยไม่ต้องขบคิด มันบังคับให้พลังลมปราณในร่างไหลไปรวมกันยังจุดตันเถียนที่ท้องน้อย ป้องกันไม่ให้พลังลมปราณไหลออกไปจากร่าง
ลมปราณซึ่งพลังแกร่งกล้านั้น ดูเหมือนจะพยายามหาจุดที่อ่อนแอที่สุดในร่าง เพื่อจะมุดทะลวงออกมา เมื่อมันบังคับให้ลมปราณไหลไปที่จุดตันเถียน พลังลมปราณก็พุ่งตรงไปที่ก้นทันที และทันใดนั้นก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ด้วยความเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกฉีกกระชาก จ้าวอู่กังแผดร้องออกมาอย่างลืมตัว
มันไม่เคยแผดร้องแบบนี้มาก่อนในชีวิต เนื่องจากไม่เคยพบเจอประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้ม จ้องไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงกร่ำเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
“ศิษย์พี่จ้าว” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยหัวใจเต้นแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับคนอื่น “ทำไมเราไม่จบทุกสิ่งในที่นี้? ถ้าท่านไม่สร้างความลำบากใจให้กับข้า ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากใจให้แก่ท่าน จบลงด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย” เขากำกระจกในมือไว้แน่น เสียงแผดร้องของฝ่ายตรงข้ามสร้างความวุ่นวายใจให้แก่เขา เขาทนรับมันไม่ได้ ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์อสูร
“เจ้าเด็กบัดซบ!” จ้าวอู่กังตะโกนตอบ “วันนี้ ข้าไม่เพียงแต่จะสังหารเจ้า วันหน้าข้าจะลงไปจากภูเขาลูกนี้ ค้นหาบิดามารดาญาติพี่น้องของเจ้า สังหารพวกมัน ทำลายพวกมันทั้งตระกูล! จึงจะหายแค้น!” ความเจ็บปวดทำให้มันเริ่มใกล้จะคลุ้มคลั่ง ดวงตาลุกโชน พร้อมด้วยเสียงคำราม มันพุ่งกระโจนเข้าใส่เมิ่งฮ่าว กรงเล็บแหลมคมเตรียมที่จะฉีกเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เมิ่งฮ่าวเป็นเพียงนักศึกษา และไม่เคยต่อสู้กับใครมาก่อน แต่เขาก็มีความกล้าหาญ เมื่อได้ยินจ้าวอู่กังพูดเช่นนั้น ดวงตาก็ลุกโชนไปด้วยรังสีสังหารเช่นกัน ไร้ประโยชน์ที่จะพูดจากับคนที่ไร้เหตุผล ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายมาหาเรื่องเขาแท้ๆ ตนทนฟังเสียงทุกข์ทรมานของมันไม่ได้ แต่มันกลับกล่าววาจาเช่นนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทน เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว และยกกระจกขึ้นโดยไม่สะทกสะท้าน
ยังไม่ทันที่จ้าวอู่กังจะเข้าประชิด มันรู้สึกว่ามีบางอย่างคำรามมาที่มัน อีกครั้งที่พลังลมปราณอันน่ากลัวไหลเข้าไปในร่างมัน จากประสบการณ์ที่เพิ่งพบเจอมา มันปกป้องตัวเองด้วยการผนึกลมปราณไม่ให้รั่วไหล แต่ในขณะที่มันกำลังเชื่อมั่นในความสำเร็จที่เกิดขึ้น เสียงกึกก้องก็ดังขึ้น พลังลมปราณนั่นพุ่งพล่านไปทั่วร่าง และระเบิดพุ่งออกมาจากหูด้านซ้ายของมัน
ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าจากครั้งแรก มันส่งเสียงแผดร้องโหยหวน ยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ หูซ้ายระเบิดออก โลหิตสาดพุ่งกระจาย
ความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องทำให้มันรู้สึกเหมือนกับศีรษะระเบิด สีหน้าเริ่มซีดขาวจ้องไปยังเมิ่งฮ่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมชั่วร้าย
“ข้าจะสังหารเจ้า กำจัดให้หมดสิ้นทั้งตระกูล! ข้าจะให้พวกมันรับรู้ถึงความเจ็บปวดเช่นนี้บ้าง จากนั้นจะให้พวกมันแผดร้องโหยหวนจนตายไป!” ด้วยความเจ็บปวดและหูซ้ายที่หนวกไปแล้ว มันพุ่งตรงเข้าใส่เมิ่งฮ่าวอ ด้วยความมุ่งมั่นอย่างบ้าคลั่งที่จะเข่นฆ่าปฏิปักษ์
“ข้าอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้า แต่เจ้ากลับไม่สนใจ!” เมิ่งฮ่าวกล่าว อ้าปากค้าง เขาไม่เคยเห็นกระจกระเบิดหูใครมาก่อน มองดูใบหน้าที่โหดเหี้ยมของจ้าวอู่กัง เขาก้าวถอยหลังออกไปอีก และส่องกระจกไปบนร่างของมันอีกครั้ง
“เมิ่งฮ่าว!!!” จ้าวอู่กังกรีดร้อง หูขวาของมันระเบิดตามเป็นชิ้นๆ ใบหน้าไม่มีเค้าความดุร้ายอีกต่อไป มีแต่ความประหลาดใจและความหวาดกลัวมาแทนที่ มันหันหลังวิ่งหนีออกไป อย่างรวดเร็วเท่าที่จะเร็วได้ในชีวิตของมัน ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยพูดไว้กับเมิ่งฮ่าว นอกจากความหวาดกลัวว่าจะหนีไม่พ้น แต่มันยังตัดสินใจอย่างแน่วแน่ด้วยอีกว่า เมื่อผ่านคราวนี้ มันจะกลับมาอีกครั้ง มันต้องสังหารเมิ่งฮ่าวอย่างสาสม ให้ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่เท่าเทียมกัน และต้องยึดเอากระจกทองแดงนั่นมาให้ได้
แต่ว่าในขณะที่มันกำลังวิ่งหนีไป เป็นครั้งแรกที่กระจกได้ลอยออกไปจากมือของเมิ่งฮ่าว เหมือนกับว่ากระจกถูกกระตุ้นให้เกิดความสนใจ ลอยตามจ้าวอู่กังไป ส่องแสงโจมตีไปหลายครั้ง สายตาจ้าวอู่กังเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ระหว่างขัดขืน เสมือนมีพลังที่น่าเหลือเชื่อได้ไหลเข้าไปในร่างของมัน มันกรีดร้องอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ หนีไปทางไหนก็ไม่ได้ มีบางอย่างโยนมันขึ้นไปในอากาศ และ หูซ้าย หูขวา หน้าอก รวมถึงต้นขา เกิดการระเบิดจากภายในอย่างรุนแรง
พร้อมด้วยการระเบิดของลมปราณเป็นชุดๆ กลุ่มหมอกโลหิตก็สาดกระจายไปทั่ว ในชั่วระยะเวลาหายใจเข้าออกสิบครั้ง สองตาจ้าวอู่กังเริ่มมืดลง ร่างของมันค่อยๆ เปลี่ยนจากรูปแบบของสัตว์อสูร กลายเป็นคนปกติ เส้นขนหายไป และเหมือนว่าเป็นเพราะเหตุนี้ ทำให้กระจกทองแดงหมดความสนใจ ลอยกลับไปที่เมิ่งฮ่าว ร่างจ้าวอู่กังร่วงลงไปกองบนพื้น
ทั่วร่างเต็มไปด้วยโลหิต สองตาจ้าวอู่กังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ใครก็ตามที่มองเห็นภาพนี้ ตัวต้องสั่นสะท้าน
เมิ่งฮ่าวต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนาวเหน็บ เมื่อมองไปที่ร่างไร้วิญญาณของจ้าวอู่กัง กระจกทองแดงลอยกลับมาอยู่ในมือ เขาถือมันไว้ด้วยร่างที่กำลังสั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง ยามเมื่อเห็นสัตว์ป่าบางตัวร่างระเบิด ไม่รู้สึกเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด แต่บัดนี้เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ เมื่อเห็นโลหิตบาดแผลเหวอะหวะทั่วร่าง เขาก็สั่นสะท้าน รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดอันเหม้นคลุ้งทั่วกระจก ทำให้เขาอยากจะโยนมันทิ้งไป เขาคลายมือออก และกระจกก็ตกลงไปบนพื้น
เขาเป็นแค่นักศึกษา ในตอนแรกก็รู้สึกว่ากระจกบานนี้น่าสนใจดี แต่ตอนนี้มันดูน่ากลัว และแตกต่างจากคำสอนของลัทธิขงจื๊อที่เมิ่งฮ่าวยึดถือมาโดยตลอด
เขายืนนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน จิตใจเต้นรัว ความเคว้งคว้างปรากฏในดวงตา เขายังคงเป็นนักศึกษาจากเมืองหยุนเจี๋ย เขาใช้เหตุผลพูดจากับทุกคน ไม่เคยต่อสู้ หรือสังหารใครมาก่อน มันเป็นนิสัยที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย เมื่อเขาไตร่ตรองเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น จิตใจก็ต่อสู้กันเอง
“ลัทธิขงจื๊อมุ่งเน้น จรรยา ความสุข ความเมตตา และความยุติธรรม ละเว้นจากการฆ่า แต่สำนักนี้กล่าวว่า ‘ผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอ’ แม้นข้าเข้าใจถึงความจริงในคำกล่าวนั้น แต่ในการปฏิบัติจริงช่างแตกต่างยิ่งนัก…” เมิ่งฮ่าวตัวสั่นด้วยความตกใจ แม้เพียงแค่คิดไปถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาถอนหายใจยาว และเริ่มเดินจากไป
แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ขบฟันแน่น หันหลังกลับ เดินไปยังร่างไร้วิญญาณของจ้าวอู่กัง หยิบถุงเก็บสมบัติขึ้นมา จากนั้นก็รวมลมปราณแปลงเป็นเปลวไฟอสรพิษ วางไปบนร่างไร้วิญญาณนั้น
อสรพิษไฟตัวเดียว ไม่เพียงพอสำหรับไหม้ร่างนั้นจนหมดสมบูรณ์ ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจึงกินยาเม็ดรวบรวมลมปราณเข้าไป ยิงเปลวไฟอสรพิษอีกสามครั้ง ในไม่ช้าร่างไร้วิญญาณนั้นก็ไหม้เกรียมจนไม่สามารถแยกแยะได้
เขาสูดลมหายใจโคจรลมปราณ ขบฟันอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งเปลวไฟอสรพิษไปอีกสองครั้ง จนร่างนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุด
เพ่งมองไปที่กระจกบนพื้น เขากัดฟันแน่น เดินไปหยิบมันขึ้นมา กำไว้จนแน่น
เมิ่งฮ่าวจากไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและขัดแย้ง เดินกลับไปยังถ้ำแห่งเซียนด้วยความรวดเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้ เขานั่งอยู่ในถ้ำด้วยความงุนงงเป็นเวลานาน จนในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เปิดถุงเก็บสมบัติของจ้าวอู่กังออก เมื่อมองเข้าไปข้างใน สายตาก็ลุกโชน อารมณ์ที่มืดมัวจากการสังหารคนครั้งแรกในที่สุดก็เปลี่ยนไป
“เจ้าผู้นี้ช่างร่ำรวยดีแท้” เขาอุทานออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในถุงประกอบด้วยหินลมปราณแปดก้อน ยาเพิ่มลมปราณเจ็ดเม็ด และชิ้นส่วนกระดูกที่มีตัวอักษรขนาดเล็กแน่นขนัด
เขามองไปที่ชิ้นส่วนกระดูก จากนั้นก็โยนไปด้านข้างทันที มันมีการอธิบายถึงวิธีการฝึกวิชาร่างแปลงอสูร เขาไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องมัน เขาไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนเป็นร่างแปลงอสูร และถูกทำลายด้วยกระจกทองแดงของตัวเอง
เมื่อโยนกระดูกไปที่ด้านข้าง ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ถึงกระบี่บิน จึงรีบเดินออกจากถ้ำไปในทันที และเริ่มออกค้นหาในราวป่า ในที่สุดก็ค้นพบกระบี่เล่มเล็กๆ สีขาว จึงนำกลับเข้าถ้ำไปตรวจสอบ ตาเปล่งประกาย
เมิ่งฮ่าวไม่สามารถหาทางประสานความขัดแย้ง ระหว่างวิถีแห่งเซียนและวิถีแห่งลัทธิขงจื๊อได้ เขาจึงตัดสินใจหยุดคิดถึงเรื่องเหล่านี้ บางทีเขาอาจจะเข้าใจมันในวันหนึ่ง แต่ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือการหาทางมีชีวิตรอดอยู่ในสำนักแห่งนี้
สายตาเต็มไปด้วยการตกลงใจ เขาหยิบหินลมปราณออกมา จากนั้นก็ดึงกระจกทองแดงออกมาด้วย และวางมันลงข้างกาย มองไปสักพัก
“ศิษย์พี่จ้าวเป็นฝ่ายหาเรื่องข้าก่อน” เขาพึมพำ “ข้าจำเป็นต้องตอบโต้ ข้าพยายามที่จะประนีประนอม แต่มันก็ไม่ยอม… ถึงข้าจะสังหารใครบางคนไป แต่ข้าก็พยายามใช้เหตุผลแล้ว ข้าได้ยึดหลักความเมตตาและความยุติธรรม แต่เป็นมันที่แส่หาที่ตายเอง”
“กระจกนี้แม้มีกลิ่นคาวของโลหิต เมื่ออยู่ในมือของคนชั่ว มันก็ต้องเป็นเครื่องมือวิเศษของการทำชั่ว แต่เมื่ออยู่ในมือข้า มันจะต้องแตกต่างกันออกไป ข้ามีความเมตตาในคำสอนของขงจื๊ออยู่ในจิตใจ ของวิเศษนี้อยู่กับข้า มันจะต้องแตกต่างอย่างแน่นอน” เขามองลงไปที่กระจก และ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ของวิเศษนี้ ไม่ได้ระเบิดเฉพาะช่วงล่างของอีกฝ่าย แต่เป็นทั่วทั้งตัว ในวันข้างหน้าข้าต้องใช้มันอย่างระมัดระวัง” เขาพึมพำกับตนเองแบบนี้สักพัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น คิดถึงความหวังของตัวเอง และความมหัศจรรย์ของกระจก แล้วก็กัดฟัน
“สำเร็จหรือล้มเหลว เราจะได้รู้กัน ถ้ามันสำเร็จ การฝึกตนของข้าเมิ่งฮ่าวก็จะทะยานดุจติดปีก” โดยไม่ลังเล เมิ่งฮ่าวดึงแกนสัตว์อสูรออกมา พร้อมด้วยหินลมปราณครึ่งก้อน จากนั้นก็วางลงไปบนกระจก เขารอด้วยความมุ่งหวังที่กระวนกระวาย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอก ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย แกนสัตว์อสูรไม่ได้เปลี่ยนไป หินลมปราณก็ไม่ได้หายไป ยังคงมีแค่หนึ่งแกนสัตว์อสูรเหมือนเดิม
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เขาเดินวนไปมารอบถ้ำสักพัก ก่อนที่จะมองกลับไปที่กระจก
“มันไม่น่าใช่ เดือนที่แล้วมันสร้างขึ้นมาสองก้อน…” เขาจ้องไปที่หินลมปราณบนกระจก จมดิ่งในความครุ่นคิด หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาก็ตบถุงเก็บสมบัติ ดึงหินลมปราณก้อนอื่นออกมาอีก แล้วก็วางลงไปบนกระจกอย่างระมัดระวัง
เกือบจะในทันทีที่เขาวางหินลมปราณลงไป แสงสีดำก็กระพริบไปมาบนผิวของกระจก และพื้นผิวกระจกเริ่มเปลี่ยนไปจนมองคล้ายกับเป็นพื้นผิวทะเลสาบ หินลมปราณสองก้อนจมลงไป และแสงสีดำสั่นเป็นระลอกคลื่นรวมตัวปกคลุมแกนสัตว์อสูร จากนั้นข้างๆ แกนสัตว์อสูรก้อนแรก ก็ปรากฎก้อนที่สองขึ้น
เมิ่งฮ่าวปากอ้าตาค้างไปกับภาพที่เห็น ถึงแม้ว่าเขาได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงตกตะลึง หลังจากที่เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาหยิบแกนสัตว์อสูรทั้งสองก้อนขึ้นมา และตรวจสอบมันด้วยความตื่นเต้น
“มันเป็นความจริง! ความวิเศษนี้เป็นจริง!” เขาเริ่มหายใจแรงขึ้น และใช้เวลาสักพักก่อนที่จะดึงตัวเองกลับมา ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ทดลองอีกครั้ง
หินลมปราณก้อนที่หนึ่ง ก้อนที่สอง…ก้อนที่เก้า เขายังเหลือแค่อีกก้อนเดียว เบื้องหน้าเขามีแกนสัตว์อสูรสี่ก้อน ถ้านับรวมกับก้อนดั้งเดิมก็เป็นห้า
แกนอสูรส่งกลิ่นหอมหวานโชยไปทั่วในอากาศ ทำให้เขารู้สึกมึนเมา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มโง่งม เขาตระหนักดีว่านี่เป็นความมั่งคั่งมากที่สุดที่เขาเคยมีในชั่วชีวิตนี้ ไม่เพียงเฉพาะเขา แต่มันเป็นสิ่งที่ศิษย์สายนอกของสำนักทั้งหมดไม่มีวันได้พบเห็นมาก่อน
เขาตื่นเต้นไปจนกระทั่งตกดึกในคืนนั้น กำแกนสัตว์อสูรวางลงบนลิ้น แล้วก็กลืนมันลงไปอย่างไม่ลังเล หนึ่งชั่วยามผ่านไป ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็กลืนก้อนอื่นลงไป
เขาไม่เคยทำอะไรที่ฟุ่มเฟือยมาก่อน ด้วยเวลาที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด พลังลมปราณของแกนสัตว์อสูรทั้งสองก้อน ได้แผ่กระจายไปทั่วร่างของเขา จนกระทั่งรุ่งอรุณมาเยือนอีกครั้ง ร่างของเขาสั่นสะท้าน สิ่งปฏิกูลในร่างถูกขับออกมาจากรูขุมขน เมื่อลืมตาขึ้นสองตาก็ส่องประกายแวววาว
“ขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ!” แต่เมิ่งฮ่าวยังคงไม่พึงพอใจ เขามองลงไปยังแกนสัตว์อสูรสามก้อนที่เหลือ หยิบมากลืนกินลงไปหนึ่งก้อน จนถึงเช้าตรู่ของอีกวัน เขาก็ได้กินแกนสัตว์อสูรทั้งหมดลงไป พลังการฝึกตนของเขา ยังขาดอีกเพียงน้อยนิด จะเข้าสู่ระดับสูงสุดแห่งขั้นสามการรวบรวมลมปราณ
สำหรับยาเม็ดเพิ่มลมปราณทั้งแปดที่มีอยู่ ถึงแม้จะกินลงไปทั้งหมด ก็ไม่มีประโยชน์มากมายเท่าใดนักแล้ว ด้วยพลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ เขาทบทวนอย่างตั้งใจ รู้สึกว่าอาจเป็นเพราะการกลืนกินแกนอสูรเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นยาเม็ดเพิ่มลมปราณไม่ควรสิ้นฤทธิ์ เพราะยาเม็ดเพิ่มลมปราณต่างหาก ที่เป็นยาต้นตำรับของสำนัก
“หากจำนวนเล็กน้อยไม่มีผล กินครั้งละสิบเม็ด น่าจะมีผลบ้าง” เมิ่งฮ่าวปิดตาลง เพ่งสมาธิไปที่การโคจรลมปราณในร่าง มันไม่ใช่ลำธารเส้นน้อยอีกต่อไปแล้ว แต่มันได้กลายเป็นแม่น้ำ ถึงมันไม่ใช่แม่น้ำที่ยิ่งใหญ่นัก แต่มันก็กว้างใหญ่กว่าลำธารลมปราณอย่างแน่นอน จากการสำรวจไปทั่วร่างกาย ทำให้เขารับรู้ถึงพละกำลัง เขารู้สึกถึงพลังลมปราณอันมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่าง
เมื่อเมิ่งฮ่าวเปรียบเทียบระดับลมปราณในร่างกับเมื่อวาน ราวกับว่าเขาได้เกิดใหม่ ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับต้นผู้อ่อนแอ ใครๆ ก็สามารถทำร้ายเขาได้ แต่เวลานี้ เขาเป็นศิษย์ในกลุ่มระดับสี่ที่สามารถไปอยู่ในเขตส่วนรวมได้แล้ว พลังการฝึกตนของเขาสูงจนสามารถเบียดเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มของผู้มีพลังมากที่สุดได้
เขาโบกสะบัดมือขวาด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นเปลวไฟอสรพิษขนาดยาวเท่าแขน ก็ปรากฏฟู่ออกมา พลังความร้อนปกคลุมไปทั่วทั้งถ้ำ เปลวไฟอสรพิษที่ดุร้าย เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต พุ่งกระจายเป็นระเบิดเพลิง
ถ้าเขาต้องสู้กับจ้าวอู่กังด้วยระดับพลังในตอนนี้ เปลวไฟอสรพิษพุ่งออกมา ต่อให้อีกฝ่ายไม่ตาย ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส