Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 921

ตอนที่ 921

เป้าหมาย

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่นั่งลงขัดสมาธิอยู่ในที่พัก ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวเขาจะอยู่ในตระกูลฟาง แต่ก็ไม่มีความรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของมากนัก

“นี่ไม่ใช่บ้านของข้า” เขาพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “เตียเหนียงข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อพวกท่านอยู่บนดาวหนานเทียน ดาวหนานเทียนก็คือบ้านของข้า”

ในตอนนี้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ใช้เวลาครึ่งปีในศาลาโอสถ และจากนั้นก็ต้องพบกับการเผชิญหน้าเมื่อครู่นี้ ทำให้เขาต้องหมดแรงและบาดเจ็บทางร่างกายอีกด้วย

จากนั้นเขาก็คิดไปถึงคะแนนความดีทั้งหมด ที่ต้องสูญเสียไปตอนที่อยู่ในศาลาโอสถอีกครั้ง คล้ายกับเป็นมีดที่แทงเข้าไปในหัวใจ

“ช่างปวดใจนัก…” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับกัดฟันแน่น “โชคดีที่ข้าไม่ได้ทดสอบไปทุกชั้น ครั้งหน้าข้าจะต้องเตรียมตัวให้ดี ไม่มีคะแนนความดี ก็ไม่อาจจะมองดูข้าได้!” เมื่อตัดสินใจได้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็หลับตาลงและโคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตนเพื่อเริ่มการฟื้นฟูร่างกาย

สิบวันต่อมา เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น และพวกมันก็สาดประกายขึ้นด้วยความกระปรี้กระเปร่า เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ตลอดช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้ใช้พลังจิตไปอย่างมากมาย ตอนนี้ก็ได้ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ดวงตาเขาสาดประกาย หยิบเอาตำราที่ถูกมอบมาให้กับเขาโดยเฉพาะออกมาจากถุงสมบัติ

“ผู้เฒ่าโอสถมอบตำราเล่มนี้ให้กับข้า…” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็เริ่มพลิกหน้าตำราขึ้น ยิ่งเขาได้เห็นมากเท่าใด ดวงตาก็ยิ่งมีแสงเจิดจ้ามากขึ้นเท่านั้น นี่คือตำราพืชสมุนไพรที่แท้จริง และมีรายละเอียดอยู่อย่างน่าเหลือเชื่อ มีแม้แต่ต้นสมุนไพรที่เขาไม่เคยเห็นในศาลาโอสถมาก่อนอีกด้วย

ขณะที่เมิ่งฮ่าวกวาดดูเนื้อหาอย่างคร่าวๆ จู่ๆ ก็ตระหนักว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองมีความก้าวหน้ามากขึ้น หลังจากที่มีประสบการณ์อยู่ในศาลาโอสถ เขาส่งมันออกไปยังลานบ้าน มองเห็นฟางซีกำลังนั่งอยู่ที่นั่นอย่างน่าสมเพช นกแก้วและผีโต้งไม่ได้เกาะอยู่บนไหล่ของมันเหมือนเช่นเคย ไม่รู้ว่าพวกมันไปที่ไหนกันแล้ว

เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างอยู่ชั่วขณะ เขาจำได้ว่ามองเห็นฟางซีอยู่ในกลุ่มผู้ชมห้าแสนคน ที่ด้านนอกของศาลาโอสถ แต่ก็จำไม่ได้ว่านกแก้วและผีโต้งอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่ เขาเปิดประตูที่พักออกไป ทำให้เกิดเป็นเสียงที่ฟางซีต้องมองขึ้นมา ดวงตามันว่างเปล่าอยู่เล็กน้อย เมื่อได้เห็นเมิ่งฮ่าว มันก็ถอนหายใจออกมาและยืนขึ้น

ฟางซีก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ กล่าวขึ้นอย่างขมขื่น “ท่านลงโทษข้าได้เลย ทั้งหมดนั้นเป็นความผิดของข้าเอง อู่เหยียและซานเหยีย พวกมัน…ข้า…ข้า…”

เห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจจะหยุดตำหนิตัวเองได้

“เกิดอะไรขึ้น?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอู่เหยีย หลังจากที่ท่านออกมาจากศาลาโอสถ ข้ากำลังพามันกับซานเหยียกลับมาที่นี่ แต่ก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับอู่เหยีย ทันใดนั้น…มันก็มุ่งหน้าตรงไปยังนักปรุงยาระดับเจ็ดฟางสุ่ยเยียน ซึ่งเป็นหญิงชรานางนั้น อู่เหยียและนกยูงของนางเริ่มต่อสู้กัน…”

“ข้าไม่อาจจะทำอะไรเพื่อหยุดพวกมันได้ อู่เหยียเริ่มคลุ้มคลั่ง…ซานเหยียก็ไม่ได้พูดอะไรเพื่อจะหยุดเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเช่นเดียวกัน ในที่สุดมันก็เข้าไปร่วมกับอู่เหยียด้วย” ดูเหมือนว่าฟางซีจะไม่ค่อยสบายโดยสิ้นเชิง จนไม่อาจจะพูดจาได้ราบรื่นเท่าใดนัก

ทันทีที่เมิ่งฮ่าวได้ยินเรื่องราวที่ฟางซีบอกเล่ามา เขาก็รู้ดีว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น เขาจำนกยูงตัวนั้นและขนที่คล้ายกับเป็นเสื้อคลุมที่สวยหรูสง่างามของมันได้…

“ไม่ต้องกังวลไป เจ้านกแก้วแค่กำลังเล่นสนุกกับนกยูงนั่น” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยคำพูดที่สละสลวย

“เล่นสนุก?” ฟางซีร้องอุทานด้วยความร้อนใจออกมา ดูเหมือนว่ามันจะอารมณ์เสีย “ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน!”

“ท่านไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มัน…มันน่ากลัวมาก ก้นของนกยูงระเบิดออก! ช่างน่ากลัวจริงๆ!!” ฟางซีตัวสั่น เมื่อคิดไปถึงสิ่งที่ได้เห็นมา มันรู้สึกว่าน่ากลัวเป็นอย่างมาก จากนั้นก็คิดไปว่าได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับอู่เหยียมานานแค่ไหน และการที่นกแก้วมักจะมองมาที่ด้านหลังมันอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้เส้นขนทั่วร่างของมันต้องลุกตั้งชี้ชันขึ้นมา

“เจ้านกนั่น…ท่านจำเป็นต้องหาสถานที่ปล่อยมันไป มันช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง!” ลมหายใจฟางซีเริ่มเร่งร้อนถี่เร็วขึ้น

“เจ้าอายุยังน้อยดังนั้นจึงไม่เข้าใจ” เมิ่งฮ่าวกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจเป็นอย่างยิ่ง “ตราบเท่าที่เจ้านกนั่นคิด ก็เป็นแค่การเล่นสนุกของมันเท่านั้น”

“ยังมีอีกเรื่องที่ข้ายังไม่ได้พูดถึง” ฟางซีกล่าวต่อ อย่างที่ไม่อาจจะอดกลั้นไว้ได้ “ครั้งหนึ่งตอนที่ข้าออกไปกับอู่เหยียและซานเหยีย พวกเราไปเผชิญหน้ากับหมีที่ดุร้าย และอู่เหยีย…อู่เหยียก็…ก็เล่นสนุก”

เมิ่งฮ่าวตบไปที่ไหล่ของฟางซี และอธิบายขึ้นอีกครั้งว่าทั้งหมดนั้นคือการเล่นสนุก

“สุดท้าย” ฟางซีกล่าวเพิ่มเติม “อู่เหยียและซานเหยียก็ถูกนักปรุงยาฟางสุ่ยเยียนนำตัวไป…”

“ไม่ต้องกังวล” เมิ่งฮ่าวกล่าว โบกมือขึ้นด้วยท่าทางที่เรียบเฉย “เจ้าผีโต้งนั่นไม่อาจจะถูกสังหารให้ตายไปได้ และถ้านกแก้วนั่นตายไป โลกนี้ก็คงจะมีเรื่องให้กังวลใจลดน้อยลงไปสักหนึ่งอย่าง ไม่ต้องให้ความสนใจกับพวกมันมากนัก” เขาตระหนักดีว่าสองจอมโง่นี้หนังเหนียวมากแค่ไหน และไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างง่ายดาย ไม่อาจจะทำลายพวกมันไปได้อย่างแท้จริง

“แต่…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเราไปยังแผนกเต๋าแห่งการปรุงยากันเถอะ ข้าเสียเวลามาตลอดครึ่งปีในศาลาโอสถ ถึงเวลาที่จะหาคะแนนความดีเพิ่มแล้ว!” เมิ่งฮ่าวพุ่งออกไปจากถ้ำแห่งเซียน และฟางซีก็ติดตามไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก คนทั้งสองพุ่งตรงไปยังแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาด้วยความรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ตลอดเส้นทางนั้น จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มพลุ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เขาอยากจะรู้เป็นอย่างยิ่งว่า กลยุทธ์ที่ไปยังศาลาโอสถจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องคะแนนความดีของเขาได้หรือไม่

“ความยากจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงจะนำคำตอบมาให้ คำตอบนั้นจะช่วยแก้ไขเรื่องความยากจน!” ไม่นานนักคนทั้งสองก็บรรลุถึงแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา และผ่านเข้าไปในเขตภูเขาด้านนอก เมิ่งฮ่าวถูกพบเห็นได้ในทันที

“นั่นคือฟางฮ่าว! มันมาแล้ว!!”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า มันจะไปยังศาลาโอสถอีกครั้ง!? ยังไม่ถึงเวลาอ่า อย่าบอกข้านะว่า…มันกำลังจะมาบรรยายเรื่องต้นพืชสมุนไพร!?” ทันทีที่เด็กฝึกปรุงยาที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้นมองเห็นเมิ่งฮ่าว พวกมันก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นเป็นอย่างมาก และเริ่มกระจายข่าวให้กับสหายในตระกูลได้รับรู้

เมื่อตอนที่เมิ่งฮ่าวไปถึงยอดเขาเจ็ดหนึ่งเก้าหนึ่ง เขาก็ถูกกลุ่มคนนับหมื่นติดตามมา เขาก้าวเท้าลงไปบนแท่นเวที กระแอมไอและกำลังจะเริ่มพูดขึ้น แต่ทันใดนั้น ลำแสงมากมายก็พุ่งตรงมายังบริเวณนั้น ในชั่วพริบตาก็มีกลุ่มคนมากกว่าหนึ่งแสนคน

แม้แต่นักปรุงยาก็ยังได้โผล่ออกมาจากภายในเขตภูเขาด้านใน เพื่อมาฟังเมิ่งฮ่าวพูดบรรยายเกี่ยวกับต้นพืชสุมนไพร

เมิ่งฮ่าวได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ทักษะด้านพืชสมุนไพรของเขาน่ากลัวมากแค่ไหน ในตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เชื่อว่า ทักษะของเขาอย่างน้อยก็อยู่ในระดับแปด!!

ทั่วทั้งแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา ถ้าไม่นับรวมถึงเมิ่งฮ่าวแล้ว ก็มีผู้คนเพียงแค่สิบแปดคนเท่านั้นที่อยู่ในระดับแปด เมื่อพูดถึงทักษะด้านพืชสมุนไพรในตอนนี้ ซึ่งนักปรุงยาระดับแปดเหล่านั้น ต่างก็ถูกถือว่าเป็นผู้อาวุโสของศาลาโอสถด้วยเช่นกัน

กลุ่มคนเช่นนั้นไม่เคยออกมาพูดบรรยายใดๆ นับจากนี้ไปจึงสามารถจะคาดคะเนได้ว่า กลุ่มผู้ฟังจะมีความกระตือรือร้นมากแค่ไหน ก่อนที่เวลาจะผ่านไปไม่นาน ก็มีผู้มาฟังมากถึงสองแสนคน

เมิ่งฮ่าวไม่จำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับคะแนนความดี คนทั้งหมดรู้กฎเป็นอย่างดี และรีบจ่ายให้ในทันทีเมื่อถึงรอบของพวกมัน

เมิ่งฮ่าวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อสังเกตเห็นว่าหญิงชราฟางสุ่ยเยียนไม่ได้มาแสดงตัวอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามยอดเขาอีก โดยไม่มีคู่แข่งให้ต้องกังวลใจอีกต่อไป เขาจึงเก็บความคิดที่จะเพิ่มราคาไว้ และเริ่มต้นให้คำบรรยาย

สามชั่วยามหลังจากนั้น เมื่อรวบรวมคะแนนความดีได้นับแสน เมิ่งฮ่าวก็กัดฟันแน่นและตั้งใจที่จะพูดเพิ่มอีกสองชั่วยาม ทำให้ผลกำไรที่เขาได้รับเพิ่มขึ้นเป็นล้านแต้ม และเมิ่งฮ่าวก็เริ่มดีใจอย่างถึงที่สุด

ด้วยคะแนนความดีที่มากมายเช่นนั้น ทำให้ตอนนี้เมิ่งฮ่าวมีความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นมากกว่าเดิม สิ่งที่เขาต้องทำก็คือให้คำบรรยายเพียงไม่กี่ชั่วยามต่อวัน และคะแนนความดีจำนวนมากมายมหาศาลก็จะไหลเข้ามา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาของตระกูลฟาง ช่างมีน้ำใจต่อเขาไม่น้อย

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวมีชีวิตอยู่ด้วยความฟุ่มเฟือย เขาซื้อเม็ดยาและต้นสมุนไพรมาเป็นจำนวนมาก และยังได้ซื้อหยกเซียนมาบางส่วนอีกด้วย หลังจากที่ดูดซับพลังลมปราณเข้าไปแล้ว ก็ทำให้ชีพจรเซียนเริ่มตกผลึกได้มากยิ่งขึ้น ในครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ครอบครองหยกเซียนซึ่งทางตระกูลได้ใช้เวลาจัดหามาตลอดทั้งปี เขาก็สามารถจะทำให้ชีพจรเซียนตกผลึกได้อย่างต่อเนื่องจนถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว!

พื้นฐานฝึกตนของเขาได้ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้มีพลังของเซียนแท้แปดในสิบส่วนอีกต่อไป แต่เป็นเก้าในสิบส่วน พลังการต่อสู้ของเขายังได้ทะลวงผ่านเซียนขั้นสี่ไปอีกด้วย เมื่อกลับไปในถ้ำแห่งเซียนของตัวเอง เขาก็ได้ไปต่อสู้กับจระเข้ หลังจากที่ฝึกซ้อมกันเล็กน้อย เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้สามารถเทียบได้กับเซียนขั้นห้าแล้ว!

เขายังรู้สึกได้ถึงพลังของทัณฑ์เซียนที่กำลังก่อตัวขึ้นมาอย่างบางเบาอีกด้วย เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่กลายเป็นเซียนแท้สิบส่วนเต็ม ประตูเซียนก็จะตกลงมา

“ข้าเฝ้ารอให้วันนั้นมาถึงนานแล้ว” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ข้าต้องเตรียมตัวให้ดี เมื่อไหร่ที่ข้าก้าวเข้าไปเป็นเซียนแท้ ข้าจะต้องดูดซับปราณเซียนจากประตูให้มากที่สุด ข้าจะต้องเปิดชีพจรเซียนพร้อมกันหลายสิบจุดภายในครั้งเดียวให้จงได้!”

นี่คือเหตุผลเดียวกัน ที่ทำไมผู้ถูกเลือกจากสำนักต่างๆ มากมาย ถึงได้รวบรวมพลังของพวกมันไว้ และเฝ้ารอคอยโชคชะตาเซียนแท้ก่อนที่จะตัดสินใจทะลวงผ่าน พวกมันต้องการจะพุ่งเข้าไปในขั้นเซียนแท้ ด้วยการเปิดชีพจรเซียนพร้อมกันทีเดียวหลายจุด ผู้ถูกเลือกบางคนยังได้เปิดชีพจรเซียนได้มากถึงหกสิบหรือเจ็ดสิบจุดภายในครั้งเดียวอีกด้วย

โอกาสเช่นนั้นจะมีอยู่ในตอนที่ประตูเซียนปรากฏขึ้นเท่านั้น สำหรับเวลาอื่น เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พื้นฐานฝึกตนของคนผู้หนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปได้เช่นนั้น

ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็ทำการปรุงน้ำยาวิญญาณสกัดด้วยต้นสมุนไพรที่หาได้ยากมากขึ้นไปเรื่อยๆ คุณภาพของน้ำยาวิญญาณสกัดที่เขาปรุงขึ้นมาได้บรรลุถึงระดับที่น่ากลัว

พลังชีวิตที่อยู่ในผลเนี่ยผานกำลังแข็งแกร่งมากขึ้น แน่นอนว่าหินลมปราณของเขาก็หมดไปด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน ในที่สุดเมื่อหินลมปราณที่มีอยู่ต้องหมดลง เขาก็เริ่มนำคะแนนความดีไปแลกเปลี่ยนเป็นหินลมปราณ

น่าเสียดายที่หลังจากทำการแลกเปลี่ยนไปไม่กี่ครั้ง เขาก็ไม่อาจจะได้หินลมปราณเพิ่มขึ้นมากไปกว่านี้อีก จำนวนหินลมปราณที่จะเจียดให้ในแต่ละคนมีจำนวนที่จำกัด

อันที่จริง มีน้อยคนมากที่จะรู้ว่ามีกฎเช่นนี้อยู่ นอกจากนี้ก็มีผู้คนน้อยมากที่จะใช้คะแนนความดีมากมายเท่าเมิ่งฮ่าวในการนำไปแลกเปลี่ยนเป็นหินลมปราณ ทำให้เขาต้องตกตะลึงต่อเรื่องนี้ จนแทบจะใกล้คลุ้มคลั่งไปแล้ว

ตอนนี้เขาไม่ได้ขาดแคลนคะแนนความดี แต่ขาดหินลมปราณ เขายังได้คิดไปว่าจะนำคะแนนความดีออกมาขายเพื่อแลกเป็นหินลมปราณ แต่การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎของตระกูล แน่นอนว่าเขาไม่ได้กังวลเรื่องการละเมิดกฎ เขาไม่เคยสนใจเกี่ยวกับกฎเช่นนั้นมากนักมาตั้งแต่ต้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตระกูลฟางได้ตกอยู่ในสภาวะที่อ่อนไหวในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวรู้ว่ามีผู้คนอยู่ไม่น้อยที่กำลังเฝ้าจับตาดูเขาอยู่อย่างลับๆ การทำผิดพลาดไปแม้แต่น้อยนิด ก็อาจจะทำให้กลายเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตขึ้นมาได้

ยังมีบางพื้นที่ของคฤหาสน์โบราณที่เมิ่งฮ่าวไม่เคยเข้าไปมาก่อน เขาติดอยู่และมีชื่อเสียงขึ้นในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา ต้องขอบคุณสำหรับชื่อเสียงและศักดิ์ฐานะของเขาในที่แห่งนี้ ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาหรือมาตอแยเขาได้อย่างง่ายดาย

โดยส่วนใหญ่แล้ว เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับตระกูลฟางมากนัก เขาไม่ค่อยพูดคุยกับญาติจากสาขาอื่นๆ แม้แต่กลุ่มคนจากสายโลหิตหลักเขาก็รู้จักไม่มากนัก

คนที่เขาติดต่อด้วยมากที่สุดคือฟางซีและสือจิ่วซู เขาไม่ค่อยรู้สึกที่อยากจะใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่นๆ อย่างแท้จริง

เมิ่งฮ่าวได้เห็นฟางตงหานอยู่สองสามครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่ามันพยายามจะหลีกเลี่ยงเขาอยู่เสมอ เมิ่งฮ่าวรู้ดีว่ามันคือผู้ถูกเลือกเหมือนกับฟางเว่ย แต่ก็ถูกฟางเว่ยสะกดข่มไว้ และกำลังเฝ้ารอคอยให้เมิ่งฮ่าวและฟางเว่ยต่อสู้กันในที่สุด เมิ่งฮ่าวเข้าใจดีว่ามันรู้สึกอย่างไร

สำหรับฟางเซียงซาน นางก็พยายามหลีกเลี่ยงเขาด้วยเช่นกัน ในครั้งหนึ่งที่คนทั้งสองได้บังเอิญพบหน้ากัน เมิ่งฮ่าวสามารถมองเห็นความหวาดกลัวที่อยู่ในแววตาของนางได้

ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาน่ากลัวเช่นนั้นจริง?

สำหรับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ เขาไม่รู้จักพวกมัน และไม่ต้องการที่จะรู้จักพวกมันด้วยเช่นกัน

เขาไม่คิดจะอยู่ในตระกูลฟางเป็นเวลานาน นอกจากนี้ เขายังมีเป้าหมายเพียงแค่สามอย่างเท่านั้นที่มายังที่แห่งนี้

เป้าหมายแรกคือมารับผลเนี่ยผานของตนเอง เป้าหมายที่สองคือทำตามความปรารถนาของบิดามารดา ทำให้ผู้ถูกเลือกทั้งหมดของตระกูลฟางมองดูเขาด้วยความเคารพนับถือ

เป้าหมายที่สามคือการบรรลุกลายเป็นเซียนแท้!

เมื่อไหร่ที่เขาทำเป้าหมายเหล่านี้ได้สำเร็จ เมิ่งฮ่าวก็จะออกจากตระกูลฟางไป จากนั้นเขาก็จะใช้เหรียญเต๋าเซียนโบราณเข้าสังกัดเซียนกู่เต้าฉ่าง (พิธีเต๋าเซียนโบราณ) ที่นั่น…คือสถานที่ที่เขาจะทำการฝึกตนต่อไป และมีชื่อเสียงขึ้นอย่างแท้จริง

“มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีใครบางคนให้พึ่งพาได้ ข้าได้เรียนรู้เรื่องนี้ในตอนที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะ ในตระกูลฟางบนดาวตงเซิ่งนี้ แผนกเต๋าแห่งการปรุงยาคือสิ่งที่ข้าต้องพึ่งพา” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และดวงตาก็สาดประกายขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นสีหน้าเขาก็บูดบึ้งขึ้น

“ข้าไม่มีหินลมปราณแล้ว ควรทำอย่างไรดี…?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!